พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว นิยาย บท 41

สรุปบท บทที่ 41 ข้าจะทวงคืนความยุติธรรมให้นางเอง: พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว

บทที่ 41 ข้าจะทวงคืนความยุติธรรมให้นางเอง – ตอนที่ต้องอ่านของ พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว

ตอนนี้ของ พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว โดย เสี่ยวโหม ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายประวัติศาสตร์ทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 41 ข้าจะทวงคืนความยุติธรรมให้นางเอง จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

“เจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามข้าเลย” รอยยิ้มที่มุมปากของจ้านถิงเฟิงสดใสมากขึ้น มีความโค้งเล็กน้อย ท่าทางมีความสุข แต่กลับทำให้หนานกงเยว่หลีรู้สึกเสียวสันหลัง

ผู้คนต่างพูดกันว่ารัชทายาทสง่างามและอ่อนโยนดั่งหยก แต่หนานกงเยว่หลีกลับไม่ได้คิดแบบนี้ พวกนี้เป็นแค่ภาพลักษณ์ภายนอกเท่านั้น ไม่งั้น ไม่ว่าหนานกงเยว่หลีจะมีความสามารถล้นฟ้าแค่ไหน ก็บังคับให้รัชทายาทต่อต้านฮ่องเต้โดยการยกเลิกงานแต่ง แล้วเปลี่ยนมาแต่งงานกับนาง

ทั้งหมดนี้ ก็เพื่อเหยียดหยามท่านอ๋องเจ็ดที่เคยมีชื่อเสียงโด่งดัง ให้ผู้คนได้เห็นว่า เขาที่เคยเป็นเทพสงคราม ตอนนี้กลับทำได้แค่เก็บของเหลือจากเขาจ้านถิงเฟิง

ส่วนเรื่องที่ทำไมถึงเลือกหนานกงเยว่หลี ก็แค่จะเหยียดหยามเขาให้ถึงที่สุดก็เท่านั้น

คุณหนูไร้ประโยชน์แต่งงานกับอ๋องไร้ประโยชน์ สตรีผู้มีความรู้สูงส่งคู่กับรัชทายาทผู้มีอำนาจล้นฟ้า เป็นการเปรียบเทียบที่ต่างกันราวฟ้ากับเหวจริงๆ

ตอนนี้ขึ้นเรือลำเดียวกันกับรัชทายาทแล้ว จะลงไปอีกก็ไม่ได้ ไม่งั้น ผลที่ตามมา นางรับผิดชอบไม่ไหวจริงๆ

หนานกงเยว่หลีก้มหน้าพูดเสียงเบาว่า: “นักเล่นพิณจะเดินทางไกล เยว่หลีแค่อยากไปส่งเขาสักหน่อย ท่านอย่าเข้าใจผิดเลย”

“งั้นทำไมต้องให้เจ้าที่เป็นถึงคุณหนูไปส่งด้วยล่ะ แถมยังเดินประตูหลังอีก? ถ้าไม่มีอะไรจริงๆ ทำไมถึงไม่เดินประตูหน้าล่ะ?” จ้านถิงเฟิงกวาดตามองคนบนรถม้า จากนั้นก็ส่งสัญญาณ ไม่นานก็มีทหารลับสองคนปรากฏขึ้นแล้วจับตัวอู๋หยาเอาไว้ จับสองมือของเขาไพล่หลังอย่างรุนแรง เขาร้องอย่างเจ็บปวด

หนานกงเยว่หลีรู้ว่าการกระทำของตัวเองจะต้องทำให้รัชทายาทสงสัย แล้วนึกถึงหนานกงเยว่ลั่วที่ยังไม่มาสักที นางจึงกัดฟันกรอด แล้วคุกเข่าลงอย่างแรง

“ข้าทำเรื่องนี้เพื่อน้องรองของข้าพระชายาเจ็ด” หนานกงเยว่หลีทำท่าใจกว้าง นางรู้ว่า เรื่องไหนที่ทำให้ท่านอ๋องเจ็ดจ้านเป่ยเซียวขายหน้า รัชทายาทจะร่วมมือกับนางแน่นอน

เป็นไปตามที่คิดไว้ จ้านถิงเฟิงได้ยินแล้วก็เลิกคิ้วเล็กน้อย: “เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับพระชายาเจ็ด หรือพระชายาเจ็ดให้เจ้ามาที่นี่?”

“ท่านไม่รู้อะไร ก่อนหน้านี้ น้องรองของข้าเคยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับอู๋หยานักเล่นพิณ ตอนแรก เยว่หลีคิดว่าน้องรองแต่งกับราชวงศ์แล้ว เรื่องนี้จะจบลง แต่ไม่คิดว่า น้องรองมีชีวิตที่ไม่ดีเลย ดังนั้น นักเล่นพิณเลยขอให้ข้าช่วย หวังอยากจะให้พวกเขาได้อยู่ด้วยกันอีกครั้ง” หนานกงเยว่หลีพูดทั้งน้ำตา ขอบตาแดงก่ำ ดูแล้วน่าสงสารจริงๆ

จ้านถิงเฟิงเงียบไม่พูด แต่ก็ไม่ได้บอกว่าไม่เชื่อ แค่ใช้สายตามองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า เหมือนกำลังมองทะลุหัวใจของนาง

จากนั้นก็ได้ยินชายหนุ่มถามว่า: “น้องรองเจ้าแต่งเข้าราชวงศ์แล้ว ไม่ดีตรงไหนถึงขั้นต้องให้เจ้าช่วยให้สมหวัง?”

