ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 101

พนักงานเต่าถูกตีก็ไม่โกรธสักนิด รอยยิ้มยังประดับอยู่บนใบหน้า ท่าทางเคารพนบน้อมถึงขั้นมีความประจบสอพลออยู่ด้วย

“ท่านรอสักครู่ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ คุณชายหยางอุตส่าห์ให้เกียรติมาเยือน นายหญิงรู้เข้าจะต้องดีใจมากแน่ๆ ขอรับ”

สวี่ชีอันเรียกใช้ฝูเซียงอยู่บ่อยครั้ง คนในลานเชื่อมานานแล้วว่าเขาคือคนรักของแม่นางคณิกา พนักงานต้อนรับตัวน้อยหยิ่งยโสเย็นชากับแขกคนอื่นๆ แต่ไม่กล้าละเลยสวี่ชีอัน

แทบจะรอเลียแข้งเลียขาไม่ไหว

สวี่ชีอันนำหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเข้าไปในเรือน ต้นบ๊วยที่มุมกำแพงส่งกลิ่นหอมลอยโชย กำแพงสีขาวกระเบื้องดำ งามสง่าอย่างยิ่ง

เมื่อนางคณิกาได้ยินว่าสวี่ชีอันมาเหมาที่นั่งจึงให้สาวใช้แต่งหน้าอย่างงดงามประณีตทันที นางสวมกระโปรงยาวลากพื้นสีขาวชมพู เผยให้เห็นกระดูกไหปลาร้าละเอียดอ่อนกับลำคอขาวสล้าง

เกาะอกสีขาวเดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ท่ามกลางผ้าบางโปร่งใส

ฝูเซียงมารับแขกด้วยตัวเอง นางเทเหล้ารินชาให้กับสวี่ชีอัน บางครั้งก็เอ่ยคำพูดข้างหูบ้าง รอยยิ้มงามราวกับบุปผา

ฆ้องทองแดงทั้งคณะเห็นแล้วอิจฉาเป็นที่สุด

ฝูเซียงนั้นเป็นคณิกาที่มีชื่อเสียงยิ่ง และหลังจากกลอน ‘กลิ่นหอมละมุนคลุ้งกลางจันทรายามสายัณห์’ เผยแพร่ออกไป ค่าตัวของนางก็เพิ่มสูงขึ้น

ได้ยินมาว่าไม่ได้รับแขกอีกแล้ว อย่างน้อยกับคนธรรมดาก็เป็นไปไม่ได้

แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ แต่แขกที่มาดื่มสุราฟังดนตรีและดื่มชาสนทนากันในหออิ่งเหมยก็ยังมีมากมายราวกับปลานิลกระโดดข้ามแม่น้ำ เพราะฝูเซียงจะออกมาเป็นเจ้าภาพในบางครั้งบางคราวและจัดให้ทุกคนได้เล่นดื่มสุรากัน

พอดื่มสุราไปได้สามรอบ สวี่ชีอันก็ขยิบตาให้กับซ่งถิงเฟิงแล้วลุกขึ้น “สหายร่วมงานทุกท่าน ข้าแซ่สวี่คออ่อนนัก ขอไปพักผ่อนก่อน พวกท่านสนุกกันไปเถิด”

เหล่าฆ้องทองแดงย่อมไม่มีความเห็นใด แต่ละคนสบตากันแล้วหัวเราะหึๆ ออกมา

นัยน์ตาของฝูเซียงกลอกหมุน เหลือบมองสวี่ชีอันอย่างแปลกประหลาด ปล่อยให้เขาโอบไหล่หอมกรุ่นจากไป

หลังจากอาบน้ำเสร็จ สวี่ชีอันก็สวมชุดคลุมสีขาว เอนนั่งอย่างเกียจคร้าน ในมือถือแก้วเหล้า

“คุณชายสวี่พาสหายร่วมงานมาดื่มสุราน้อยครั้งนักเจ้าค่ะ” ฝูเซียงที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จเหมือนกันและมานั่งอยู่บนเตียงที่ค่อนข้างอยู่ห่างไป นางเอียงศีรษะแล้วเช็ดผม

ผิวของนางนุ่มนวล ใบหน้าไร้ที่ติท่ามกลางเงาเทียนสั่นไหวนั้น นางดูมีเสน่ห์ลึกลับขึ้นมาไม่น้อย

“เรื่องนี้พูดแล้วยาว” สวี่ชีอันดื่มเหล้าหนึ่งอึกแล้วถอนหายใจ “สองสามวันก่อนมีฆ้องทองคำสองคนถูกใจข้า ล้วนอยากจะให้ข้าไปอยู่ใต้บังคับบัญชา จึงทะเลาะกันในหน่วยงานลาดตระเวนยามวิกาล”

ฝูเซียงลงจากเตียง กระโปรงเลื่อนลงมาคลุมขายาวสีขาวราวหิมะทั้งสองข้าง นางโอบกอดสวี่ชีอันจากด้านหลังแล้วยิ้มแผ่วเบาพร้อมเอ่ย “เจอคนอิจฉาตาร้อนใส่หรือเจ้าคะ”

“โรคตาร้อนเช่นนี้มีมาตั้งแต่โบราณ” สวี่ชีอันไม่ได้ปฏิเสธ

“คุณชายสวี่บอกมาโดยเร็วเถอะว่าข้าน้อยจะให้ความบันเทิงแก่สหายร่วมงานแทนท่านได้ดี” ฝูเซียงเอ่ยอย่างเสียใจ

นางไม่ได้สนใจฆ้องทองแดงคนอื่นๆ ตอนนั่งอยู่ด้วยกันนัก

“ไม่จำเป็น” สวี่ชีอันแย้มยิ้ม

เขาไม่ได้ขาดความสามารถด้านมนุษยสัมพันธ์ เขาพลิกมือมากอดฝูเซียงไว้ในอ้อมแขนแล้วเทแก้วสุราลงไป เหล้าเย็นๆ ไหลไปตามลำคอขาวราวหิมะของฝูเซียง

“ดื่มเหล้าแบบนี้สิถึงจะสนุก” สวี่ชีอันก้มหน้าพร้อมยิ้มกว้าง

ฝูเซียงที่ทั้งตัวเต็มไปด้วยกลิ่นเหล้ากลับไปแช่น้ำอีกครั้ง สวี่ชีอันจึงอ้างว่าจะออกไปสูดอากาศ เขาออกจากห้องนอนหลักไปดูที่ห้องสุรา เหล่าสหายร่วมงานกำลังเล่นเกมอย่างมีความสุขท่ามกลางเสียงดนตรี ราวกับได้เปิดโลกใบใหม่ออกมา

อันที่จริงขอเพียงมีเงินเพียงพอ เหล่าสาวใช้ในลานของสำนักสังคีตก็จะไม่ปฏิเสธ ตั้งแต่โบราณมาล้วนเป็นเช่นนี้

สวี่ชีอันกระโดดขึ้นไปบนกำแพง หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อแล้วเผามัน

เขาเงยหน้าขึ้น ปราณใสสองสายพุ่งผ่านค่ำคืนมืดมิด แวบหนึ่งก็หายวับไป

ในสายตาของเขามีปราณแต่ละอย่างแต่ละชนิดปรากฏขึ้นมา โลกก็เปลี่ยนไปเป็นมีสีสันพร่างพราว

สวี่ชีอันรู้มาจากทางฉู่ไฉ่เวยว่าสีเขียวมรกตหมายถึงไอปีศาจ ตอนที่ลาดตระเวนยามวิกาลวันนั้น เขามองเห็นแสงสีเขียวกะพริบวูบอยู่กลางอากาศเหนือสำนักสังคีตอย่างชัดเจน

นี่หมายความว่าในสำนักสังคีตมีมารปีศาจซ่อนตัวอยู่ เป็นการคาดเดาที่ใจกล้าอย่างยิ่ง เพราะสำนักสังคีตเป็นสถานที่ที่ขุนนางระดับสูงมักจะมาดื่มสุราหาความสุขกัน สถานที่เช่นนี้กลับมีมารร้ายซ่อนตัวเสียได้

แต่นี่คือความจริง

ครั้งนี้สวี่ชีอันจดจำหลักการที่ว่าไม่หาเรื่องตายก็จะไม่ตายได้อย่างดี เขาไม่ได้จ้องมองไปทางสำนักโหราจารย์เพื่อเลี่ยงไม่ให้ถูกท่านโหราจารย์ทำให้ตาสุนัขของเขาบอดอีก

เขากวาดมองอากาศเหนือของสำนักสังคีต ทุกที่ที่มองไปก็มีสีสันมากมายส่องประกาย แต่ไม่มีไอปีศาจ

“มารร้ายหนีไปแล้ว…หรือว่าใช้วิธีการพิเศษมาซ่อนตัวอยู่” สวี่ชีอันกระโดดลงจากกำแพงแล้วกลับเข้าไปในห้องส่วนตัวของคณิกาฝูเซียง

ฝูเซียงนอนขดตัวอยู่ในอ้อมกอดของสวี่ชีอัน ดวงตาเป็นประกายวาววับ “คุณชายสวี่ ไถ่ตัวให้ข้าน้อยได้หรือไม่เจ้าคะ”

พูดเรื่องเงินแล้วทำร้ายความรู้สึกยิ่งนัก…สวี่ชีอันผู้อยู่ในช่วงทำตัวเป็นปัญญาชนไม่หวั่นไหว

หญิงคณิกาบิดตัวแล้วเอ่ยอย่างแง่งอน “ขอเพียงให้ตัวข้าเป็นอนุคนหนึ่งก็พอใจแล้ว คิดเพียงอยากจะรับใช้อยู่ข้างกายคุณชายสวี่เท่านั้นเจ้าค่ะ”

สวี่ชีอันลูบศีรษะนาง นิ้วมือเคลื่อนผ่านผ้าไหมสีคราม “อย่าซุกซน ความรู้สึกจริงใจเช่นนี้ของพวกเราไม่ควรแปดเปื้อนด้วยเรื่องเงินทอง”

ขอบตาของฝูเซียงแดงก่ำ เอ่ยพร้อมน้ำตา “ท่านแค่ต้องการเล่นสนุกกับข้า พอเล่นจนเบื่อแล้วก็จะผลักไสข้าออกไป”

นี่เจ้าจับได้แล้วหรือ! สวี่ชีอันครุ่นคิดอย่างประหลาดใจ

ปากเขาก็เอ่ยอย่างจนปัญญา “เจ้าเป็นคณิกาของสำนักสังคีต การไถ่ตัวเจ้า หากไม่มีสักสี่ห้าพันตำลึงก็เป็นไปไม่ได้หรอก อีกอย่างไม่แน่ว่ากรมพิธีการอาจไม่ยอมรับ”

“หลายปีมานี้ข้าน้อยได้เก็บเงินเอาไว้ส่วนหนึ่ง อีกอย่างข้าก็ได้จ้างคนไปถาม ฆ้องทองแดงใช้เวลาแค่สามปีก็สามารถซื้อบ้านในเมืองชั้นในได้แล้ว” ฝูเซียงกอดเขา อ้อนวอนเสียงเบา “คุณชายสวี่ ไถ่ตัวข้าเถิดนะเจ้าคะ”

คณิกามากมารยาไม่เพียงรู้จักการแง่งอน แต่ยังใช้ประโยชน์จากต้นทุนของตัวเองอย่างเต็มที่ ส่วนนูนเด่นงดงามเปล่งปลั่งแนบชิดติดกับสวี่ชีอัน

ดวงตาแฝงด้วยหยาดน้ำตาคลอ น่าสงสารยิ่งนัก

สวี่ชีอันขมวดคิ้ว นี่ไม่ใช่เรื่องน่าลำบากใจอะไร ชาติก่อนเขาก็เคยพบผู้หญิงประเภทนี้ที่รู้จักการทำตัวแง่งอนเอาแต่ใจ จะซื้ออันนั้นจะซื้อนั้นนี้ (ของหรูหรา) แต่สวี่ชีอันก็จัดการได้

เขาแค่แปลกใจนิดหน่อย คณิกาผู้มีชื่อเสียงโด่งดังคนหนึ่งที่ธุรกิจกำลังรุ่งเรืองก้าวหน้าและกำลังอยู่ในวัยแรกแย้ม แม้ว่าอยากจะกลับใจไปเป็นฝั่งเป็นฝา แต่มันไม่เร็วไปหน่อยหรือ

อีกอย่าง ถึงแม้ว่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลจะทำให้เหล่าขุนนางหวาดกลัวเพราะเหตุผลทางโครงสร้าง แต่ด้วยตำแหน่งของฝูเซียง การไปเป็นอนุให้ข้าราชการระดับสี่ก็มีกินมีใช้เหลือเฟือแล้ว

“เรื่องนี้ไม่รีบร้อน รอให้ข้าเก็บเงินได้จำนวนหนึ่งแล้วค่อยมาไถ่ตัวเจ้า” สวี่ชีอันเอ่ยอย่างขอไปที เขากอดเรือนร่างนุ่มลื่นของคณิกาเอาไว้ ทำให้ตนหลับใหลในสามวินาที

ท่ามกลางความมืดมิด ฝูเซียงจ้องมองใบหน้าของสวี่ชีอันอย่างเงียบเชียบ นัยน์ตาสว่างชัด

วันต่อมายามเช้าตรู่ คนทั้งคณะก็ออกจากสำนักสังคีต

เมื่อเหล่าฆ้องทองแดงเห็นสวี่ชีอันก็เอ่ยทักทายพร้อมรอยยิ้ม ความสัมพันธ์สนิทสนมขึ้นมามาก ถ้าหากก่อนหน้านี้เพียงแค่เห็นสวี่ชีอันเป็นสหายร่วมงาน ตอนนี้ก็เห็นเขาเห็นสหายน้อยแล้ว

ผลลัพธ์ดียิ่งนัก

ความจริงตราบใดที่ไม่ใช่ผู้ที่มีจิตใจริษยาจนเกินไปหรือมีตำแหน่งสูงเกินไป ฆ้องทองแดงในระดับเดียวกันก็จะไม่เกลียดชังเขาอย่างไร้สมองหรอก

ความคิดจิตใจยืดหยุ่น สนองตามความต้องการของผู้อื่น เปิดเผยมีน้ำใจ คนส่วนมากยินดีจะคบหาสวี่ชีอันอยู่แล้ว

ด้วยเหตุนี้ สถานะของเจ้าคนโชคขี้หมาที่ถูกฆ้องทองคำสองคนต้องตาก็เปลี่ยนไปเป็น ‘เจ้าคนที่ถูกฆ้องทองคำต้องตาผู้นี้คือเพื่อนของข้าเอง’

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง