พวกเขาเดินทางกลับมาถึงเมืองเอในตอนเช้า
ทอมขับรถเบนลี่ย์ของบริษัทมาจอดอย่างเคย
ซูก้าวลงจากรถ
ในอีกด้าน ฌองยกสัมภาระของเบียงก้าลงจากกระโปรงหลังของรถพร้อมพูดกับเธอ “เดี๋ยวพี่จะส่งเธอกลับบ้านก่อน เธอจะได้พักบ้าง หลับให้สบายนะแล้วเดี๋ยวคืนนี้พี่จะไปหา”
เบียงก้าพยักหน้ารับ
พวกเขาเข็นสัมภาระจากไปขณะบอกลาซูและทอม พวกเขาเดินไปตามทางก่อนจะเรียกแท๊กซี่
ฌองคิดว่าพรุ่งนี้เขาจะต้องซื้อรถสักคัน
การไม่มีรถส่วนตัวใช้มันลำบากเกินไป
เบียงก้าทั้งเหนื่อยและง่วงงุน เมื่อคืนเธอได้นอนในรถไปแค่สองชั่วโมงเท่านั้นเอง แต่ถึงจะได้หลับบ้างแต่ก็ไม่ได้นอนอย่างสบายนัก
ก่อนที่พวกเขาจะได้แท๊กซี่ โทรศัพท์ของฌองก็ดังขึ้น
“พี่ขอรับโทรศัพท์ก่อนนะ” ฌองมองไปที่โทรศัพท์แล้วส่งสัญญาณให้เบียงก้าก่อนจะกดรับสาย
เบียงก้ามองไปที่ฌองแล้วเห็นว่าหน้าเขาค่อย ๆ นิ่วลง “ได้ครับ” ฌองตอบกลับสายในโทรศัพท์ “ผมจะไปเดี๋ยวนี้” เขาเสริม
“มีอะไรรึเปล่าคะ?” เบียงก้าถามหลังจากที่เขาวางสายไป
“อืม หัวหน้าทีมบอกให้พี่ไปประชุมก่อนเที่ยงวันน่ะสิ เขาบอกว่าตอนนี้น้ำขึ้นมันต้องรีบตัก แล้วจะได้รีบหารือเรื่องขั้นตอนต่อ ๆไปด้วย” ฌองพูดอย่างหัวเสีย ตอนนั้นเองที่แท๊กซี่วิ่งมาถึงหัวมุม
เบียงก้าเหลือบไปเห็นแท๊กซี่จึงคว้าเอาสัมภาระของตัวเองมาจากเขา “พี่ไปเถอะค่ะ ฉันกลับเองได้”
ฌองรู้สึกผิดอยู่ในใจ ในฐานะคนรัก เขาน่าจะได้พาเธอกลับบ้านหลังจากที่ต้องเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางไปทำงาน แต่เห็นทีคงต้องเลื่อนเป็นคราวหน้าแทน
เบียงก้าขึ้นไปบนรถแท๊กซี่
รถเคลื่อนตัวออกไปจากช้า ๆ
เบียงก้าจิตใจล่องลอย ก่อนจะผล็อยหลับไป
ผ่านไปครู่หนึ่ง แท๊กซี่จอดนิ่งสนิท คนขับรถหันมาบอกกับเบียงก้า “ถึงแล้วครับ”
เบียงก้าค่อย ๆ ลืมตาขึ้น เธอเห็นว่าตัวเองมาถึงระแวกที่พักแล้ว
เธอตั้งสติแล้วลงจากรถ
ความหนาวเย็นที่พัดเข้ามาทำให้เธอรู้สึกไม่ค่อยดีนัก
เป็นเวลากว่าห้าปีแล้วที่เธอไปจากเมืองเอ เธอได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระ และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอก็คุ้นชินกับการใช้ชีวิตเพียงลำพังไปเสียแล้ว ความหนาวเหน็บและการเจ็บป่วยไม่ได้มีผลอะไรกับเธออีกต่อไป
แต่ไม่ว่าเธอจะเข้มแข็งเพียงใด เธอก็ยังคงเป็นแค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้นเอง
เธอยังต้องการความความใจใส่และการทะนุถนอม
แต่ถึงอย่างนั้นก็ดูเหมือนว่าฌองจะดูไม่ออกเลยสักนิดว่าเธอไม่ค่อยสบาย และนั่นทำให้เธอรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
ราวกับเธอเพิ่งจากบ้านหลังนี้ไปเพียงไม่มีวันเท่านั้น และวันนี้เธอกกลับมาแล้ว กลับมาอย่างเหนื่อยเหลือทน
ศีรษะของเธอหนักอึ้ง เธอจึงนอนพักนิดหน่อย แต่เมื่อเธอตื่นขึ้น ลมหายใจของเธอก็ร้อนราวกับไฟ
เธอพาร่างของตนเองลุกขึ้น แล้วเดินไปหายาแก้ไข้ด้วยตัวเอง
เธอดื่มน้ำในมือไปได้ครึ่งแก้ว เสียงกริ่งที่หน้าประตูก็ดังขึ้น
เบียงก้าเดินไปกดที่อินเตอร์คอม จากนั้นเอ่ยถามผู้มาเยือน “ใครคะ?”
เรื่องที่เธอเช่าห้องนี้อยู่ นอกจากฌองกับนีน่า ก็ไม่มีใครรู้เรื่องนี้อีกแล้ว
“สวัสดีค่ะ คุณเรย์น ฉันมาจากโรงพยาบาลระแวกนี้ค่ะ มีคนโทรมาจองบริการดูแลถึงบ้านกับทางเราน่ะค่ะ คุณจะรับยาสักหน่อยไหมคะ?” ผู้มาเยือนเป็นหญิงสาวในชุดกาวน์สีขาว ในมือของเธอมีกล่องปฐมพยาบาลมาด้วย
เบียงก้าคิดไม่ตก
ใครโทรเรียกพวกเขามา? หรือจะเป็นฌอง?
ฌองอาจจะรู้ว่าเธอไม่สบาย
อาจเพราะอาการป่วยคือความอ่อนแอของเธอ หัวใจของเบียงก้าถึงได้อ่อนไหวและไวต่อความรู้สึกเช่นนี้ ไม่ต้องถึงกับส่งพยาบาลมาดูแลหรอก แค่ยาแก้หวัดไม่กี่เม็ดก็เพียงพอจะทำให้เธอรู้หวั่นไหว และปลอบประโลมหัวใจเธอได้แล้ว
หลังจากที่เธอได้ทานยา ก็มีพนักงานมาส่งอาหารให้เธอด้วย
เบียงก้าพยุงร่างที่ปวดไปทั้งตัวไปเปิดประตู ก่อนที่จะตระหนักได้ว่านี่ไม่ใช่การส่งอาหารแบบธรรมดาทั่วไป นี่มันเป็นงานเลี้ยงในแบบที่จะพบเห็นได้ในละครน้ำเน่าอะไรแบบนั้น
“ช่วยเซ็นรับตรงนี้ด้วยครับ” พนักงานชายหญิงที่มาส่งอาหารมองที่เบียงก้าด้วยสายตาแปลกประหลาด
เบียงก้ารู้สึกอึดอัดไม่น้อย เธออาศัยอยู่ในระแวกที่ธรรมดามาก ๆ และไม่ว่าจะมองมุมไหน เธอก็ดูเป็นแค่มนุษย์เงินเดือนธรรมดา ๆ เท่านั้น ไม่มีทางที่คนอย่างเธอจะมีปัญญาจ่ายค่าอาหารหรูหราแบบนี้ได้แน่
เธอเซ็นชื่อลงในใบเสร็จ แล้วเขาทั้งคู่ก็จากไป
เมื่ออยู่ต่อหน้าอาหารเลิศหรู เบียงก้าก็ถึงกับทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย
ฌองมาจากครอบครัวฐานะปานกลาง และเขาก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร เธอเคยได้รับเพียงแค่การจ่ายค่าตั๋วภาพยนต์และค่าอาหารในร้านธรรมดา ๆ จากฌองเท่านั้น แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเธอในวันนี้นั้นเล่นเอาเธอปวดหัวเลยทีเดียว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พราวกลิ่นบุปผาตัณหารัก