พนักงานเต่าถูกตีก็ไม่โกรธสักนิด รอยยิ้มยังประดับอยู่บนใบหน้า ท่าทางเคารพนบน้อมถึงขั้นมีความประจบสอพลออยู่ด้วย
“ท่านรอสักครู่ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ คุณชายหยางอุตส่าห์ให้เกียรติมาเยือน นายหญิงรู้เข้าจะต้องดีใจมากแน่ๆ ขอรับ”
สวี่ชีอันเรียกใช้ฝูเซียงอยู่บ่อยครั้ง คนในลานเชื่อมานานแล้วว่าเขาคือคนรักของแม่นางคณิกา พนักงานต้อนรับตัวน้อยหยิ่งยโสเย็นชากับแขกคนอื่นๆ แต่ไม่กล้าละเลยสวี่ชีอัน
แทบจะรอเลียแข้งเลียขาไม่ไหว
สวี่ชีอันนำหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเข้าไปในเรือน ต้นบ๊วยที่มุมกำแพงส่งกลิ่นหอมลอยโชย กำแพงสีขาวกระเบื้องดำ งามสง่าอย่างยิ่ง
เมื่อนางคณิกาได้ยินว่าสวี่ชีอันมาเหมาที่นั่งจึงให้สาวใช้แต่งหน้าอย่างงดงามประณีตทันที นางสวมกระโปรงยาวลากพื้นสีขาวชมพู เผยให้เห็นกระดูกไหปลาร้าละเอียดอ่อนกับลำคอขาวสล้าง
เกาะอกสีขาวเดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ท่ามกลางผ้าบางโปร่งใส
ฝูเซียงมารับแขกด้วยตัวเอง นางเทเหล้ารินชาให้กับสวี่ชีอัน บางครั้งก็เอ่ยคำพูดข้างหูบ้าง รอยยิ้มงามราวกับบุปผา
ฆ้องทองแดงทั้งคณะเห็นแล้วอิจฉาเป็นที่สุด
ฝูเซียงนั้นเป็นคณิกาที่มีชื่อเสียงยิ่ง และหลังจากกลอน ‘กลิ่นหอมละมุนคลุ้งกลางจันทรายามสายัณห์’ เผยแพร่ออกไป ค่าตัวของนางก็เพิ่มสูงขึ้น
ได้ยินมาว่าไม่ได้รับแขกอีกแล้ว อย่างน้อยกับคนธรรมดาก็เป็นไปไม่ได้
แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ แต่แขกที่มาดื่มสุราฟังดนตรีและดื่มชาสนทนากันในหออิ่งเหมยก็ยังมีมากมายราวกับปลานิลกระโดดข้ามแม่น้ำ เพราะฝูเซียงจะออกมาเป็นเจ้าภาพในบางครั้งบางคราวและจัดให้ทุกคนได้เล่นดื่มสุรากัน
พอดื่มสุราไปได้สามรอบ สวี่ชีอันก็ขยิบตาให้กับซ่งถิงเฟิงแล้วลุกขึ้น “สหายร่วมงานทุกท่าน ข้าแซ่สวี่คออ่อนนัก ขอไปพักผ่อนก่อน พวกท่านสนุกกันไปเถิด”
เหล่าฆ้องทองแดงย่อมไม่มีความเห็นใด แต่ละคนสบตากันแล้วหัวเราะหึๆ ออกมา
นัยน์ตาของฝูเซียงกลอกหมุน เหลือบมองสวี่ชีอันอย่างแปลกประหลาด ปล่อยให้เขาโอบไหล่หอมกรุ่นจากไป
…
หลังจากอาบน้ำเสร็จ สวี่ชีอันก็สวมชุดคลุมสีขาว เอนนั่งอย่างเกียจคร้าน ในมือถือแก้วเหล้า
“คุณชายสวี่พาสหายร่วมงานมาดื่มสุราน้อยครั้งนักเจ้าค่ะ” ฝูเซียงที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จเหมือนกันและมานั่งอยู่บนเตียงที่ค่อนข้างอยู่ห่างไป นางเอียงศีรษะแล้วเช็ดผม
ผิวของนางนุ่มนวล ใบหน้าไร้ที่ติท่ามกลางเงาเทียนสั่นไหวนั้น นางดูมีเสน่ห์ลึกลับขึ้นมาไม่น้อย
“เรื่องนี้พูดแล้วยาว” สวี่ชีอันดื่มเหล้าหนึ่งอึกแล้วถอนหายใจ “สองสามวันก่อนมีฆ้องทองคำสองคนถูกใจข้า ล้วนอยากจะให้ข้าไปอยู่ใต้บังคับบัญชา จึงทะเลาะกันในหน่วยงานลาดตระเวนยามวิกาล”
ฝูเซียงลงจากเตียง กระโปรงเลื่อนลงมาคลุมขายาวสีขาวราวหิมะทั้งสองข้าง นางโอบกอดสวี่ชีอันจากด้านหลังแล้วยิ้มแผ่วเบาพร้อมเอ่ย “เจอคนอิจฉาตาร้อนใส่หรือเจ้าคะ”
“โรคตาร้อนเช่นนี้มีมาตั้งแต่โบราณ” สวี่ชีอันไม่ได้ปฏิเสธ
“คุณชายสวี่บอกมาโดยเร็วเถอะว่าข้าน้อยจะให้ความบันเทิงแก่สหายร่วมงานแทนท่านได้ดี” ฝูเซียงเอ่ยอย่างเสียใจ
นางไม่ได้สนใจฆ้องทองแดงคนอื่นๆ ตอนนั่งอยู่ด้วยกันนัก
“ไม่จำเป็น” สวี่ชีอันแย้มยิ้ม
เขาไม่ได้ขาดความสามารถด้านมนุษยสัมพันธ์ เขาพลิกมือมากอดฝูเซียงไว้ในอ้อมแขนแล้วเทแก้วสุราลงไป เหล้าเย็นๆ ไหลไปตามลำคอขาวราวหิมะของฝูเซียง
“ดื่มเหล้าแบบนี้สิถึงจะสนุก” สวี่ชีอันก้มหน้าพร้อมยิ้มกว้าง
ฝูเซียงที่ทั้งตัวเต็มไปด้วยกลิ่นเหล้ากลับไปแช่น้ำอีกครั้ง สวี่ชีอันจึงอ้างว่าจะออกไปสูดอากาศ เขาออกจากห้องนอนหลักไปดูที่ห้องสุรา เหล่าสหายร่วมงานกำลังเล่นเกมอย่างมีความสุขท่ามกลางเสียงดนตรี ราวกับได้เปิดโลกใบใหม่ออกมา
อันที่จริงขอเพียงมีเงินเพียงพอ เหล่าสาวใช้ในลานของสำนักสังคีตก็จะไม่ปฏิเสธ ตั้งแต่โบราณมาล้วนเป็นเช่นนี้
สวี่ชีอันกระโดดขึ้นไปบนกำแพง หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อแล้วเผามัน
เขาเงยหน้าขึ้น ปราณใสสองสายพุ่งผ่านค่ำคืนมืดมิด แวบหนึ่งก็หายวับไป
ในสายตาของเขามีปราณแต่ละอย่างแต่ละชนิดปรากฏขึ้นมา โลกก็เปลี่ยนไปเป็นมีสีสันพร่างพราว
สวี่ชีอันรู้มาจากทางฉู่ไฉ่เวยว่าสีเขียวมรกตหมายถึงไอปีศาจ ตอนที่ลาดตระเวนยามวิกาลวันนั้น เขามองเห็นแสงสีเขียวกะพริบวูบอยู่กลางอากาศเหนือสำนักสังคีตอย่างชัดเจน
นี่หมายความว่าในสำนักสังคีตมีมารปีศาจซ่อนตัวอยู่ เป็นการคาดเดาที่ใจกล้าอย่างยิ่ง เพราะสำนักสังคีตเป็นสถานที่ที่ขุนนางระดับสูงมักจะมาดื่มสุราหาความสุขกัน สถานที่เช่นนี้กลับมีมารร้ายซ่อนตัวเสียได้
แต่นี่คือความจริง
ครั้งนี้สวี่ชีอันจดจำหลักการที่ว่าไม่หาเรื่องตายก็จะไม่ตายได้อย่างดี เขาไม่ได้จ้องมองไปทางสำนักโหราจารย์เพื่อเลี่ยงไม่ให้ถูกท่านโหราจารย์ทำให้ตาสุนัขของเขาบอดอีก
เขากวาดมองอากาศเหนือของสำนักสังคีต ทุกที่ที่มองไปก็มีสีสันมากมายส่องประกาย แต่ไม่มีไอปีศาจ
“มารร้ายหนีไปแล้ว…หรือว่าใช้วิธีการพิเศษมาซ่อนตัวอยู่” สวี่ชีอันกระโดดลงจากกำแพงแล้วกลับเข้าไปในห้องส่วนตัวของคณิกาฝูเซียง
…
ฝูเซียงนอนขดตัวอยู่ในอ้อมกอดของสวี่ชีอัน ดวงตาเป็นประกายวาววับ “คุณชายสวี่ ไถ่ตัวให้ข้าน้อยได้หรือไม่เจ้าคะ”
พูดเรื่องเงินแล้วทำร้ายความรู้สึกยิ่งนัก…สวี่ชีอันผู้อยู่ในช่วงทำตัวเป็นปัญญาชนไม่หวั่นไหว
หญิงคณิกาบิดตัวแล้วเอ่ยอย่างแง่งอน “ขอเพียงให้ตัวข้าเป็นอนุคนหนึ่งก็พอใจแล้ว คิดเพียงอยากจะรับใช้อยู่ข้างกายคุณชายสวี่เท่านั้นเจ้าค่ะ”