หนานกงเยว่หลีก็โล่งอก จ้านถิงเฟิงเชื่อนางแล้ว และเตรียมยืนอยู่ฝ่ายนาง

หนานกงเยว่หลีพูดต่อ: “น้องรองแต่งเข้าราชวงศ์ก็เป็นบุญของนางแล้ว แต่การแต่งงานของน้องรองกับท่านอ๋องเป็นการแต่งงานที่ฮ่องเต้ประทานให้ ก่อนหน้านั้นก็ไม่ได้เจอหน้าทำความรู้จักกันมากเท่าไหร่ ยังดีที่ข้ารับใช้ของน้องรองเซียงเสว่ภักดี ก็ถึงไปบอกกับแม่ บอกว่าจนถึงตอนนี้น้องรองกับท่านอ๋องยังไม่ได้เข้าเรือนหอเลย และร่างกายของนางยังมีร่องรอยของการถูกทำร้ายด้วย เยว่หลีทนไม่ไหว ก็เลย ก็เลยยอมให้น้องรองไป ขอท่านโปรดพิจารณา”

คำพูดของหนานกงเยว่ลั่วทำให้แผนการหนีตามผู้ชายในครั้งนี้กลายเป็นความหวังของหนานกงเยว่ลั่วนางหนานกงเยว่หลีรับบทเป็นพี่สาวใจดีที่รักน้องสาวสุดหัวใจ

ถึงแม้แผนการหนีตามผู้ชายในครั้งนี้จะล่าช้าเพราะรัชทายาท แต่ขอแค่นางยืนยันคำเดิม รัชทายาทร่วมมือด้วย งั้นเรื่องที่หนานกงเยว่ลั่วหนีตามผู้ชายก็จะกลายเป็นจริง งั้นความผิดของหนานกงเยว่ลั่วก็จะกลายเป็นจริง ไม่ว่าราชวงศ์หรือท่านอ๋องเจ็ดก็ไม่มีทางปล่อยหนานกงเยว่ลั่วไปง่ายๆแน่

รัชทายาทกลับรู้สึกสนใจในความลับที่หนานกงเยว่หลีตั้งใจปกปิด เขาเลิกคิ้วแล้วพูดอย่างเชื่องช้าว่า: “ตอนนี้ยังไม่เคยเข้าเรือนหอเลยงั้นเหรอ”

ส่วนเหตุผลที่ยังไม่ได้เข้าเรือนหอ เขาก็พอจะเดาออกว่า จ้านเป่ยเซียวน่าจะไม่มีความสามารถในด้านนี้แล้ว ด้วยเหตุนี้จึงทำให้จิตใจบิดเบือน จึงทำให้หนานกงเยว่ลั่วทนไม่ไหวอยากจะหนีตายผู้ชายคนอื่นไป

จ้านถิงเฟิงจำเสียงนี้ได้ เมื่อวานเจ้าของเสียงนี้หลอกเขา ทำให้เขานั่งรออยู่ที่กรมคลังอยู่อย่างนั้น

อาจเป็นเพราะบาดเจ็บจากการถูกจ้านเป่ยเซียวทำร้าย จึงทำให้ออกจากบ้านไม่ได้ และก่อนหน้านี้ที่บอกว่าตัวเองกับจ้านเป่ยเซียวรักกันปานจะกลืนกิน ก็แค่อยากปกปิดตัวเองก็เท่านั้น

ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกได้แบบนั้น นานๆทีรัชทายาทจะมีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ หันไปมองคนที่พูด

หญิงสาวสวมชุดสีม่วงเข้ม นี่คือกฎของพระชายา สีม่วงเข้มที่ดูเป็นผู้ใหญ่มั่นคง พอใส่อยู่บนตัวนางแล้วก็ดูนิ่งครึ้มมากขึ้น มีความสง่างาม คู่กับรอยยิ้มที่ร่าเริงบนใบหน้าของนาง ทำให้คนที่เห็นแล้วไม่อาจละสายตาออกไปได้

รัชทายาทเห็นผู้หญิงมาแล้วนับไม่ถ้วน แต่กลับเห็นคนที่ใส่ชุดสีม่วงแล้วสดใสขนาดนี้เป็นครั้งแรก เหม่อไปพักเดียวก็กลับมามีสติอีกครั้ง แล้วกระตุกยิ้มโดยไม่รู้ตัวและพูดว่า: “พระชายาเจ็ด? ให้ข้ารอนานเลยนะ”

คำพูดนี้มีความหมายสองแบบ ทั้งพูดถึงวันนี้และเรื่องของเมื่อวาน

แต่ทว่า เฟิ่งชิงหัวไม่ชอบรัชทายาทที่ภายนอกดูอ่อนโยนอยู่แล้ว แค่มองเขาแล้วทำท่าตกใจ: “วันนี้รัชทายาทมาได้อย่างไรกัน? หรือได้ยินว่าวันนี้ข้าจะกลับมาบ้านแม่ ดังนั้นเลยมาเฝ้าที่หน้าประตูเหรอ?”

เฟิ่งชิงหัวทำท่าอย่ามาคิดบัญชีกับข้านะ ถึงคิดไปข้าก็ไม่ยอมรับหรอก

รัชทายาทอารมณ์ดีขึ้นกว่าเดิม: “ในสายตาของพระชายา ข้าใจแคบขนาดนั้นเชียวเหรอ?”

คำสุดท้ายดูจะเสียงสูงเล็กน้อย มีความรู้สึกกำลังหว่านเสน่ห์

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว