ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 102

“เวร!”

สวี่ชีอันลอบสบถ ยอมรับว่าตนนั้นโชคร้าย

นึกถึงประสบการณ์ที่ถูกหัวหน้าใช้อำนาจข่มเหงในชีวิตการทำงานเมื่อชาติก่อนขึ้นมา ตอนนั้นยังสามารถพูดว่า ‘แม่งไม่ทำแล้ว!’ ได้

แต่ระดับชั้นของหน่วยงานลาดตระเวนยามวิกาลนั้นเคร่งครัด ไม่อาจใช้วิธีการสุดโต่งเช่นนี้ตอบโต้

‘เจ้าข่มเหงข้าไปเถอะ แล้วอย่ามาหาว่าข้าไปใส่ไฟข้างหูของพ่อเว่ยแล้วกัน’ สวี่ชีอันลูบแขนที่บวมเป่ง ไฟโทสะพวยพุ่ง

เมื่อจัดระเบียบกำลังคนแล้วก็ขึ้นม้า หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลและเหล่าเจ้าหน้าที่พลเรือนเดินทางไปยังเป้าหมายด้วยความกระตือรือร้น

คนแซ่เฉิงจากกรมทองแห่งกรมการคลังที่ถูกยึดทรัพย์เนรเทศผู้นั้นมีบ้านหลังใหญ่ที่มีทางเข้าสามประตู ซึ่งตอนนี้ถูกกองดาบล้อมเอาไว้แล้ว

หลังจากหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมาถึง ฆ้องเงินจูก็ชักดาบออกมาจากฝัก ประกายดาบส่องวาบชั่วขณะ เขาฟันป้ายประตู ‘จวนสกุลเฉิง’ จนขาดเป็นสองท่อน

มือที่จับดาบอยู่โบกหนึ่งที “ยึดทรัพย์”

พวกฆ้องทองแดงและเจ้าหน้าที่พลเรือนยกเท้าขึ้นเตะประตูกลางแล้วรุมเข้าไป

เหล่าคนรับใช้ในจวนตกใจกลัวจนไม่กล้าหายใจ ต่างขดตัวสั่นระริกอยู่ในแต่ละมุม ทั้งข้างทางเดิน และสวนใต้ชายคา

เมื่อวานพวกเขาเพิ่งจะรู้ว่านายท่านต้องโทษถูกขังคุก ที่จวนกำลังจะใช้เส้นอยู่แล้ว แต่ใครจะไปคิดว่าวันนี้กลับมีกลุ่มคนป่าเถื่อนท่าทางดุร้ายอย่างนี้มาถึงก่อนเสียได้

พวกสวี่ชีอันทั้งสามคนเข้าไปในห้องโถงด้านหน้า กำลังจะไปเรือนหลัง แต่ก็ถูกฆ้องเงินจูเตะกลับมาก่อน

“พวกเจ้าสามคนอยู่ที่นี่ ไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น หลังเสร็จสิ้นแล้วข้าจะตรวจค้นตัวของพวกเจ้า ถ้าหากกล้าเก็บเข้ากระเป๋าตัวเองจะถูกลงโทษตามกฎ”

ฆ้องเงินจูเอ่ยเสียงขรึม

เมื่อฆ้องทองแดงที่เหลือดูออกว่าพวกสวี่ชีอันสามคนถูกเพ่งเล็ง ก็มีบางคนที่ยิ้มเยาะเพราะสะใจในความทุกข์ของผู้อื่น บางคนก็เอาตัวรอดโดยการแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น

ซ่งถิงเฟิงกล้าโมโหแต่ไม่กล้าโต้เถียง

จูกว่างเสี้ยวที่เงียบงันไม่พูดจามาโดยตลอดก็มีสีหน้าอึมครึมขึ้นมาแล้ว

สวี่ชีอันกัดฟัน เลือกที่จะเงียบ ตอนนี้ไม่สามารถเถียงเขาได้ ไม่อย่างนั้นเขาจะถูกซ่อมอย่างน่าอนาถ

เมื่อมองส่งฆ้องเงินจูเข้าไปในเรือนแล้ว ซ่งถิงเฟิงก็สบถ “ถุย” ออกมา แล้วเอ่ยด้วยความโมโห “ตัดทางรวยคน เจ้าชาติสุนัขออกลูกไม่มีรูก้น”

“ขอโทษที เป็นเพราะข้าที่ทำให้พวกเจ้าติดร่างแหไปด้วย” สวี่ชีอันกล่าวอย่างรู้สึกผิด

ซ่งถิงเฟิงกลอกตา สายตามองไปที่แขนของสวี่ชีอัน “ข้าเห็นเจ้าลูบอยู่หลายครั้งแล้ว เจ็บหนักหรือไม่”

สวี่ชีอันพับแขนเสื้อขึ้นด้วยรอยยิ้มบิดเบี้ยว แขนบวมเป่งเป็นสีแดงเถือกไปแล้ว

“ไอ้ชาติสุนัขนั่นใช่พลังปราณเหรอ” ซ่งถิงเฟิงหน้าเปลี่ยนสี

ปกติยามที่หัวหน้าทุบตีผู้ใต้บังคับบัญชา มากที่สุดก็แค่ทำให้บาดเจ็บภายนอก ไม่มีทางแฝงพลังปราณไว้แน่ ตีให้เจ็บกับตีจนบาดเจ็บมันคนละเรื่องกัน

เห็นได้ชัดว่าคนแซ่จูผู้นี้เป็นคนใจแคบมากขนาดไหน

“อาศัยอาการบาดเจ็บนี้เจ้าก็รายงานเขาได้แล้ว กลับไปบอกหัวหน้า หัวหน้าต้องไม่ยอมแน่” จูกว่างเสี้ยวกล่าวเสียงขรึม

ซ่งถิงเฟิงเหลือบมองเขาแล้วส่ายหน้า “อย่าก่อเรื่องให้หัวหน้าเลย”

แม้จะเป็นฆ้องเงินเช่นเดียวกัน แต่พ่อของคนอื่นเขาเป็นถึงฆ้องทองคำ เบื้องหลังมีต้นไม้สูงตระหง่านเทียมฟ้า ไม่ใช่ผู้ที่หลี่อวี้ชุนจะหาเรื่องได้

ซ่งถิงเฟิงกล่าวต่อ ไช่างเถอะ คราวหน้าถ้าเห็นเขาเดินอยู่รอบๆ ก็ทำได้แค่ยอมรับ”

ข้าจะฟ้องแน่ แต่ไม่ใช่พี่ชุน เป็นพ่อเว่ย…สวี่ชีอันม้วนแขนเสื้อลง

การยึดทรัพย์นั้นต่างจากจินตนาการของสวี่ชีอัน ไม่มีเสียงทุบทำลายปึงๆ ปังๆ กลับกัน เจ้าหน้าที่พลเรือนกับเหล่าฆ้องทองแดงนั้นระมัดระวังอย่างเห็นได้ชัด

แจกันดอกไม้ทุกมุมในห้องอักษรอาจเป็นเครื่องลายครามชั้นดีที่มีราคาหลายสิบร้อยตำลึง โต๊ะยาวที่ใช้วางของบางทีก็อาจจะมีราคาหลายตำลึงเลยก็ได้

ทันใดนั้น ทั้งสามคนที่อยู่ในโถงด้านหน้าได้ยินเสียงร้องไห้อ้อนวอนแหลมสูงของสตรี

“เกิดอะไรขึ้น” สวี่ชีอันหน้าเปลี่ยนไป เขาหันหน้าไปมองซ่งถิงเฟิง “ในใบเอกสารบอกว่าแค่ยึดทรัพย์แต่ไม่ได้รับโทษด้วยนี่นา”

ผลการพิพากษาของหัวหน้าเฉิงแห่งกรมการคลังที่อยู่ในเอกสารคือให้ยึดทรัพย์และเนรเทศ ไม่ได้บอกว่าให้สมาชิกในครอบครัวว่าต้องรับโทษด้วย

ก็หมายความว่า อย่างมากที่สุดคือคนในครอบครัวถูกไล่ออกจากจวน พวกเขาไม่ได้มีความผิด

ซ่งถิงเฟิงกล่าวอย่างลังเล “บางทีอาจเป็นเพราะความงามของผู้หญิงในบ้านกระมัง…พวกเขาคงอยากเล่นสนุก…เรื่องแบบนี้ก็เกิดขึ้นปกติ”

“ระยำ!” สวี่ชีอันด่าออกไปแล้วก้าวใหญ่ๆ ไปยังเรือนหลัง

ในเรือนหลัง เสียงร้องไห้แหลมสูงของสตรีดังมาจากห้องหลายห้องพร้อมกับเสียงหัวเราะลามกของบุรุษ

ปัง!

สวี่ชีอันทำตามหลักการ ถีบประตูห้องห้องหนึ่งออก มองเห็นฆ้องทองแดงไม่คุ้นหน้าผู้หนึ่งกำลังฉีกเสื้อผ้าผู้หญิงอยู่

ผู้หญิงคนนั้นมีใบหน้างามละออ ผิวขาวสล้าง ท่อนบนเหลือเพียงชุดชั้นในสีบัวตัวหนึ่งเท่านั้นและกำลังร้องไห้อย่างสิ้นหวัง

ฆ้องทองแดงตกใจจนสะดุ้ง สีหน้าของเขาเริ่มไม่ดีแล้ว ถ้ามาช้าอีกหน่อยเขาจะไม่ตกใจจนของหดหรอกหรือ เขาหันไปมองประตูห้องอย่างโมโห

สวี่ชีอันจ้องมองเขาอย่างเย็นชา กวาดมองป้ายห้อยเอวของฆ้องทองแดงไปคราหนึ่ง “เจ้าทำต่อเถอะ ข้าจำชื่อเจ้าได้แล้ว กลับไปข้าจะไปรายงานเว่ยกงด้วยตัวเอง”

ชื่อของเว่ยเยวียนมีแรงสั่นสะเทือนอย่างยิ่ง ฆ้องทองแดงผู้นั้นกวาดมองหญิงสาวคราหนึ่งแล้วมองดูสีหน้ามืดครึ้มของสวี่ชีอัน มั่นใจว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น ดังนั้นจึงลังเลเล็กน้อย

สวี่ชีอันไม่สนใจเขา เขาทำเวลา ถีบประตูห้องอื่นๆ ตามสูตรสำเร็จแล้วใช้วิธีการเดียวกันมาทำให้สหายร่วมงานที่ไม่เชื่อฟังตกใจกลัว

ไม่เห็นเจ้าคนแซ่จู…จิตใจของสวี่ชีอันจมดิ่ง เขาไม่ลังเล ยกเท้าถีบประตูห้องสุดท้าย

และเห็นฆ้องเงินจูอยู่ในนั้นจริงๆ

เขากำลังหยิกตัวเด็กสาวคนหนึ่งพร้อมรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม ฉีกเสื้อผ้าของนางออกไปทีละชิ้นๆ ราวกับมีรสนิยมชั่วร้าย

เด็กสาวคนนั้นดูแล้วไม่น่าอายุเยอะ ที่หางตามีคราบน้ำตาอยู่ กำลังสะอึกสะอื้น อยากจะร้องแต่ก็ไม่กล้าร้อง

ชั่วพริบตานี้เอง ไฟโทสะของสวี่ชีอันก็แผดเผาถึงจุดสูงสุด แต่เขาไม่ได้บ้าบิ่น เพียงแค่จ้องฆ้องเงินจูเขม็ง

“ไสหัวออกไป!” สีหน้าของฆ้องเงินจูมืดครึ้ม

สวี่ชีอันไม่ไป เขามองสบตากับยอดฝีมือระดับหลอมวิญญาณอย่างไม่ประหม่าแล้วเอ่ยคำต่อคำ “ถ้าเจ้ากล้าแตะต้องนาง กลับไปข้าจะรายงานเจ้ากับเว่ยกง”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ ดวงตาของเด็กสาวก็มีประกายแสงแรงกล้าส่องออกมาราวกับคนจมน้ำคว้าฟางช่วยชีวิตไว้ได้

ความขัดแย้งทางด้านนี้ดึงดูดฆ้องทองแดงและเจ้าหน้าที่พลเรือนคนอื่นๆ พวกเขายืนอยู่ไม่ไกล ต่างมองดูการเผชิญหน้าของฆ้องทองแดงตัวเล็กผู้โด่งดังคนนี้กับฆ้องเงิน

“ได้ เจ้าตัวไม่รู้จักที่ตาย”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง