พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว นิยาย บท 305

เฟิ่งชิงหัวหัวเราะเหอะๆ ออกมา อย่างอื่นก็ไม่พูดมากอีก

มือทั้งสองข้างของจิ่งยี่กอดอกเอาไว้ มองไปที่นางอย่างเจ้าเล่ห์: “สำหรับเจ้า ตลอดทางมานี้ข้าก็ได้ยินข่าวคราวเกี่ยวกับเจ้าไม่น้อยทีเดียว ท่านพ่อของเจ้าสมรู้ร่วมคิดกับไส้ศึกหนีไปแล้ว เจ้าก็อยู่ที่จวนอ๋องได้อีกไม่นานหรอก อย่าคิดว่าทำอาหารมาเอาอกเอาใจพวกเราสองพี่น้องแล้วจะมีประโยชน์ ศิษย์พี่ของข้าก็ไม่ใช่คนประเภทที่ตะกละตะกลามในอาหารและเครื่องดื่ม”

เฟิ่งชิงหัวเปล่งเสียงออกมาเบาๆ สองพยางค์ว่า: “ปัญญาอ่อน!”

“หมายความว่าอะไร? เจ้ากำลังชมว่าข้าฉลาดอีกงั้นน่ะสิ” จิ่งยี่กล่าวคาดเดาออกมา จากนั้นกล่าวออกมาอย่างไม่น่าฟังว่า: “แม้ว่าตอนนี้เจ้าจะพูดคำพูดดีๆ จนหมดสิ้นก็ไม่มีประโยชน์หรอก”

จ้านเป่ยเซียวอธิบายอยู่ด้านข้างว่า: “ความหมายโดยคร่าวๆ ของนางก็คือบอกว่าเจ้ามีสติปัญญาที่พิการ มีความหมายเหมือนกับคนโง่งี่เง่าเลย”

จิ่งยี่ได้ยินดังนั้นก็ตบโต๊ะอย่างรุนแรง: “หนานกงเยว่ลั่ว เจ้ากล้ามาก เจ้ากล้าด่าข้า! เจ้าไม่รู้หรือว่าจวนอ๋องแห่งนี้แซ่อะไร อยู่ในความรับผิดชอบของใครรู้หรือเปล่า? รีบขอโทษข้าเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นข้าจะให้ศิษย์พี่ของข้าไล่เจ้าออกจากจวนไป!”

จิ่งยี่เพิ่งจะพูดจบ ศีรษะจู่ๆ ก็ถูกตบเสียงดังไปทีหนึ่ง แต่กลับเป็นหยูจีที่นั่งอย่างด้านขวามือของเขาที่ถือปีกไก่ที่ฉีกออกมาอย่างสะอาดสะอ้านข้างหนึ่งทุบไปบนศีรษะของเขา

หยูจีกล่าวออกมาด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองว่า: “คนมาขอข้าวกินที่ทุเรศทุรังมาจากไหนกัน กินอาหารของลูกสาวข้าแล้วยังกล้าพูดจาใหญ่โตอีก เชื่อไหมว่าข้าจะให้ลูกเขยของข้าโยนเจ้าออกมา!”

“ลูกสาว ลูกเขย? พี่สาวท่านนี้ ท่านเป็นใครกัน?” หยูจีมองไปยังจิ่งยี่ด้วยท่าทางที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างเห็นได้ชัด

หยูจีชี้นิ้วไปยังจ้านเป่ยเซียว แล้วป่าวประกาศออกมาด้วยอย่างวางอำนาจว่า: “ข้าเป็นแม่ยายของเขา! ที่นี่เป็นจวนอ๋องของลูกเขยข้า เจ้าพูดจาระวังไว้บ้างหน่อยจะดีที่สุดนะ!”

จิ่งยี่ถูกคำพูดของหยูจีทำให้ตกใจจนอ้าปากค้างไปเลย กวาดสายตามองไปยังสีหน้าท่าทางของคนทั้งสามหนึ่งรอบ แล้วก็มองไปอีกรอบหนึ่ง ศีรษะก็หมุนไปตามสองรอบเช่นกัน จากนั้นเริ่มส่ายหัวออกมาอย่างรุนแรง

หยูจีมองดูท่าทางเช่นนี้ของเขา คิดเอาเองว่ากระซิบถามจ้านเป่ยเซียวเบาๆ : “ลูกเขย คนคนนี้สติไม่ดีหรือเปล่านะ ทำไมยังส่ายหัวไปมาอีก?”

