เฟิ่งชิงหัวพูดว่า : “ในตอนแรก ซีหลันเป็นฝ่ายชื่นชอบท่านอ๋องเจ็ดจริง และด้วยเหตุนี้ก็เคยขอเขาแต่งงานต่อหน้าธารกำนัลมาแล้ว ถึงขั้นยอมยินดีเป็นพระสนม ดังนั้นภายหลัง ฝ่าบาทจึงทรงมั่นใจว่าหม่อมฉันไม่อาจตัดใจจากท่านอ๋องเจ็ดได้ และพยายามเข้าใกล้เขาอยู่ตลอดเวลาใช่ไหมเพคะ ?”
“ข้าไม่เคยคิดไปเอง ดูตามความจริงเท่านั้น”
“ช่างบังเอิญจริง ๆ หม่อมฉันเองก็เช่นกัน ดูตามความจริงเท่านั้น สิ่งที่ตาเห็นอาจไม่ใช่เรื่องจริง สิ่งที่ได้ยินก็อาจไม่ใช่เรื่องจริง” เฟิ่งชิงหัวกล่าว
“อ้อ ? เช่นนั้นไหนเจ้าลองบอกมาซิว่า อะไรคือความจริง ?”
เฟิ่งชิงหัวกล่าว : “พระองค์สามารถตรัสถามบรรดาอำมาตย์ได้ว่า ในตอนแรก เป็นองค์หญิงเหออานที่เชิญให้ท่านอ๋องเจ็ดมานั่งร่วมโต๊ะกับหม่อมฉันใช่หรือไม่ หรือว่าซีหลันเป็นฝ่ายที่เข้าไปพูดคุยอย่างไร้ยางอายด้วยตนเอง ?”
บรรดาอำมาตย์ต่างพยักหน้า เหออานเองก็พูดขึ้นเบา ๆ ว่า : “ใช่เพคะ องค์หญิงซีหลันกล่าววา นางไม่สนใจในตัวท่านพี่อีกแล้ว แต่เป็นเหออานเองที่รู้สึกว่า องค์หญิงกำลังสงวนท่าที จึงขอร้องให้ท่านพี่เจ็ดนั่งลงเพคะ”
ฮ่องเต้เซวียนถ่งเหลือบมองเหออานด้วยความเบื่อหน่าย แล้วเอ่ยตำหนิว่า : “เหลวไหลจริง ๆ !”
เหออานหดคอ ไม่กล้าส่งเสียง
เฟิ่งชิงหัวพูดขึ้นอีกว่า : “ส่วนภายหลัง ทำไมซีหลันจึงด่าอ๋องเจ็ดนั้น ก็เป็นเพราะว่าอ๋องเจ็ดทรงต่อว่าซีหลันก่อนเพคะ”
ฮ่องเต้เซวียนถ่งได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกหน้าตึงขึ้นมาทันที ความรู้สึกนี้ ทำไมดูเหมือนว่าลูกชายนิสัยเสียของตนเอง เป็นฝ่ายรังแกผู้อื่นอย่างไรอย่างนั้น และตอนนี้ก็ถูกพ่อแม่ของอีกฝ่ายตามมาถามหาความผิดถึงบ้าน
ไม่มีใครรู้ดีกว่าเขาอีกแล้ว ลูกชายผู้ไม่ชอบเจรจาปราศรัยของตนเองคนนั้น มีความสามารถอยู่อย่างหนึ่งก็คือ เวลาที่ไม่พูดจาก็ทำให้คนอื่นรู้สึกเหงาจับใจ แต่หากพูดขึ้นมา ก็ทำให้คนอื่นโกรธจัดได้
ในตอนแรก สามารถทำให้องค์หญิงผู้สูงศักดิ์อย่างนางยอมลงนามในสัญญาขายตัวได้ ดังนั้นเรื่องการด่าทอผู้หญิงเช่นนี้ นับว่าเป็นความสามารถที่เล็กน้อยมาก
ฮ่องเต้เซวียนถ่งเอ่ยปากพูดขึ้น : “ถ้าเช่นนั้นในภายหลังทำไมเจ้ายังลวนลามเขาอีกล่ะ ?”
“ไม่เลวนี่ ! องค์หญิงซีหลัน ท่านอาศัยโอกาสที่อ๋องเจ็ดไม่อยู่ที่นี่ กลับผิดเป็นชอบเช่นนี้ ท่านไม่รู้สึกละอายใจบ้างหรือ ? พวกเราต่างก็เห็นอย่างชัดเจนว่า น้ำนั่นท่านเป็นคนจงจสาดใส่เขา ต่อให้ท่านอ๋องด่าทอท่าน แล้วทำไมมือทั้งสองข้างของท่านถึงเอาแต่ลูบไล้ไปมาอยู่บนร่างกายของท่านอ๋องล่ะ ?”
“ใช่ หม่อมฉันก็เห็นด้วยตาตนเอง”
“หม่อมฉันเองก็เห็น”
มุมปากของเฟิ่งชิงหัวกระตุก อำมาตย์เหล่านี้แสดงได้เก่งจริง ๆ
เห็นนางลูบไล้จ้านเป่ยเซียวก็ต้องตื่นเต้นขนาดนั้นเลยหรือ ?
เช่นนั้นหากเห็นนางบังคับจูบจ้านเป่ยเซียวละก็ จะไม่เป็นลมล้มพับไปเลยหรือ ?
ทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูมจริง ๆ
ต่อให้จ้านเป่ยเซียวจะเผด็จการเช่นไร แต่เขาก็เป็นผู้ชายคนหนึ่ง พวกท่านเห็นเขาเป็นพวกบำเพ็ญเพียรหรืออย่างไร ?
ไม่แน่ว่าตอนที่นางลูบไล้เขาเมื่อครู่ ในใจของเขาอาจรู้สึกมีความสุขอย่างมากก็ได้
เฟิ่งชิงหัวยืนอยู่ตรงนั้นแล้วเริ่มใจลอย ภาพที่ปรากฏขึ้นในสายตาของทุกคนคือ นางกำลังรู้สึกผิด หมดคำพูดที่จะแก้ต่างแล้ว
ฮ่องเต้เซวียนถ่งรู้สึกโล่งใจ : “องค์หญิงซีหลัน ตอนนี้เจ้าคงไม่มีอะไรจะพูดแล้วสินะ ?”
“ทูลฝ่าบาท ถ้าหากมีคนเหยียบเท้าของพระองค์ ท่านไม่ตอบสนอง ซ้ำยังตอบกลับด้วยรอยยิ้ม เขาจึงตบหน้าพระองค์อย่างแรงอีกครั้ง พระองค์ก็ทรงตักเตือนด้วยความหวังดี หลังจากนั้นเข้าก็เตะพระองค์ให้ล้มลงกับพื้นอย่างแรงอีกครั้ง อีกทั้งยังถ่มน้ำลายใส่พระองค์ด้วย พระองค์จะยังทรงให้อภัยด้วยรอยยิ้มได้อีกหรือไม่เพคะ ?” เฟิ่งชิงหัวถามอย่างจริงจัง ดวงตาทั้งสองข้าง จ้องเขม็งไปที่ฮ่องเต้เซวียนถ่ง
“สามหาว ! นี่ท่านกล้านำฝ่าบาทมาเปรียบเทียบเชียวหรือ !” อำมาตย์ชี้นิ้วไปที่เฟิ่งชิงหัวและพูดขึ้นด้วยความโมโห
เฟิ่งชิงหัวหันหน้า : “ฝ่าบาททรงมีฐานะสูงศักดิ์ หรือว่าองค์หญิงอย่างข้ามีฐานะต้อยต่ำอย่างนั้นหรือ ? เดิมทีหม่อมฉันปฏิบัติต่อเขาด้วยความหวังดี แต่เขากลับไม่เห็นข้า แล้วไฉนเลยซีหลันจะต้องนำศักดิ์ศรีของตนเองไปให้เขาเหยียบย่ำตามอำเภอใจล่ะเพคะ ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว
จะอัพเรื่องนี้ต่อไปมั้ยค่ะ😭...
เรื่องนี้หายไปนาน...