ผู้หญิงคนนี้คือหม่ามี๊ของผม นิยาย บท 130

ขณะที่ยี่หวากำลังยืนคุยกับหมอเรื่องผลตรวจอีกที ญาณิศาที่มาโรงพยาบาลเพื่อเอายาให้ดนัยณัฐก็เห็นเข้าพอดี เธอจึงแอบตามยี่หวาไปอย่างเงียบๆ แต่แล้วญาณิศาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นรถที่ยี่หวากำลังขึ้น คนอย่างยัยเด็กนี่จะมีปัญญาซื้อรถแพงขนาดนี้ด้วยเหรอ

ยี่หวาออกมาจากโรงพยาบาลก็ตรงมายังบ้านของฮาเดสที่ตอนนี้มีแต่ลูกน้องเฝ้าอยู่เพราะพวกเขาแยกย้ายกันไปต่างประเทศจัดการเรื่องที่วายุโต้กลับ พวกหมาลอบกัดเจอแบบนี้บ้างก็ดี

“หม่ามี๊มาทำอะไรที่นี่เหรอครับ”

“หม่ามี๊แวะมาหาเพื่อน เรนรอหม่ามี๊ก่อนนะไม่นาน”

“ได้ครับ” เรนจิพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง ขอแค่ให้เขาได้อยู่กับหม่ามี๊ก็พอใจแล้ว

เธอมาที่นี่วันนี้ก็เพราะจะมาคุยเรื่องของดาหลา ที่จะให้พวกเขาไปจัดการ เพราะการลอบกัดเป็นงานถนัดของคนพวกนี้เลย

“นายหญิงสวัสดีครับ…” พวกเขาออกมาต้อนรับยี่หวาอย่างพร้อมเพรียง ก่อนจะหยุดชะงักเมื่อเห็นเด็กผู้ชายที่เธอกำลังจูงมืออยู่ข้างๆ “เด็กคนนี้…”

“ลูกชายฉันเอง เป็นไงหล่อไหม?” ยี่หวาพูดออกมาอย่างภาคภูมิใจ ซึ่งพวกเขาต่างก็พยักหน้าด้วยความงุนงง ส่วนเรนจิตอนนี้ยิ้มกว้างจนปากจะถึงหูอยู่แล้ว

“หล่อมากเลยครับ” มีหวังถ้านายรู้ ต่อให้อยู่คนละขั้วโลก ภายในไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องมาหาถึงที่แน่ แค่คิดก็เสียวสันหลังแล้ว

“เดี๋ยวเรนไปเล่นกับพวกคุณลุงก่อนนะ หม่ามี๊ขอคุยธุระหน่อย” ยี่หวาก้มลงไปพูดกับเรนจิด้วยเสียงหวาน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปสั่งพวกเขาด้วยเสียงแข็ง “ดูแลลูกชายฉันดีๆ ห้ามพาไปเล่นอะไรพิเรนทร์เด็ดขาด”

“ไม่ต้องห่วงครับ พวกผมจะดูแลนายน้อยเป็นอย่างดี”

“อืม”

จากนั้นยี่หวาก็ให้ผู้ชายที่เหลือมานั่งคุยถึงแผนการ “ฉันต้องการให้พวกนายจัดการสองแม่ลูกคู่หนึ่ง คนพวกนั้นเคยขังฉันไว้ในห้องแคบๆ เกือบ 2 ปี แถมยังขโมยลูกชายฉันไปอีก แล้วไหนจะตามฆ่าฉันถึง 6 ครั้ง พวกนายคิดว่าฉันควรจัดการยังไงดี”

“ฆ่าทิ้งครับ!”

“ผมเห็นด้วย ควรฆ่าให้ตายอย่างเดียว”

“คนพวกนั้นทำให้ฉันต้องทนทุกข์ทรมานมาเกือบ 10 ปี ถ้าพวกนายฆ่าให้ตายเลย แล้วพวกเธอจะรับรู้ถึงความทรมานที่ฉันได้รับไหม” ยี่หวาเห็นว่าพวกเขาไม่ตอบจึงพูดขึ้นอีก “เพราะฉะนั้นฉันอยากทำให้พวกมันเป็นโรคจิตเภท* โดยเริ่มจากที่คนลูกก่อนเลย”

“แบบนี้มันน่ากลัวกว่าการฆ่าอีก แต่คนพวกนั้นก็สมควรได้รับแล้ว นายไม่ต้องห่วงปล่อยให้เป็นหน้าที่พวกผมเอง รับรองนรกไม่มีทางเรียกหาแน่นอน”

ยี่หวารู้ว่าวิธีของพวกเขาจะต้องไม่ทำอะไรรุนแรงกับคนพวกนั้น เผลอๆ การลงมือครั้งนี้แทบจะไม่ต้องถูกตัวเลยด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาในการจัดการซึ่งเธอเองก็ไม่ใช่คนใจร้อนอะไรอยู่แล้ว

“ว่าแต่ความจำนายหญิงกลับมาแล้วเหรอครับ”

“ใช่ เพิ่งกลับมา แล้วก็ไม่ต้องเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้คนคนนั้นฟังล่ะ ฉันไม่อยากให้เขาเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้”

“ครับนาย”

เมื่อคุยเสร็จยี่หวาก็เดินไปหาเรนจิ แต่ภาพที่เห็นทำให้เธอแทบอยากจะกระโดดถีบพวกเขาจริงๆ “ก็บอกว่าไม่ให้พาลูกฉันเล่นอะไรพิเรนทร์ไง”

“ยิงปืนไม่พิเรนทร์นะครับ มันคือการป้องกันตัว แถมที่ผมให้เล่นก็เป็นปืนอัดลมครับไม่ต้องห่วง” ลูกน้องคนหนึ่งเถียงขึ้นอย่างมั่นใจว่าเขาไม่ได้ทำอะไรผิด

“แต่ลูกฉันเพิ่งจะ 5 ขวบ!” ยี่หวาเองก็เถียงกลับไปอย่างไม่ยอมแพ้ ถึงจะเป็นปืนอัดลมก็ไม่ได้

“หม่ามี๊อย่าโกรธพวกคุณลุงเลยครับ สนุกดีเรนชอบ”

“โห! ลูกชายนายหญิงสุดยอด!!!” ลูกน้องคนหนึ่งที่วิ่งไปเอาเป้ากลับมาก็ต้องตะโกนออกมาอย่างตกใจ “เข้าจุดตายเกือบหมดเลย”

กระดาษยิงปืนของที่นี่จะเป็นรูปเงาคนสีดำ เพื่อความสะดวกต่อการเล็งยิงสำหรับฆ่าคน ซึ่งเรนจิเองก็ไม่ได้ยิงเข้าตรงกลาง แต่เขายิงเข้าที่หัวใจ แถมยังมีตรงหัวอีก

“โอ้ว! สมแล้วที่เป็นลูกของนายหญิง ไม่สนใจให้ลูกเข้าองค์กรเหรอครับ ฝีมือขนาดนี้โตไปอยู่ในระดับเดียวกับพวกเฮียๆ แน่”

“ไม่!” จะมีแม่คนไหนที่อยากให้ลูกตัวเองกลายเป็นนักฆ่ากันล่ะ “เรากลับบ้านกันเถอะนะคนเก่ง”

“เดี๋ยวครับนายหญิง ตรงทางเข้าพบคนท่าทางมีพิรุธอยู่ด้วย” ลูกน้องคนหนึ่งส่งแท็บเล็ตให้ยี่หวา ก็พบกับวิดีโอที่กำลังฉายภาพจากกล้องวงจรปิด ซึ่งบนจอก็ปรากฏภาพผู้หญิงคนหนึ่ง และเพียงเห็นแค่ข้างหลังยี่หวาก็รู้แล้วว่าเป็นใคร

“นี่คือคนแม่ที่ฉันพูดถึง”

“เข้ามาเหยียบถึงถิ่น เอาไงดีครับ”

ยี่หวาเอามือไปปิดหูเรนจิทั้งสองข้าง ก่อนจะพูดออกมาด้วยเสียงเบาว่า “ไปหยิบปืนมาให้ฉัน”

“ครับ!”

ขณะที่ญาณิศากำลังแอบซุ่มดูยี่หวาอยู่หน้าบ้านของฮาเดส เพราะเธอสงสัยว่ายี่หวามาทำอะไรที่บ้านหลังใหญ่อย่างกับคฤหาสน์หลังนี้ ก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น วินาทีถัดมาก็มีลูกกระสุนพุ่งตรงมายังไหล่ของเธอจนเลือดออก “โอ๊ย!”

ญาณิศารีบหันซ้ายหันขวาแต่ก็ไม่พบกับใครเลย เนื่องจากซอยนี้เป็นซอยเปลี่ยวที่มีบ้านตั้งอยู่แค่หลังเดียว และพอจะหนีกลับขึ้นรถก็ถูกยิงเข้าที่ขาอีก คราวนี้เธอรีบตะโกนร้องให้คนช่วยอย่างหวาดระแวง เพราะตอนนี้เธอไม่สามารถขยับไปไหนได้ แถมไม่รู้ว่าจะโดนยิงตรงไหนอีกหรือเปล่า

นาทีต่อมายี่หวาก็ขับรถออกมาจากบ้าน ก่อนจะหยุดอยู่ที่หน้าประตูและหันไปสั่งเรนจิ “คนเก่งนั่งอยู่ในรถเปิดเพลงดังๆ รอหม่ามี๊สักครู่นะ”

เรนจิพยักหน้าอย่างเชื่อฟังหยิบหูฟังขึ้นมาสวมและเปิดเพลงเสียงดัง จากนั้นยี่หวาก็ลงจากรถและเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าญาณิศา ก้มหน้าลงมองเธอที่กำลังนั่งทรมานอยู่บนพื้นถนนด้วยแววตาเย็นชาที่แฝงไปด้วยความอาฆาต ทำเอาญาณิศาถึงกับขนลุก

“ช่วยป้าด้วย…” ญาณิศากัดฟันขอร้องยี่หวา

“หึ” ยี่หวายกยิ้มหัวเราะ น้ำเสียงเต็มไปด้วยการประชดเสียดสี “ฉันไปเป็นหลานคุณตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”

“ช่วย…ฉัน…” เสียงญาณิศาขาดหาย เพราะเธอเริ่มจะทนความเจ็บไม่ไหวแล้ว

“ช่วยงั้นเหรอ…กำลังพล่ามอะไรอยู่” ในสายตายี่หวาเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม “หรือว่าโดนยิงแค่นี้ก็สมองเสื่อมแล้ว ถึงได้ลืมว่าคุณเคยทำอะไรกับฉันไว้บ้าง”

“ความจำแก! ...โอ๊ย! แกมัน…โรคจิต!” ญาณิศาพ่นคำด่าออกมา เพราะอยู่ๆ ยี่หวาก็ย่อตัวลงเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงข้างหลังของญาณิศาจากนั้นก็โยนใส่แผลที่ขาของเธอ

“เหอะ! ทั้งแม่ทั้งลูกฉลาดแต่งเรื่องเลวๆ จริงๆ ถ้าไม่อยากตายก็โทรเรียกรถพยาบาลซะ” ว่าจบยี่หวาก็เดินกลับขึ้นรถแล้วขับออกไปทันที เธอก็แค่อยากให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงความเจ็บปวดที่เธอเคยเจอ เพราะคนเลวๆ แบบนั้นยังไม่สมควรที่จะตาย

ส่วนญาณิศาก็แทบอยากจะกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดและเจ็บใจ เรื่องที่เธอโดนยิงครั้งนี้ยัยเด็กนั่นต้องมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยแน่!

* โรคจิตเภท คือ โรคที่ผู้ป่วยจะมีอาการประสาทหลอน หูแว่ว มีภาพหลอนเกิดขึ้น และจะแสดงออกโดยการพูดคนเดียว หัวเราะคนเดียว มีความหลงผิดหรือหวาดระแวง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้หญิงคนนี้คือหม่ามี๊ของผม