พระชายาคนงาม อย่าคิดหนี นิยาย บท 39

ฉู่เนี่ยนซีคิดจะเดินไปแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าเย่ฉงเซิ่งคนนี้จะพูดคุยโวไม่ละอายใจได้คืบจะเอาศอกแบบนี้

นางเอาเศษขนมฝูหรงที่เหลืออยู่ในมือทิ้งลงสระน้ำ ท่าทางเย็นชาขึ้นมา

นางเกลียดที่สุดคือคนอื่นแส่เรื่องนางโดยไม่ได้รับอนุญาต อีกทั้งไม่รู้รายละเอียดลึกๆด้านในแล้ววิพากษ์วิจารณ์ เหมือนที่เย่ฉงเซิ่งทำอยู่แบบนี้

“คืนนั้นคนที่เห็นข้าคือท่านหรือ?”

“ใช่ ไม่อย่างนั้นข้าจะรายงานท่านพี่สามได้อย่างไร?”

“สับปลับ!”

เย่ฉงเซิ่งเบิกตาโพลงกว้าง ผู้หญิงคนนี้กล้าพูดว่าเขาสับปลับหรือ?

ฉู่เนี่ยนซีทำเสียงไม่พอใจ  กล่าวว่า“คืนนั้นชัดเจนว่าเป็นคนของท่านอ๋องเหลียนเห็นข้า หลอกใช้ท่าน อาศัยการที่ท่านอยากเห็นท่านพี่สามของท่านอับอาย เลยทำทีแกล้งบอกข่าวท่าน!ไม่อย่างนั้นท่านคิดว่าทำไมระหว่างทางกลับจวนถึงได้เจอกับนักฆ่าลอบสังหารเข้าให้ล่ะ?ไม่ใช่เพราะท่านถูกคนหลอกใช้หรือ!”

เย่ฉงเซิ่งคิดไม่ถึงเลย คิดไม่ถึงว่าบทสนทนานี้จะทำให้เกิดเรื่องราวใหญ่โตเช่นนี้ขึ้น แต่เรื่องที่เย่เฟยหลีเจอกับนักฆ่าทำไมเขาถึงไม่รู้?

เหตุใดเมื่อครู่นี้ท่านพี่สามไม่พูด?

“ดูท่านสิเพิ่งจะข้ามผ่านอายุยี่สิบ ทว่ากลับเหมือนเด็กสามขวบ เกินเยียวยาจริงๆ!”

ฉู่เนี่ยนซีสะบัดแขนเสื้อ มองเขาด้วยสายตารังเกียจ กล่าวขึ้นว่า“มีเวลาว่างฟังซ่างกวนเย็นพูดจาไร้สาระอยู่ที่นี่ก็เลยเริ่มสนใจเรื่องไร้สาระ มันไม่สู้กับการดูแลปากตัวท่านเองให้ดีเลยนะ อย่าได้ทำให้เย่เฟยหลีแทบจะเอาชีวิตไม่รอดเพราะตัวท่านอยากดูเรื่องสนุกสนานไร้สาระอีกเลย!”

เย่ฉงเซิ่งจ้องเขม็งมองนาง กำหมัดแน่นตัวสั่นระริก แต่กลับไม่มีคำตอบโต้

“เรื่องของข้า ข้าดูจัดการเองได้!”

ผ่านไปสักพักหนึ่ง เขาพูดออกมาหนึ่งประโยค และออกไปจากบริเวณสระน้ำอย่างรวดเร็วไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง

ฉู่เนี่ยนซีสงบสติอารมณ์ลง ตัวเองไม่ได้อารมณ์เดือดพล่านแบบนี้มานานมากแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะคนตรงหน้านี้มีความสำคัญกับเย่เฟยหลีมาก เกรงว่าแม้แต่คำเดียวนางก็ไม่พูดหรอก

กำลังจะหมุนตัวเดินออกไป พอหันไปก็เห็นเย่เฟยหลีสวมชุดสีดำ กำลังยืนสงบนิ่งอยู่ในป่าไผ่ คนทั้งคนดูว่างๆสบายอกสบายใจ ไม่เหมือนท่านอ๋องหลีที่สูงสง่าองอาจ กลับกันดูเหมือนคุณชายคนหนึ่งมาเดินเตร่ไปมา

ฉู่เนี่ยนซีไม่ได้หลบเขา นางยืนอยู่กับที่มองเขาเดินมาหาตนเอง กล่าวอย่างนุ่มนวลขึ้นว่า“ข้าไม่ได้บอกเขาเรื่องที่เจอนักฆ่าลอบสังหาร เพราะกลัวเขาโทษตัวเอง”

“ท่านคิดที่จะปกป้องเขาไปถึงเมื่อไหร่? ความคิดเหมือนเด็กเช่นนี้ ท่านคิดจะเป็นพ่อเขาหรือ?”

ท่านพ่อของอ๋องเจ็ดคือฝ่าบาท คำพูดรุนแรงเช่นนี้มีเพียงฉู่เนี่ยนซีกล้าพูด แต่เย่เฟยหลีเพียงแค่มองนาง เขาคุ้นชินเอือมกับคำพูดประมาณนี้ของนางแล้ว

“เจ้ารู้ได้ยังไงว่านักฆ่าเหล่านั้นเป็นคนของท่านอ๋องเหลียน?”เย่เฟยหลีเปลี่ยนบทสนทนา นัยน์ตาสั่นไหว

ฉู่เนี่ยนซีรู้ว่าเขาสงสัยตัวเองว่าอาจจะเป็นไส้ศึก เพราะฉะนั้นเลยไม่ได้อธิบายมาก

“จวนอ๋องหลีของพวกท่านมีคนสอดแนม จวนเฉิงเซี่ยงของท่านพ่อข้าก็คือเลี้ยงเสียข้าวสุกหรือ?”

เย่เฟยหลีจ้องมองนางชั่วขณะหนึ่ง เบนสายตาช้าๆ แต่ภายในใจรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างประหลาด ตอนที่เห็นนางตำหนิเย่ฉงเซิ่งเมื่อครู่นี้

“เจ้าเป็นห่วงข้าหรือ?”

ฉู่เนี่ยนซีชะงักงัน มองสายตาร้อนแรงของเขา คิดไม่ถึงว่าจะเกิดความประหม่าขึ้นมา นางพูดหลบเลี่ยงขึ้นว่า”ท่านคิดเยอะไปแล้ว ตอนนี้พวกเราเหมือนตั๊กแตนสองตัวถูกมัดบนเชือกเดียวกัน เกิดเรื่องกับท่าน ย่อมไม่เป็นผลดีต่อข้า”

เมื่อพูดแล้วจึงยกมือขึ้นปัดเศษขนมฝูหรงที่ติดฝ่ามือทิ้ง กลับไปเรือนของตัวเองอย่างคนปกติไม่มีอะไรภายใต้แววตาอันตรายของเย่เฟยหลี

หลังจากกินอิ่มแล้ว ก็ได้เริ่มวางแผนเรื่องซื้อบ่อนอีกครั้ง

ไม่ง่ายที่จะรอได้จนถึงเวลานัด ฉู่เนี่ยนซีหมายจะพาหยูเป่ยออกไปข้างนอกอีกครั้ง

เนื่องจากครั้งแรกถูกเย่เฟยหลีจับได้ นางเรียนรู้จากความผิดพลาดครั้งก่อน ช่วงนี้เลยถือว่าหยุดไปมากแล้ว

ถึงแม้จะยังเอาหยูเป่ยไปด้วย แต่หยูหนานยังมีท่าทางเศร้าโศกที่บอกว่าทำไมไม่เอาเขาไปด้วย ก็เลยสั่งกำชับว่า“หยูหนานเจ้าดูแลที่นี่ตลอดทั้งคืนนะ พอเย่เฟยหลีถามว่าข้าไปไหน เจ้าก็บอกเขาไปตามตรงเลยว่าข้าไปดื่มเหล้าฟังเพลงที่หอจุ้ยเยว่ ถ้าเขามีวี่แววจะมาที่หอจุ้ยเยว่ รีบมาแจ้งข้า วิชาตัวเบากับฝีเท้าเจ้าดีที่สุด จะต้องมาหาข้าก่อนเขามาถึงแน่นอน”

หยูหนานรับคำสั่งด้วยความดีใจ จากนั้นลอยขึ้นหลังคาอยู่กำแพงเพื่อดูแลเรือน เขาใช้วิชาตัวเบาแวบเดียวก็ไม่เห็นเงาแล้ว

ฉู่เนี่ยนซีแต่งตัวเป็นชาย พอดีกับหมวกที่ปกปิดใบหน้ามิด หยูเป่ยเอาม้ามาให้นาง กล่าวยิ้มๆว่า“พระชายาไม่ให้หยูหนานเอาของกินมาให้ ทำให้เขาอึดอัดแย่เลย เขาถามข้าอยู่หลายหนทั้งวันว่าพระชายาไม่ชอบเขาใช่หรือไม่”

ฉู่เนี่ยนซีหัวเราะคิกคัก กำเชือกบังเหียนแน่น ยืดหลังตรงกล่าวว่า“เช่นนั้นต่อไปก็ให้เขาเอาเชอรี่ทอดมาให้ข้าเป็นรายสัปดาห์เถอะ ขนมฝูหรงก็ได้!”

กล่าวจบ ม้าของทั้งสองคนก็ทยานออกทางประตูข้างอย่างรวดเร็ว

ครั้งที่สองที่มาสถานที่แห่งนี้ ฉู่เนี่ยนซีคุ้นเคยทางแล้ว

ช่วงนี้อาศัยเส้นสายที่อยู่ทั่วทุกแห่งหนของสี่พี่น้องตระกูลหยู นางได้รู้เรื่องราวไม่น้อย ยกตัวอย่างเช่นความจริงแล้วหอหุยหุ้น เป็นบ่อนที่ใหญ่ที่สุดของเมือง แม้กระทั่งหอร้องรำหอจุ้ยเยว่ตรงซอยด้านข้างที่ใหญ่ที่สุดยังไม่เท่าเศษหนึ่งส่วนห้าของหอหุยหุ้น

ครั้งก่อนมาเจอเจ้าของบ่อนก็คือที่ชั้นสองของหอจุ้ยเยว่ ฉู่เนี่ยนซีเข้าไปเงียบๆ

เดิมคิดว่าตัวเองถึงก่อน แต่กลับพบว่าประตูมีชายหน้ากากรูปหัววัวกับชายหน้ากากรูปหัวม้ายืนอยู่ ท่าทางนั้นคล้ายดั่งว่าเฝ้ารอคอยนานแล้ว

เมื่อผลักประตูเข้าไป ฉู่เนี่ยนซีได้ยิ้มให้กับคนสวมชุดยาวใส่หมวกตรงหน้าที่เจอกันครั้งก่อน อดไม่ได้ที่จะกล่าวว่า“ท่านดูลึกลับจริงๆ ทำให้ข้าสนใจใบหน้านี้ของท่านมากกว่าบ่อนเสียอีก”

“ต่อไปถ้าหากยังมีโอกาสเจอกันบ่อยๆ ข้าอยากจะให้เจอกันแบบจริงๆ แต่ก็ไม่เป็นไร…”

เมื่อเจ้าของบ่อนได้ยินเลยหัวเราะเบาๆ นางฟังออกว่าเป็นเสียงหัวเราะที่ออกมาจากใจจริง

“ข้าหวังว่าจะมีวันนั้น ใช่แล้ว บ่อนของท่านนี้ ใช่หรือไม่ว่าทำการค้าขายเร่ขายสมุนไพร?”

ถ้าแม้จะคลุมหน้า แต่ฉู่เนี่ยนซีสัมผัสได้ว่า คนที่อยู่ตรงหน้านี้ตกใจเล็กน้อย

ความจริงครั้งที่แล้วนางอยากจะถามมาก แต่ตอนนั้นเป็นการมาเยือนครั้งแรก ไม่กล้าเจาะลึกมาก เพราะฉะนั้นถึงได้เก็บมาถามตอนนี้

อีกอย่างนางรู้สึกว่า ในเมื่อเจ้าของบ่อนคนนี้ยอมให้มันกับนาง เช่นนั้นเรื่องยาสมุนไพรแค่ไม่เกี่ยวข้องกับชีวิตคน สำหรับเจ้าของบ่อนน่าจะไม่สำคัญอะไร

เจ้าของบ่อนรีบจัดการกับอารมณ์ ยิ้มกล่าวว่า”หอหุยหุ้นไม่เคยทำการค้ายาสมุนไพร แต่ต่อไปแม่นางพิจารณาได้ ทำไมหรือ แม่นางมีความสนใจ?”

ฉู่เนี่ยนซีเห็นเขาปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมา รู้ว่าไม่ควรถามมาก ส่วนอยากรู้อยากเห็นนั้นก็หยุดไว้จำใจพยักหน้า กล่าวว่า“ข้าแค่ถามไปอย่างนั้น ไม่มีอะไรแล้ว พวกเราเขียนลายลักษณ์อักษรกันเถอะ”

ข้อตกลงหนึ่งแผ่น รอยพิมพ์นิ้วมือสองอัน ฉู่เนี่ยนซีทำท่าเหมือนคิดอะไรอยู่ แม้แต่เจ้าของบ่อนกล่าวลาตั้งแต่เมื่อไหร่ยังจำไม่แน่ชัดเลย

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พระชายาคนงาม อย่าคิดหนี