เมื่อพนักงานเสิร์ฟกลับเข้ามาทำงาน เธอก็เห็นเด็กชายกำลังดึงที่มุมเสื้อของน้าบีอย่างแน่นพลางมองดูพ่อที่มีขาเรียวยาวอย่างไม่พอใจ พ่อของเขามีใบหน้าที่เย็นชาและเคร่งขรึม เขาจ้องมองไปที่เด็กชายซึ่งกำลังซ่อนตัวอยู่ด้านหลังของน้าบี
เบียงก้านั่งลงและหยิบรองเท้าสองคู่ แปรงสีฟันรูปการ์ตูน นาฬิกา เสื้อยืดและกางเกงขาสั้นของบลองช์ที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นกลับเข้าในกระเป๋าเดินทางสีเหลือง
เมื่อเบียงก้าปิดกระเป๋าเดินทาง เธอก็เห็นว่าตัวล็อกถูกทำลาย
“ขอโทษค่ะ คุณพอมีสก็อตเทปไหม?” เบียงก้าลุกขึ้นยืนและเอ่ยถามพนักงานที่หน้าเคาน์เตอร์
“มีค่ะ กรุณารอสักครู่นะคะ ฉันจะไปหยิบมาให้นะคะ” จากนั้นพนักงานเสิร์ฟก็ก้มหน้าลงและเริ่มควานหาจนพบเทปในลิ้นชัก
เบียงก้ารับมา เธอนั่งลงและเริ่มพันกระเป๋าเดินทางด้วยสก็อตเทป
ถึงแม้ว่ากระเป๋าเดินทางจะไม่สามารถซ่อมแซมหรือนำกลับมาใช้ใหม่ได้อีก แต่ในตอนนี้ เธอแค่ต้องการไม่ให้ข้าวของที่อยู่ภายในร่วงหล่นลงมา
ดังนั้น เธอจึงห่อกระเป๋าใบนั้นเป็นอย่างดี
บลองช์ก้มหน้าลงและพูดกับน้าบีที่กำลังเก็บกระเป๋าให้เขาว่า “น้าบีครับ ผมขอไปอยู่บ้านคุณได้ไหม? ผม…ผมจ่ายค่าเช่าให้คุณได้นะครับ”
เด็กชายยังคงจำได้ว่า ก่อนหน้านี้เขาเคยขอไปอยู่กับน้าบี แต่เธอปฏิเสธเขาด้วยเหตุผลที่ว่าเธอจะต้องทำงานหาเงินเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว
ดังนั้น เขาจึงไม่อยากเป็นภาระให้กับน้าบี เพราะถ้าหากว่าเขาไม่ช่วยเธอจ่ายค่าเช่า เขาเกรงว่าเขาจะทำให้ชีวิตของเธอลำบากยิ่งขึ้น
“จะเอาเงินมาจากที่ไหนล่ะ?” ลุคถามลูกชายด้วยสายตาที่เย็นชา
“ผม...” เด็กชายตัวเล็กมองขึ้นไปที่พ่อของเขาด้วยท่าทางที่เขินอาย เขาอ้าปากค้างอยู่นาน ก่อนที่เขาจะมีความกล้าและพูดขึ้นว่า “ผมมีเงินที่ผมได้มาในวันคริสต์มาสปีที่แล้ว และผมก็ยังมีเหรียญที่ผมสะสมเอาไว้ในกระปุกออมสินด้วย”
บลองช์ได้วางแผนเอาไว้แล้วว่าเขาจะใช้เงินในกระปุกออมสินเพื่อเลี้ยงดูตัวเองเป็นเวลา 10 วันเมื่อเขาหนีออกจากบ้าน
และเงินที่ครอบครัวได้ให้เขาเอาไว้ในวันคริสต์มาสซึ่งมีจำนวนมากนั้น เขาจะใช้เงินจำนวนนั้นเพื่อเรียนเป็นค่าเล่าเรียนได้ไปจนถึงอายุสิบขวบ ซึ่งรวมถึงค่าอาหาร ค่าเสื้อผ้าและรองเท้าอีกหนึ่งคู่
เขาจะใช้เงินอย่างประหยัด
ดังนั้นเขาจึงมั่นใจว่า เขาจะมีชีวิตที่ดีได้โดยที่ไม่ต้องมีพ่อ
สำหรับเรนนี่ เขารู้สึกกังวลว่าน้องสาวของเขาจะไม่สามารถอดทนต่อความยากลำบากในการหนีออกจากบ้านได้ และมันคงจะดีกว่าที่เรนนี่จะอยู่กับตระกูลครอว์ฟอร์ด
ก่อนหน้านี้ เขาอาจจะหุนหันพลันแล่นเกินไป เมื่อเขาถามน้องสาวของเขาว่าอยากจะหนีออกมากับเขารึเปล่า
เมื่อเด็กชายคิดเช่นนั้น เขาก็ตำหนิตัวเองอยู่ภายในใจ
"ขอบคุณค่ะ"
เบียงก้าคืนสก็อตเทปให้แคชเชียร์และเดินกลับมา
เด็กชายดึงสายกระเป๋าของเธอเอาไว้แน่น เขาต้องการติดตามเธอไปทุกที่อย่างสิ้นหวัง เบียงก้าก้มหน้าลงและจับที่ใบหน้าเล็ก ๆ ของบลองช์และพูดว่า "เป็นเด็กดีและกลับบ้านกับคุณพ่อของหนูได้ไหมจ๊ะ?"
ลุคเดินเข้ามาดึงมือลูกชายของเขา ก้มหน้าลงและพูดว่า “เราจะกลับบ้านกัน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจะไม่มีเรื่องไร้สาระแบบนี้เกิดขึ้นอีก ลูกจะไม่มายุ่งเกี่ยวกับน้าบีอีก”
เบียงก้านิ่งเงียบโดยไม่พูดอะไร
“แต่น้าบีบอกว่าเธอมาทำงานและไม่ได้มานัดบอดนะ…” บลองช์พูดในสิ่งที่เขาได้ยินมาจากเบียงก้า พร้อมกับจ้องมองดูพ่อของเขาด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง โดยหวังว่าพ่อของเขาจะไม่เข้าใจน้าบีผิดไป
ลุคมองไปที่เบียงก้าอย่างไม่รู้ตัว
เบียงก้าหันกลับมามองลุค เธอคิดว่าเขาคงจะเข้าใจที่เธอโกหกเด็กชาย ก็เป็นเพราะว่าเธอไม่ต้องการให้เกิดความโกลาหลถ้าหากว่าเธอพูดความจริง
ลุคจับมือบลองช์แล้วเดินออกไป
อย่างไรก็ตาม บลองช์ยังคงดึงสายกระเป๋าของเบียงก้าอย่างดื้อรั้น
ดังนั้น ผู้ใหญ่ทั้งสองคนและเด็กชายจึงเดินออกจากร้านอาหารไป
ในขณะที่พนักงานเสิร์ฟมองตามหลังของพวกเขา
พนักงานเสิร์ฟที่ซุบซิบนินทากันอยู่ในห้องน้ำก่อนหน้านี้ถอนหายใจเบา ๆ และพูดว่า "ทำไมชีวิตของฉันช่างน่าเบื่ออย่างนี้นะ ผู้ชายแบบนี้ก็คงจะมีอยู่แค่ในนิยายเท่านั้น หรือถ้าไม่อย่างนั้น พวกเขาก็คงจะมีเจ้าของกันหมดแล้ว...”
ในขณะนั้น เจสันก็เดินเข้ามาในร้านอาหารเพื่อหยิบกระเป๋าเดินทางสีเหลืองใบเล็ก ๆ
หลังจากที่เจสันจากไป พนักงานเสิร์ฟก็ถอนหายใจอีกครั้ง “เฮ้อ ถ้าฉันไม่สามารถแต่งงานกับพ่อของเด็กชายคนนั้นได้ อย่างน้อย ก็ให้ฉันได้แต่งงานกับผู้ช่วยของเขาก็ยังดี เขาดูมาดแมนมาก…”
...
