“เจ้ามองอะไร !” จ้านเป่ยเซียวเหลือบมองหญิงสาวที่อยู่ข้าง ๆ อย่างเย็นชา
เดิมทีเขาเป็นผู้มีวรยุทธ์ จึงมีประสาทสัมผัสที่ว่องไว ยิ่งไปกว่านั้น สายตานี้ก็ไม่ปิดบังอำพรางเลยแม้แต่น้อย
เมื่อเฟิ่งชิงหัวรู้ว่าท่าทาง “ลับ ๆ ล่อ ๆ” ของตนเองถูกสังเกตเห็นเข้าแล้ว ก็หันไปเชิดคางใส่จ้านเป่ยเซียว พร้อมยิ้มด้วยท่าทางกรุ้มกริ่มเป็นพิเศษ : “ท่านอ๋อง เดิมทีข้าคิดว่าคนโบราณมักชอบพูดจาเกินจริง แต่ตอนนี้ข้าเพิ่งพบว่า คำพูดของคนโบราณก็มีเหตุผลไม่น้อย”
“คำพูดอะไร”
เฟิ่งชิงหัวหัวเราะคิกคัก : “งดงามจนอยากจะกลืนกิน”
มือที่ถือตะเกียบอยู่นั้น สูญเสียการควบคุมจนตะเกียบหล่นลงกับพื้น ส่วนตัวเขานิ่งอึ้งไปสามวินาทีเต็ม ๆ
เฟิ่งชิงหัวนำตะเกียบคู่ใหม่ที่วางอยู่ด้านข้าง มายื่นให้กับจ้านเป่ยเซียวด้วยความใส่ใจ : “ทำไมถึงไม่ระวังอย่างนี้นะ รู้ว่าหิวจนหมดแรงแล้ว รีบเสวยเถอะเพคะ”
ขณะที่พูด เฟิ่งชิงหัวก็ยกมือขึ้นเท้าคาง และมองพิจารณาจ้านเป่ยเซียว
ที่แท้ก็เป็นผู้ชายที่ทั้งหล่อและมีเสน่ห์จริง ๆ ด้วย แม้กระทั่งบนคางที่เรียวแหลมจะปรากฏสีเขียวจาง ๆ เฟิ่งชิงหัวก็ยังคงรู้สึกว่าช่างหล่อเหลาจริง ๆ
เมื่อถูกจ้องมองด้วยแววตาอันเร่าร้อนเช่นนี้ จ้านเป่ยเซียวก็กลืนน้ำลายอึกใหญ่ แล้ววางตะเกียบลงกับโต๊ะ : “ไม่กินแล้ว !”
เฟิ่งชิงหัวเหลือบมองถ้วยข้าวบนโต๊ะ ที่ยังคงมีข้าวเหลืออยู่อีกครึ่งถ้วยของชายหนุ่ม จากนั้นก็หันมองชายหนุ่มที่ค่อย ๆ เดินห่างออกไป แล้วมุ่ยปาก : “เสียของจริง ๆ”
ในเมื่อไม่มีชายหนุ่มรูปงามแล้ว อาหารอันโอชะจึงกลับมาครองอันดับหนึ่งอีกครั้ง เฟิ่งชิงหัวจึงเริ่มเก็บกวาดทุกอย่างต่อ
หลังจากกินมื้อค่ำเสร็จ เมื่อคิดถึงแผนการในช่วงค่ำ จึงเตรียมตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าออกจากจวน ก่อนจะออกไป ยังแวะไปตรงประตูห้องของจ้านเป่ยเซียว และออกแรงเคาะประตูดังก๊อก ๆ ๆ สามครั้ง จนถึงขั้นที่ประตูทั้งบานสั่นไหว ทว่า คนที่อยู่ด้านในกลับยังคงไม่สนใจนาง
“ข้าออกไปข้างนอกแล้วนะ คืนนี้อย่าลืมเปิดประตูทิ้งไว้ให้ข้าด้วยล่ะ” ขณะที่พูด เฟิ่งชิงหัวก็เตรียมจะเดินจากไป ยังไม่ทันจะหันหลัง หน้าต่างที่อยู่ข้าง ๆ ก็ถูกผลักออกโดยคนที่อยู่ด้านใน : “จะไปไหน ?”
เฟิ่งชิงหัวหันตัว จากนั้นจึงเลิกคิ้วแล้วพูดว่า : “ที่แท้ท่านก็อยู่นี่”
“ข้าจะไปจับคนรักของซุนผิน” เฟิ่งชิงหัวมีท่าทีกระตือรือร้น
“เจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าเขาจะมา ? เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาจะไม่ส่งคนมาลอบสังหาร ?”
“เรื่องนี้นะหรือ ย่อมมีแผนการที่ดีอยู่ในใจ” เฟิ่งชิงหัวพูดอย่างภาคภูมิใจ
“ไปเถอะ” ขณะที่พูด จ้านเป่ยเซียวก็ไถรถเข็นออกมา
เฟิ่งชิงหัวเลิกคิ้ว : “ท่านจะไปหรือ ? ข้าวางแผนจะซุ่มโจมตี หากพาท่านไปด้วยดูท่าจะยุ่งยากเกินไปหน่อยนะ ?”
ทันทีที่พูดจบ เฟิ่งชิงหัวก็รู้สึกว่าบริเวณรอบเอวแน่นขึ้น และร่างกายก็ตกลงไปสู่อ้อมกอดอันแข็งแกร่ง และออกจากจวนไปหลายลี้ในชั่วพริบตา
“ท่าน ไม่ใช่ว่าท่าน......”
“ใครกำหนดกันว่าคนที่ขาพิการห้ามใช้วิชาตัวเบา ?” จ้านเป่ยเซียวจ้องมองนางด้วยความรำคาญ
เฟิ่งชิงหัวพูดอย่างเก้อเขิน : “เช่นนั้นในเมื่อท่านยังใช้วิชาตัวเบาได้ แล้วทำไมท่านยังนั่งอยู่ในรถเข็นทั้งวันอีก ?”
ทำให้นางรู้สึกว่าเขาดูง่ายที่จะรังแก
จ้านเป่ยเซียวไม่พูดอะไร ไม่นานนัก ก็ห้องลงตรงด้านนอกเรือนจำกรมคลัง แล้วหมอบอยู่บนหลังคากระเบื้องเพื่อเฝ้าสังเกตการณ์
“เจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าคนที่มาในวันนี้ ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ลูกสมุน ?” จ้านเป่ยเซียวเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง
เฟิ่งชิงหัวกะพริบตาปริบ ๆ : “อยากรู้หรือ ? เงี่ยหูมาสิ” ขณะที่พูดก็หันไปกวักนิ้วชี้เรียกจ้านเป่ยเซียว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว
จะอัพเรื่องนี้ต่อไปมั้ยค่ะ😭...
เรื่องนี้หายไปนาน...