เฟิ่งชิงหัวก็กล่าวด้วยน้ำเสียงในแบบเดียวกัน: “พระสวามี ศิษย์น้องของท่านผู้นี้ไม่ใช่ว่าตอนที่อยู่ด้านนอกไปโดนอะไรที่ไม่สะอาดมาบ้างหรือเปล่า? ทำไม่ไม่เพียงแต่หัวสมองที่ใช้การไม่ได้ แม้แต่ร่างกายก็ยังควบคุมไม่ได้ด้วย?”

จ้านเป่ยเซียวจ้องไปยังดวงตาทั้งสองข้างของผู้หญิงทั้งสองคนของตนเอง แม้ว่าโฉมหน้าจะไม่เหมือนกัน อายุอานามจะแตกต่างกัน แต่ว่าแสงที่เปล่งประกายในดวงตานั้นกลับเป็นแบบเดียวกันเลย

โดยเฉพาะตอนที่เฟิ่งชิงหัวพูดคำว่า “พระสวามี” จ้านเป่ยเซียวจำเป็นจะต้องยกบทบาทของศิษย์พี่ออกมาเริ่มสั่งสอนอบรมศิษย์น้องคนนี้ของตนให้ดีๆ เสียหน่อยแล้ว

“จิ่งยี่ อย่าเสียมารยาทกับพี่สะใภ้ของเจ้า อีกอย่างท่านนี้เป็นแม่ยายของข้า แน่นอนก็นับว่าเป็นผู้อาวุโสของเจ้า ยังไม่รีบขอโทษอีก”

จิ่งยี่รีบบีบขาของตนลงไปทีหนึ่ง เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ใช่ตนที่ฟังผิดไป จ้องถลึงดวงตาและกล่าวออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ: “พี่สะใภ้? ศิษย์พี่ ท่านไม่ใช่บอกว่าท่านจะไม่ยอมรับนางเด็ดขาดไง? ข้าก็แค่จากไปเพียงครึ่งเดือนเท่านั้น ทำไมท่านจึงถูกท่านยั่วยวนจนไม่แบ่งแยกเช่นนี้? รูปลักษณ์ของนางเช่นนี้ก็ไม่ได้นับว่าเป็นโฉมงามที่จะออกหน้าออกตาได้เลยนะ?”

เฟิ่งชิงหัวเปล่งเสียงเย็นชาออกมา: “เจ้าจะไปรู้อะไร ศิษย์พี่ของเจ้าที่รสนิยมเป็นเอกลักษณ์ ไม่ชอบหญิงงาม ก็ชอบข้าแบบนี้”

จิ่งยี่กลืนน้ำลายลงไปแล้วก็พยักหน้า: “อันที่จริงก็ค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์”

“ดังนั้น? ศิษย์พี่ ท่านยังคิดว่าจะไม่แยกแยะละครกับเรื่องจริงจริงๆ แล้วเป็นสามีภรรยากับนางจริงๆ งั้นหรือ? งั้นทางด้านหนานกงจี๋ล่ะ? ท่านก็คิดว่าจะปล่อยไปงั้นหรือ? นั่นเป็นพ่อแม้ๆ ของนางเชียวนะ หากต่อไปท่านจับคนเอามาลงโทษตามกฎหมายบ้านเมืองได้ ท่านก็ไม่กลัวว่าตอนที่นางหลับอยู่ข้างๆ ดึกดื่นค่ำมืดขึ้นมาแทงท่านหรือไง?”

เฟิ่งชิงหัวตบบ่าของจิ่งยี่อยู่ครู่หนึ่ง: “เจ้าหนุ่ม ข้าคิดว่าครั้งหน้าตอนที่ถุงเงินของเจ้าถูกขโมย ไม่ต้องไปเด็ดเห็ดอย่างอนาถแล้วล่ะ ไปที่ใต้สะพานเล่าเรื่องยังจะมีอนาคตเสียกว่าเลย ไม่แน่ว่าอาศัยความสามารถทางการคิดเองเออเองของเจ้าแล้ว ผ่านไปไม่นานก็สามารถมีเงินทองยศถาบรรดาศักดิ์ซื้อบ้านใหม่แต่งเมีย มีชีวิตที่รุ่งโรจน์ไปเลยก็ได้”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว