วินาทีที่จ้านเป่ยเซียวหันหน้าไปมองทางด้านโต๊ะหนังสือ ทันใดนั้นก็แจ่มแจ้งขึ้นมา และเห็นภาพจินตนาการที่ค่อนข้างทำให้คนน่าปวดหัวขึ้นมาฉากหนึ่ง
คิดไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนั้นจะเอนเงยหน้านอนอยู่บนเก้าอี้ไปแล้ว ด้านข้างก็มีกระดาษม้วนวางซ้อนๆ กันไว้อย่างเป็นระเบียบอยู่
จ้านเป่ยเซียวลุกขึ้นด้วยการเคลื่อนตัวเบาๆ หยิบเอากระดาษปึกหนึ่งขึ้นมา บนนั้นเขียนไว้อยู่สองพยางค์ว่ากฎตระกูลไว้ด้วยตัวหนังสือที่เป็นระเบียบเรียบร้อย
และในตอนที่กำลังจะพลิกเปิดหน้าถัดไปนั้น มุมปากที่สง่างามก็ค่อยๆ ยกขึ้น สีหน้าหนักใจราวกับก้นหม้อ
เห็นแต่เพียงด้านบนของกระดาษแต่ละแผ่นเขียนไว้เพียงอักษรตัวใหญ่สองพยางค์ว่า กฎตระกูล
เขยิบเข้าไปด้านหน้า ฝ่ายหญิงก็ยังเงยหน้านอนอยู่ ขนคิ้วค่อยๆ เลิกขึ้น เส้นผมสีดำแผ่กระจายอยู่ที่ด้านหลังรกรุงรังไปหมด ยิ่งทำให้เห็นได้ชัดว่าร่างผอมบางมากขึ้น
มือที่อยู่ในแขนเสื้อบีบเอาไว้แน่นอย่างไม่รู้ตัว นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของจ้านเป่ยเซียวที่มีความรู้สึกว่าหนึ่งหมัดซัดอยู่บนนุ่น
วินาทีต่อมา จ้านเป่ยเซียวเตะเก้าอี้ไปครู่หนึ่งเพื่อเรียกเฟิ่งชิงหัวให้รู้สึกตัว
เบิกตากว้างขึ้น ทั้งสองคนสบตากันอยู่นานก็ไร้ซึ่งคำพูดใด
สุดท้าย ก็เป็นเฟิ่งชิงหัวที่เป็นฝ่ายอดรนทนไม่ไหวก่อน แล้วก็นวดดวงตาอยู่ครู่หนึ่ง: “ท่านอ๋อง อรุณสวัสดิ์”
รูปร่างสูงยาวของฝ่ายชายค่อยๆ โน้มเอวโค้งลงเล็กน้อย และชี้ไปยังกฎตระกูลที่อยู่บนมือเป็นปึก จากนั้นสายตาก็เย็นชาขึ้นมา: “ข้าเรียกให้เจ้าคัดกฎของตระกูล แล้วนี่คืออะไร”
“กฎตระกูลไง” เฟิ่งชิงหัวจนปัญญา
ท่าทางของฝ่ายหญิงดูน่ารักไร้เดียงสา เผยให้เห็นเป็นท่าทางที่มีเสน่ห์อย่างเกียจคร้านที่เพิ่งจะตื่นนอนออกมา
จ้านเป่ยเซียวกล่าวด้วยท่าทีเย็นชา: “จะว่าไปแล้วกฎตระกูลร้อยจบสำหรับเจ้าแล้วมันน่าจะเบาไปแล้ว ข้าว่าต้องให้เจ้าทำอะไรที่ออกแรงหน่อยแล้วล่ะ”
“ฮะ!” เฟิ่งชิงหัวตกใจจนเด้งตัวขึ้นมา เกือบจะหลุดปากออกมาว่า “เจ้ามันเป็นบ้าอะไรไปอีกเนี่ย!”
แต่พอหวนคิดอีกทีว่าผู้ชายคนนี้เมื่อยั่วให้เขารำคาญแล้วไม่แน่ว่าเขาก็จะให้นางไปทำเรื่องอะไรที่นางไม่มีทางจะทำได้ก็เป็นได้
อธิบายเหตุผลกับเขายังไงก็ไม่สำเร็จ
ในเมื่ออธิบายไม่ได้ งั้นก็มีเพียงหารหนีเอาตัวรอดที่เป็นกลยุทธ์ที่เยี่ยมยอดสุดในบรรดา 36 กลยุทธ์แล้ว
ในขณะที่คิดอยู่นั้นเฟิ่งชิงหัวก็อุ้มเอากฎตระกูลที่อยู่บนโต๊ะทั้งหมดขึ้นมา แล้วก็หันหลังหนีไปเลย ทิ้งไว้เพียงคำพูดหนึ่งประโยคเท่านั้น: “ข้าเอากลับไปค่อยๆ คัด”
มองดูตรงหน้าที่ว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย ในที่สุดมุมปากของจ้านเป่ยเซียวก็อดที่จะเผยให้เห็นรอยยิ้มออกมาจางๆ ไม่ได้
หลังเวลาเที่ยง ในสวนดอกไม้ที่อยู่เรือนหลังจวนอ๋องก็มีเสียงถอดถอนใจดังออกมาเป็นระยะๆ
“เฮ้อ”
“เฮ้อ”
“เฮ้อ”
มือข้างหนึ่งของเฟิ่งชิงหัวหมุนพู่กันอยู่ ทั้งบนมือและบนใบหน้าไม่รู้ว่าเลอะน้ำหมึกไปตั้งแต่เมื่อไร แล้วก็ถอดถอนใจยาวบ้างสั้นบ้างไปยังกระดาษที่กองอยู่เป็นปึกบนโต๊ะ
นี่มันก็ผ่านไปทั้งเช้าแล้ว แม้แต่สักจบหนึ่งนางก็ยังคัดไม่เสร็จเลย จ้านเป่ยเซียวผู้นี้ต้องจงใจกลั่นแกล้งนางอยู่แล้ว ดังนั้นก็เลยทำกฎตระกูลอะไรออกมาเยอะเช่นนี้ และนางก็รู้สึกว่ากฎตระกูลนี้ราวกับว่าเขียนให้นางเอาไว้ดูคนเดียวอยู่แล้ว!
หลังฟ้ามืดแล้วอะไรกันไม่ให้ออกจากจวน ห้ามไม่ให้ใช้วิชาตัวเบาในจวนอ๋อง ห้ามไม่ให้ต่อปากต่อคำกับท่านอ๋อง ห้ามไม่ให้......
ดูยังไงก็เป็นเงื่อนไขของคนวางอำนาจบาตรใหญ่ หากจะต้องปฏิบัติตามกฎตระกูลที่อยู่บนนี้จริงๆ แค่กลัวว่าทั้งเนื้อทั้งตัวของนางจะไม่มีเนื้อชิ้นดีเลย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว
จะอัพเรื่องนี้ต่อไปมั้ยค่ะ😭...
เรื่องนี้หายไปนาน...