จ้านเป่ยเซียวกลับฟังด้วยสีหน้าหนักใจ: “เฟิ่งชิงหัว ไม่ว่าที่เจ้าพูดจะเป็นเรื่องจริงหรือเป็นเรื่องโกหกก็ตาม ข้าก็จะไม่ถามเจ้าว่าเจ้าได้ข้อสรุปพวกนี้มาจากไหนหรอกนะ แต่ว่าคำพูดพวกนี้จะไปพูดกับคนภายนอกไม่ได้อย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะห้ามพูดกับคนในราชวงศ์เลย”
“ทำไม? เจ้ากลัวว่าข้าจะถูกจับไปเป็นปีศาจร้ายเอาไปเผาทิ้งหรือไง?” เฟิ่งชิงหัวกล่าว
“เหตุใดเทียนหลิงจึงนับถือศาสนาพุทธ แล้วเหตุใดจึงประคับประคองประชาชนอีกด้วย เจ้าศรัทธาในศาสนาพุทธเช่นนั้นจริงหรือ?” จ้านเป่ยเซียวส่ายหัว: “ก็ไม่ใช่ แต่เพื่อให้ประชาชนเชื่อ เชื่อว่าเงยหน้าขึ้นไปสามคืบมีเทพเจ้าอยู่ เชื่อว่าตนเองทำเรื่องชั่วช้าแล้วจะได้รับผลตอบแทน แต่หากมีวันหนึ่งพวกเขาไม่เชื่ออีกต่อไปว่าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วนั่นก็จะลดความกลัวที่อยู่ในใจเช่นนั้นลง ความคิดชั่วร้ายแพร่พันธุ์ ผลคงอยากที่จะคาดคิดได้”
เฟิ่งชิงหัวได้ยินก็พยักหน้า: “เป็นเช่นนี้น่ะเหรอ? ข้าคิดว่าพวกเจ้าก็เพียงแค่ทำให้การปกครองอำนาจกษัตริย์แข็งแกร่งขึ้นอย่างง่ายๆ เท่านั้น”
“หากไม่มีอำนาจกษัตริย์ ถ้าเช่นนั้นก็ราวกับเป็นทราบที่กระจัดกระจายไปหนึ่งจาน จะกล่าวถึงความสงบสุขใต้หล้าได้อย่างไร? เพียงแค่อำนาจของกษัตริย์ไม่ได้กดขี่ข่มเหงเท่านั้น นั่นก็เลยเป็นสิ่งที่ประชาชนปรารถนาในตอนนี้”
เฟิ่งชิงหัวครุ่นคิดอยู่ กลับไม่ได้คัดค้านคำพูดแบบนี้ของเขา แม้ว่าก็มีขุนนางที่คดโกงไม่น้อย แต่ว่าตามสถานการณ์ตอนนี้แล้ว ดูเหมือนว่าก็นับว่าเป็นระบอบที่เหมาะสมที่สุดแล้วล่ะ
ในยุคสมัยตอนนี้ จะไปใส่ใจอะไรกับอิสระเท่าเทียมกัน ดูเหมือนว่าก็จะไม่ยอมรับความเป็นจริงเสียเท่าไร ยังไงประชาชนตอนนี้ที่ต้องการก็เพียงแค่อยู่เย็นเป็นสุขมีพอกินใช้เท่านั้น ใครจะมาเป็นฮ่องเต้ เพียงแค่ไม่กระทบถูกปากท้องของประชาชน ก็เหมือนว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญเช่นนั้นด้วย
จ้านเป่ยเซียวลูบศีรษะของเฟิ่งชิงหัว: “ความคิดนี้ของเจ้าดุแปลกใหม่ แต่ในตอนนี้ก็ได้เพียงเป็นแค่ความคิด ไม่อาจทำให้เป็นจริงขึ้นมาได้ หากเจ้าเอาคำพูดเหล่านี้กล่าวออกไป จะนำหายนะมาสู่ตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้นอาจจะทำให้ประชาชนเข้ามาสู่การมีส่วนร่วมในการตัดสินถูกผิดด้วย”
เฟิ่งชิงหัวยิ้ม: “คำพูดพวกนี้ให้คนอื่นได้ยินแล้ว แน่นอนว่าก็จะบอกว่าท่านอ๋องอย่างเจ้าคนนี้ เห็นได้ชัดว่าตัวเองมองชีวิตคนอื่นเป็นผักปลา ตนเองกลับคิดแทนประชาชน หรือว่านี่ก็เป็นกลไกในการเบี่ยงเบนปกปิดเพื่อประเทศชาติเพื่อประชาชนด้วย?”
จ้านเป่ยเซียวกล่าวเสียงเรียบเฉยออกมา: “เดิมทีข้าก็ไม่ได้สนใจเรื่องชื่อเสียงจอมปลอมภายนอกเลย”
เฟิ่งชิงหัวเบะปากไปมา: “ใช่ๆๆ ท่านไปไหนมาไหนโดดเดี่ยวโดยลำพังมาตลอด ไม่สนใจว่าคนอื่นจะนินทาว่าร้ายลับหลัง ข้าไม่เหมือนกับเจ้า ด่าว่าข้าได้ อย่าให้ข้าได้ยิน ให้ข้าไปได้ยินข้าก็จะให้เข้าได้รู้ว่าความร้ายกาจของข้า”
จ้านเป่ยเซียวเลิกคิ้วขึ้น: “เจ้าคิดว่า มีคนกล้าพูดออกมาต่อหน้าข้างั้นหรือ?”
“นั่นก็ใช่ อำนาจล้นมือของเจ้าก็ยังใช้ประโยชน์ได้มาก” เฟิ่งชิงหัวพยักหน้า ยืดเอวที่เมื่อยล้าขึ้นไป: “อีกหนึ่งชั่วยามฟ้าก็จะสว่างแล้ว ข้าควรจะไปนอนหรือว่าไปขยันให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยกันแน่?”
“ขยัน? โดยปกติก็ไม่เห็นเข้าจะมีเรื่องสำคัญอะไร”
“นั่นก็ใช่ เป็นมอดมาในระยะเวลาไม่น้อยเลย ข้าจะต้องฮึดขึ้น ข้าจะต้องขยัน ข้าจะไปฝึกวรยุทธ์แล้ว” จ้านเป่ยเซียวโบกมือมาทางเฟิ่งชิงหัว: “ท่านผู้อาวุโสอย่างท่านก็พักผ่อนเถอะ นี่ข้ากลับห้องไปหาดอกทานตะวันแล้ว
ในขณะที่พูดอยู่ก็ทิ้งจ้านเป่ยเซียวไว้ที่เดิมจริงๆ
จ้านเป่ยเซียวเห็นประตูห้องปิดไปแล้ว ก็แหวนศีรษะมองไปอีกครั้ง มองสีดวงจันทร์ที่อยู่เหนือศีรษะ สีหน้าซับซ้อน: “เฟิ่งชิงหัว ที่แท้แล้วภูมิหลังหลังของเจ้าเป็นมาอันใด? ยิ่งเข้าใจก็ยิ่งบดบังมากขึ้น ยิ่งเลือนรางไม่ชัดเจน?”
เฟิ่งชิงหัวฟื้นฟูซ่อมแซมอาการบาดเจ็บภายในอยู่ในห้อง ดีที่ร่างกายของนางถูกแช่ยาสมุนไพรมาตั้งแต่เล็ก เดิมก็แข็งแกร่งกว่าคนอื่นอยู่แล้ว โดยเฉพาะสายเลือดที่อธิบายความเป็นมาไม่ชัดเจนร่างนั้น ทำให้ความสามารถในการซ่อมแซมของนางยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น
ตอนสายเนี่ยหานซิงก็มาหาตามเดิม ได้ทราบว่าอาจารย์ของตนกำลังทานอาหาร ก็วางแผนจะมาปรนนิบัติใกล้ชิด
เพราะว่าเมื่อวานคารวะเป็นอาจารย์อย่างฉาบฉวย หลังจากเขากลับไปก็คิดทบทวนไปมาหลายรอบ ยากที่จะหลับได้ ดังนั้นพอเช้าก็เลยเตรียมของกำนัลอย่างเพียบพร้อมมาชดเชย
สองมือหิ้วของเต็มไม้เต็มมือไปหมดเดินเข้ามาในห้องโถง จากนั้นก็ก้าวข้ามคานประตูเข้ามา ตอนที่เห็นสองคนในโถง ของในมือก็หล่นกระจายเต็มพื้นเลย หนึ่งในนั้นยังมีเสียงแตกหักของสิ่งของที่อยู่ในกล่องดังขึ้นด้วย
ดวงตาทั้งสองข้างของเนี่ยหานซิงจ้องไปยังผู้ชายที่อยู่ข้างกายของเฟิ่งชิงหัวไม่วางตา เห็นบรรยากาศของทั้งสองคนทานอาหารด้วยกัน อีกทั้งยังมีความเข้าใจโดยปริยายระหว่างสายตานั้นด้วย ในสมองเหมือนว่าถูกค้อนทุบลงไปก็ไม่ปาน
“อ๋อง ท่านอ๋องเจ็ด” เนี่ยหานซิงแม้แต่เสียงยังสั่นเลย ขาทั้งสองข้างก็สั่นเทาไปหมด
แม้ว่าเขาจะเกาจนหัวถลอกไปจริงๆ ก็คิดไม่ถึงว่าจะเป็นที่นี่ ที่ได้พบกับบุคคลในตำนานท่านหนึ่งเช่นนี้ได้
เฟิ่งชิงหัวมองมาที่เขาครู่หนึ่งด้วยความสงสัย: “มาเช้าเชียว? ทานอาหารมาหรือยัง มาทานด้วยกันไหม?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว
จะอัพเรื่องนี้ต่อไปมั้ยค่ะ😭...
เรื่องนี้หายไปนาน...