เจสันเปิดประตูรถเบนท์ลี่ย์ อาร์วี สีดำ
เขาวางกระเป๋าเดินทางไว้ข้างใน แล้วหันกลับมามองเจ้านายที่ดูสงบนิ่งที่อยู่ด้านหลังของเขา จากนั้นเขาก็มองไปที่เด็กชายที่วางขาข้างหนึ่งเอาไว้ในรถและอีกข้างหนึ่งยังคงอยู่ภายนอกรถ เด็กชายดูน่าขบขันเล็กน้อย มือเล็ก ๆ ยังคงดึงเบียงก้าอย่างดื้อรั้น แต่ถึงอย่างนั้นสถานการณ์ก็ยังน่าเป็นห่วง
“ถ้ามีเวลา ฉับจะรีบไปเล่นกับหนูเลยนะ” เบียงก้าจะต้องเกลี้ยกล่อมเด็กชาย
บลองช์กอดต้นขาพ่อของเขาด้วยแขนข้างหนึ่ง ในขณะที่แขนอีกข้างหนึ่งกำลังฉุดรั้งน้าบีเอาไว้ “คุณอย่ามาโกหกผมเลย เพื่อนของผมก็ถูกแม่ของเขาโกหก ก่อนที่เธอจะจากไป เธอบอกกับเขาว่าเธอจะกลับมาหาเขาบ่อย ๆ เธอจะซื้อรองเท้าผ้าใบดี ๆ และของเล่นให้กับเขาเมื่อเธอกลับมา แต่นี่ก็ผ่านมา 7 ปีแล้ว ตอนนี้ เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าแม่ของเขามีหน้าตาเป็นยังไง”
เบียงก้าต้องการจะอธิบายอย่างมีเหตุผลเพื่อบอกกับเขาว่าเธอไม่ใช่แม่ของเขา ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถเปรียบเทียบสถานการณ์ของเธอเช่นนั้นได้
แต่ดูเหมือนว่า เด็กชายจะยึดติดกับความคิดที่เขามี ดังนั้น เธอจึงไม่ต้องการทำให้เขารู้สึกแย่ลงไปอีก
ในเวลานั้น เจสันพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น เอาแบบนี้ไหมครับ คุณเบียงก้า? คุณก็นั่งรถไปส่งเด็ก ๆ กลับบ้านเป็นเพื่อนคุณครอว์ฟอร์ดดีไหมครับ?”
เบียงก้ามองไปที่เจสัน
เจสันยกมือขึ้นและเหลือบมองดูนาฬิกาก่อนที่เขาจะพูดต่อว่า “คุณค่อยกลับบ้านตอนที่ทำให้นายน้อยบลองช์และคุณหนูเรนนี่ใจเย็นลงได้แล้ว คุณยังพอมีเวลาเหลือเพื่อกลับไปทำอาหารเย็นให้คุณปู่เรย์นของคุณนะครับ”
เมื่อเด็กชายได้ยินสิ่งที่คุณลุงเจสันพูด เขาก็เริ่มทำตัวน่าสงสารและดึงเธอแรงขึ้น
เขาเงยหน้าขึ้นด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตา มือเล็ก ๆ ของเขาจับต้นขาพ่อของเขาเอาไว้ ในขณะที่อีกมือหนึ่งยังคงฉุดรั้งเธอ
“ดูสิครับ แขนและขาของนายน้อยก็ยังได้รับบาดเจ็บ และถ้าหากว่าเรายังปล่อยเอาไว้และไม่ทำความสะอาดบาดแผลให้เขาเร็วขึ้น มันอาจจะเกิดการอักเสบได้นะครับ” เจสันกล่าวช่วยท่าทางที่เป็นกังวล
เบียงก้าไม่ต้องการทำให้เรื่องมันยุ่งยากอีกต่อไป เนื่องจากเมื่อเช้าเธอได้ไปที่คฤหาสน์ครอว์ฟอร์ดมาแล้ว ดังนั้น เธอจึงคิดว่ามันคงจะไม่แตกต่างอะไรถ้าหากว่าเธอจะต้องกลับไปที่นั่นอีก
เนื่องจากว่าเธอกำลังยุ่งอยู่กับเด็ก ๆ เธอจึงลืมเรื่องแฟลชไดรฟ์ไปโดยสิ้นเชิง เธอเพิ่งจะนึกได้หลังจากที่เธอเข้ามาในรถแล้ว
เธอจึงโทรหาซู
เมื่อซูรับสายเธอก็พูดว่า “ฉันกำลังจะโทรหาเธอพอดี ฉันคงจะไปส่งแฟลชไดรฟ์ให้เธอไม่ได้แล้ว เธอกลับไปก่อนได้เลยฉันมีเรื่องที่ต้องทำ”
"จ้ะ" เบียงก้าถอนหายใจด้วยความโล่งอก
รถอาร์วีที่เจสันกำลังขับอยู่มีการออกแบบที่หรูหรามาก
ลุคนั่งอยู่ด้านในด้วยใบหน้าที่เย็นชาในขณะที่เขากำลังนั่งไขว่ห้าง เขากำลังจิบชามะลิจากถ้วยที่นำออกมาจากตู้เย็นด้านซ้ายมือ
เป็นที่รู้กันดีว่า ชาสามารถบรรเทาความเครียดได้
บลองช์หยิบแก้วขึ้นมาและเทชาให้กับน้าบีของเขา จากนั้นเขาก็เทชาที่เหลือให้กับพ่อของเขาด้วยความซุกซน
ภายในรถอาร์วีมีมุมอาหารที่เรียบง่าย เรนนี่และลานี่นั่งอยู่บนเบาะที่หรูหราโดยมีเบียงก้านั่งอยู่ตรงกลาง เด็กทั้งสองคนนอนพิงไหล่ของเธอ จากนั้นไม่นาน พวกเขาก็ค่อย ๆ ผล็อยหลับไป
หลังจากที่พวกเขามาถึงยังคฤหาสน์ครอว์ฟอร์ดแล้ว เจสันก็ลงมาจากรถและเปิดประตูให้พวกเขา
เจสันอุ้มบลองช์ออกจากรถและขึ้นไปยังชั้นบน
ในเวลาเดียวกัน เขาก็ได้สั่งให้พี่เลี้ยงเรียกหมอประจำคฤหาสน์มาทำแผลให้บลองช์
ในตอนแรก เบียงก้าต้องการให้ลุคอุ้มเรนนี่ขึ้นไป แต่เรนนี่กอดเธอเอาไว้แน่นจนพวกเธอดูเหมือนแม่และลูกสาว
เบียงก้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากพูดว่า "เดี๋ยวฉันอุ้มเธอขึ้นไปเอง...” จากนั้นเธอก็อุ้มเด็กน้อยลงจากรถอย่างระมัดระวัง
ลุคกังวลว่าศีรษะของเธอจะชนเข้ากับขอบประตูรถ เขาจึงยื่นมือออกมาเพื่อป้องกันศีรษะให้เธอโดยไม่รู้ตัว หลังจากที่เธอลงมาจากรถแล้ว เขาก็รีบเอามือออกและทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หลังจากที่เบียงก้าขึ้นมาที่ชั้นบนและวางเรนนี่ลงบนเตียงแล้ว เธอก็กำลังจะจากไป
ลุคคาบบุหรี่เอาไว้ในปาก ในขณะที่เขายืนรอเธออยู่ตรงประตู เมื่อเธอออกมาจากห้องของเด็ก ๆ แล้ว เขาก็เอื้อมมือออกไปและดึงแขนของเธอมา เธอดิ้นรนด้วยความโกรธ ลุคก็นำบุหรี่ออกจากปาก ด้วยมือข้างหนึ่งและถือบุหรี่เอาไว้ ในขณะที่มืออีกข้างหนึ่งกำลังโอบที่ด้านหลังศีรษะของเธอ จากนั้นเขาก็กดร่างกายของเธอลงอย่างรุนแรงและจูบเธออย่างบ้าคลั่ง!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พราวกลิ่นบุปผาตัณหารัก