สวี่ชีอันลูบศีรษะนาง นิ้วมือเคลื่อนผ่านผ้าไหมสีคราม “อย่าซุกซน ความรู้สึกจริงใจเช่นนี้ของพวกเราไม่ควรแปดเปื้อนด้วยเรื่องเงินทอง”
ขอบตาของฝูเซียงแดงก่ำ เอ่ยพร้อมน้ำตา “ท่านแค่ต้องการเล่นสนุกกับข้า พอเล่นจนเบื่อแล้วก็จะผลักไสข้าออกไป”
นี่เจ้าจับได้แล้วหรือ! สวี่ชีอันครุ่นคิดอย่างประหลาดใจ
ปากเขาก็เอ่ยอย่างจนปัญญา “เจ้าเป็นคณิกาของสำนักสังคีต การไถ่ตัวเจ้า หากไม่มีสักสี่ห้าพันตำลึงก็เป็นไปไม่ได้หรอก อีกอย่างไม่แน่ว่ากรมพิธีการอาจไม่ยอมรับ”
“หลายปีมานี้ข้าน้อยได้เก็บเงินเอาไว้ส่วนหนึ่ง อีกอย่างข้าก็ได้จ้างคนไปถาม ฆ้องทองแดงใช้เวลาแค่สามปีก็สามารถซื้อบ้านในเมืองชั้นในได้แล้ว” ฝูเซียงกอดเขา อ้อนวอนเสียงเบา “คุณชายสวี่ ไถ่ตัวข้าเถิดนะเจ้าคะ”
คณิกามากมารยาไม่เพียงรู้จักการแง่งอน แต่ยังใช้ประโยชน์จากต้นทุนของตัวเองอย่างเต็มที่ ส่วนนูนเด่นงดงามเปล่งปลั่งแนบชิดติดกับสวี่ชีอัน
ดวงตาแฝงด้วยหยาดน้ำตาคลอ น่าสงสารยิ่งนัก
สวี่ชีอันขมวดคิ้ว นี่ไม่ใช่เรื่องน่าลำบากใจอะไร ชาติก่อนเขาก็เคยพบผู้หญิงประเภทนี้ที่รู้จักการทำตัวแง่งอนเอาแต่ใจ จะซื้ออันนั้นจะซื้อนั้นนี้ (ของหรูหรา) แต่สวี่ชีอันก็จัดการได้
เขาแค่แปลกใจนิดหน่อย คณิกาผู้มีชื่อเสียงโด่งดังคนหนึ่งที่ธุรกิจกำลังรุ่งเรืองก้าวหน้าและกำลังอยู่ในวัยแรกแย้ม แม้ว่าอยากจะกลับใจไปเป็นฝั่งเป็นฝา แต่มันไม่เร็วไปหน่อยหรือ
อีกอย่าง ถึงแม้ว่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลจะทำให้เหล่าขุนนางหวาดกลัวเพราะเหตุผลทางโครงสร้าง แต่ด้วยตำแหน่งของฝูเซียง การไปเป็นอนุให้ข้าราชการระดับสี่ก็มีกินมีใช้เหลือเฟือแล้ว
“เรื่องนี้ไม่รีบร้อน รอให้ข้าเก็บเงินได้จำนวนหนึ่งแล้วค่อยมาไถ่ตัวเจ้า” สวี่ชีอันเอ่ยอย่างขอไปที เขากอดเรือนร่างนุ่มลื่นของคณิกาเอาไว้ ทำให้ตนหลับใหลในสามวินาที
ท่ามกลางความมืดมิด ฝูเซียงจ้องมองใบหน้าของสวี่ชีอันอย่างเงียบเชียบ นัยน์ตาสว่างชัด
…
วันต่อมายามเช้าตรู่ คนทั้งคณะก็ออกจากสำนักสังคีต
เมื่อเหล่าฆ้องทองแดงเห็นสวี่ชีอันก็เอ่ยทักทายพร้อมรอยยิ้ม ความสัมพันธ์สนิทสนมขึ้นมามาก ถ้าหากก่อนหน้านี้เพียงแค่เห็นสวี่ชีอันเป็นสหายร่วมงาน ตอนนี้ก็เห็นเขาเห็นสหายน้อยแล้ว
ผลลัพธ์ดียิ่งนัก
ความจริงตราบใดที่ไม่ใช่ผู้ที่มีจิตใจริษยาจนเกินไปหรือมีตำแหน่งสูงเกินไป ฆ้องทองแดงในระดับเดียวกันก็จะไม่เกลียดชังเขาอย่างไร้สมองหรอก
ความคิดจิตใจยืดหยุ่น สนองตามความต้องการของผู้อื่น เปิดเผยมีน้ำใจ คนส่วนมากยินดีจะคบหาสวี่ชีอันอยู่แล้ว
ด้วยเหตุนี้ สถานะของเจ้าคนโชคขี้หมาที่ถูกฆ้องทองคำสองคนต้องตาก็เปลี่ยนไปเป็น ‘เจ้าคนที่ถูกฆ้องทองคำต้องตาผู้นี้คือเพื่อนของข้าเอง’
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง