ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 112

บทที่ 112 สูญเสียเบาะแส
“ใต้เท้าสวี่ พวกเราจะไปไหนกัน” หมิ่นซานถาม

“จับกุมคนร้าย!” หลังออกจากห้องประชุม สวี่ชีอันก็ไม่ได้วิตกกังวลอะไร และอธิบายตรงๆ

หยางเฟิงและฆ้องทองแดงคนอื่นๆ มองสวี่ชีอันอย่างแปลกใจ จูกว่างเสี้ยวกับซ่งถิงเฟิงมีความคิดบางอย่างในใจ ไม่ว่าจะเหมืองดินประสิวหรือคดีของเจ้าหน้าที่ถือธงตำแหน่งชั้นผู้น้อย ทั้งสองคนล้วนมีส่วนร่วมจึงรู้มากกว่าคนอื่นๆ

หากหลี่อวี้ชุนอยู่ที่นี่ เขาก็คงลำดับความคิดได้เช่นกัน เพียงแต่เขาไปเชิญฉู่ไฉ่เวยแห่งสำนักโหราจารย์

“เหตุใดหัวหน้าถึงยังไม่กลับมา จะเชิญคนต้องเชิญตลอดเช้าเลยหรือ” สวี่ชีอันขมวดคิ้ว “เจอปัญหาอะไรหรือเปล่านะ”

เมื่อออกจากประตูที่ทำการปกครองกรมอาญา และเพิ่งขึ้นม้า เขาก็เห็นม้าที่มีขนสีเหลืองสองตัวเคลื่อนมาอย่างรวดเร็ว เป็นหลี่อวี้ชุนและฉู่ไฉ่เวยในชุดคลุมยาวสีเหลืองอ่อน

หลี่อวี้ชุนอธิบายว่า “แม่นางไฉ่เวยไม่อยู่ที่สำนักโหราจารย์ นางเข้าไปในวัง ข้าจึงรออยู่ที่ประตูเมืองหลวงเป็นเวลานาน เพื่อรอนางออกมา…”

ไปกินดื่มกับองค์หญิงใหญ่อีกแล้ว นักชิมคนนี้…ในอนาคตไม่ช้าก็เร็วจะให้นางกินกระบองของข้า…สวี่ชีอันยิ้มอย่างอบอุ่น “แม่นางไฉ่เวย ไม่เจอกันหลายวัน เจ้างามขึ้นมาก”

ใบหน้ารูปไข่อันกลมมนของฉู่ไฉ่เวยประดับรอยยิ้มหวาน และกำลังจะพูดอะไรนิดหน่อย แต่เมื่อนึกถึงสถานะของตัวเองกับหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลรอบข้างที่มองดูอยู่ นางก็ตีหน้าขรึม และพูดว่า ‘อืม’

เรื่องนี้กำลังเร่งรีบ สวี่ชีอันพูดอย่างรวบรัด “ฆ้องเงินหมิ่น เจ้านำตราทองคำของข้าไปที่ประตูตะวันออกของเขตพระราชฐาน และจับกุมนายกองโจวชื่อสวงมา คนอื่นๆ ตามข้าไปจับกุมคนที่จวนสกุลโจว”

เพราะไม่รู้ว่าวันนี้นายกองโจวปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ ดังนั้นเขาจึงแบ่งทหารออกเป็นสองกลุ่ม

สวี่ชีอันจัดการอย่างสมเหตุสมผล เขตพระราชฐานอยู่ใต้เท้าองค์จักรพรรดิ ปกติจะไม่เกิดการปะทะกันขึ้น และไม่มีใครกล้า แต่ก็ไม่ใช่ง่ายๆ เหมือนกันที่จะพูดว่าจับกุมคนก็จับกุมคนได้ ต้องมีป้ายห้อยเอวเปิดทาง

ดังนั้นส่งฆ้องเงินไปหนึ่งคนก็พอแล้ว

แต่หากตรงไปจับกุมที่บ้านของนายกองโจว เขาอาจจะฮึดสู้อย่างสุดชีวิตเพราะไม่มีทางเลือกได้ สวี่ชีอันเพิ่งใช้ดาบเดียวตัดฟ้าดินไป พลังต่อสู้ลดลงไปมาก ด้วยเหตุนี้จึงต้องการไปกับฆ้องเงินสองคน

อีกด้านหนึ่ง หลี่ว์ชิงกำลังรายงานสถานการณ์

“ท่านขันทีหลิว ใต้เท้าทุกท่าน หากไม่เกินความคาดหมาย เป็นไปได้มากว่าเบื้องหลังเรื่องนี้จะมีเผ่าพันธุ์ปีศาจเข้ามาเกี่ยวข้อง”

ประโยคนี้ทำให้สีหน้าของขุนนางในที่นี้เปลี่ยนไปยกใหญ่ เจ้ากรมซุนแห่งกรมอาญาก็ขมวดคิ้วเช่นกัน

ขุนนางกรมอาญาคนหนึ่งไม่ค่อยเชื่อ จึงถามว่า “เจ้ามีหลักฐานอะไร”

“หลายวันก่อน ข้าน้อยและใต้เท้าสวี่ได้สืบสวนคดีที่ปีศาจกินคนตระกูลฮุยภายในเขตมณฑลไท่กังและภูเขาต้าหวงด้วยกัน”

“ปีศาจกินคนตระกูลฮุยหรือ” ขันทีหลิวขมวดคิ้ว

“เจ้าค่ะ เมื่อกลางปี มีปีศาจตัวหนึ่งขึ้นมาจากแม่น้ำที่เชิงเขาภูเขาต้าหวง และกินคนตระกูลฮุยในท้องถิ่นไปหลายร้อยคน ข้าน้อยกับใต้เท้าสวี่จัดการคดีนี้ด้วยกัน และค้นพบเหมืองดินประสิวที่ถูกรวบรวมไว้อย่างเป็นระเบียบในภูเขาต้าหวง…”

หลี่ว์ชิงเล่าคดีเหมืองดินประสิวในภูเขาต้าหวงให้เหล่าใต้เท้าในที่นี้ฟังอย่างละเอียด

นี่เป็นวิธีถ่วงเวลาที่ดีมาก เพราะสิ่งที่เล่าไม่ใช่คำพูดลอยๆ เหล่าใต้เท้าจึงตั้งใจฟังเป็นพิเศษ และไม่เร่งเร้า

“ดังนั้นเมื่อสักครู่นี้ตอนข้าน้อยกับใต้เท้าสวี่พูดคุยกัน ก็วิเคราะห์อย่างเป็นขั้นเป็นตอน และพบว่าดินปืนอาจจะไม่ได้มาจากกรมโยธา แต่เกี่ยวข้องกับเหมืองดินประสิวในภูเขาต้าหวง” หลี่ว์ชิงพูด

ขุนนางของกรมอาญากับที่ว่าการเมืองมีสีหน้าเคร่งขรึม คดีนี้เกี่ยวข้องกับเผ่าพันธุ์ปีศาจ เผ่าพันธุ์ปีศาจในจิ่วโจวมีสองกลุ่มคือ เผ่าพันธุ์ปีศาจทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือกับอาณาจักรหมื่นปีศาจทางซินเจียงตอนใต้

อาณาจักรหมื่นปีศาจทางซินเจียงตอนใต้ถูกทำลายในการกวาดล้างปีศาจหกสิบปีนานแล้ว เศษเดนที่เหลืออยู่ก็ฝืนยืดลมหายใจเฮือกสุดท้ายออกไป

เผ่าพันธุ์ปีศาจทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือก็เข้าเป็นพันธมิตรกับชนเผ่าทางเหนือ และร่วมกันต่อต้านต้าฟ่งกับดินแดนทางตะวันตก

กองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจกลุ่มใดกันที่บงการอยู่เบื้องหลังเหมืองดินประสิว

ขันทีหลิวมองข้าหลวงเฉิน ข้าหลวงเฉินร้อง ‘อ้อ’ ออกมา และรับรองให้ลูกน้องของเขา “มีเรื่องนี้จริงๆ ที่ว่าการเมืองก็เพิ่งจัดการคดีนี้ไปเมื่อไม่กี่วันก่อน ตอนนั้นคนที่รับผิดชอบจัดการคดีนี้ก็คือหัวหน้ามือปราบหลี่ว์”

สีหน้าของขันทีหลิวหม่นหมอง “หากพบเหมืองดินประสิวเร็วกว่านี้ คดีซังผอก็อาจจะไม่เกิดขึ้น เหตุใดคดีปีศาจกินคนที่เกิดขึ้นเมื่อกลางปีจึงถูกระงับไว้จนถึงตอนนี้”

หลี่ว์ชิงกำลังจะฟ้องเรื่องนายอำเภอไท่กังละเลยหน้าที่ และเพิกเฉยชีวิตของคนตระกูลฮุย แต่ถูกสายตาของข้าหลวงเฉินหยุดไว้

เฒ่าเฉินถอนหายใจ “พลังของปีศาจนั้นแข็งแกร่งมาก นายอำเภอไท่กังก็ยากจะรับมือเช่นกัน”

ขันทีหลิวแค่นเสียงอย่างเย็นชา “ข้าจะรายงานฝ่าบาทเรื่องนี้”

เจ้ากรมซุนเอ่ยปาก และกวาดตามองลวี่ชิง “สวี่ชีอันไปทำอะไร”

ดูเหมือนเขาจะมองว่าหลี่ว์ชิงกำลังลอบถ่วงเวลา จึงดึงเข้าประเด็นหลักทันที เพราะไม่อยากให้นางส่งเสียงบี๊บๆ มากเกินไป

เมื่อขันทีหลิวได้ยินคำพูดนี้ เขาก็พึมพำว่า “แม้ว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจจะมีดินปืน แต่จะซ่อนทหารรักษาวังของต้าฟ่งได้อย่างไร ทหารรักษาพระองค์ที่คุ้มกันเมืองลักลอบขนดินปืนเข้าซังผอหรือ”

“นี่เกี่ยวข้องกับอีกคดีหนึ่ง” หลี่ว์ชิงตอบ

“อีกคดีหนึ่งหรือ” ทุกคนตกตะลึง คดีซังผอระเบิดเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์มากมายเช่นนั้นเลยหรือ

หลี่ว์ชิงกล่าว “ก่อนหน้าการบวงสรวงบรรพบุรุษขององค์จักรพรรดิหนึ่งวัน หลิวฮั่นเจ้าหน้าที่ถือธงตำแหน่งชั้นผู้น้อยขององครักษ์คุ้มกันส่วนพระองค์ตายในบ้านอย่างไม่ทราบสาเหตุ ข้ากับใต้เท้าสวี่ก็เป็นคนจัดการเช่นกัน ตอนนั้นใต้เท้าสวี่คาดเดาว่าเขาถูกคนฆ่าปิดปาก แต่นี่ไม่ได้ทับซ้อนกับคดีของเหมืองดินประสิว ข้าจึงยังไม่ได้เชื่อมโยงกับเรื่องเหล่านี้”

เจ้าหน้าที่ถือธงตำแหน่งชั้นผู้น้อยขององครักษ์คุ้มกันส่วนพระองค์ถูกฆ่าปิดปาก…ดินปืนถูกลักลอบขนเข้ามาในซังผอ…ทุกคนในที่นี้ล้วนเป็นคนฉลาด จึงไม่ได้สงสัยแม้แต่น้อย

“คนสกุลสวี่เมื่อสักครู่นี้…” ขุนนางของกรมอาญากับขุนนางของที่ว่าการเมืองบางส่วนลุกขึ้นจากเก้าอี้

“เมื่อสักครู่นี้ ใต้เท้าสวี่นึกถึงเรื่องนี้ จึงเข้าใจทุกอย่างอย่างแจ่มแจ้ง ก่อนจะรีบออกไป” หลี่ว์ชิงพูด

เจ้ากรมซุนกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ออกคำสั่งให้จับกุมหัวหน้ากองร้อยทั้งหมดขององครักษ์คุ้มกันส่วนพระองค์ ไปเร็ว!”

กุกกักกุกกัก…ทุกคนยืนขึ้น และแย่งกันวิ่งออกจากห้องประชุม ชนเก้าอี้ล้มก็ไม่สน

เมื่อวิเคราะห์คดีถึงจุดนี้ ก็ชัดเจนมากแล้ว การจับกุมไส้ศึกภายในองครักษ์คุ้มกันส่วนพระองค์ก็เทียบเท่ากับการสร้างผลงานแล้ว

หลี่ว์ชิงถอนหายใจออกมาอย่างช้าๆ นางพยายามอย่างเต็มที่แล้ว

หากเป็นการแข่งขันอย่างยุติธรรม หลี่ว์ชิงจะไม่ช่วยสวี่ชีอันเช่นนี้ แต่อีกฝ่ายตกอยู่ในสถานการณ์อันเลวร้าย และคดีนี้ก็เป็นความหวังเดียวของเขาในการชดใช้ความผิด

หลี่ว์ชิงรู้สึกว่าจากความหมายของคำว่าเพื่อน หากช่วยได้นางก็ช่วย

นางออกจากห้องประชุมตามเพื่อนร่วมงานในที่ว่าการเมืองไป

ห้องประชุมอันกว้างใหญ่เหลือเพียงขันทีหลิวกับขันทีที่เขาพามา เจ้ากรมซุนและข้าหลวงเฉิน

ขันทีหลิวยื่นมือออกมา ขันทีที่ติดตามเขาเป่าหมึกให้แห้งทันที และยื่นหนังสือให้เขา

ขันทีหลิวอ่านเนื้อหาอย่างละเอียดถี่ถ้วน สองหน้าแรกเป็นการคุยกันเรื่องรายละเอียดคดีระหว่างกรมอาญากับที่ว่าการเมือง ซึ่งโต้เถียงกันเป็นหลัก และค่อนข้างไม่มีสาระ

จนกระทั่งสวี่ชีอันเข้าร่วม รายละเอียดคดีถึงเริ่มชัดเจนขึ้น และล็อกตัวผู้ต้องสงสัยได้ภายในหนึ่งก้านธูป

คดีคืบหน้าเร็วจนทำให้ขันทีหลิวรู้สึกตกใจ ตามกระบวนการปกติ เกรงว่าจะต้องใช้เวลาสองสามวันในการเชื่อมโยงคดีเหมืองดินประสิวในภูเขาต้าหวงกับคดีเจ้าหน้าที่ถือธงตำแหน่งชั้นผู้น้อยเข้าด้วยกัน

‘ถ้าหากเป็นเช่นนั้น การที่ฝ่าบาทแต่งตั้งให้สวี่ชีอันเป็นผู้รับผิดชอบของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลก็คงมีความหมายลึกซึ้ง…’ ขันทีหลิวตระหนักได้ในทันที

“เสี่ยวหยุนจื่อ ตั้งแต่วันนี้เจ้าอยู่ที่ที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล รับผิดชอบกระตุ้นให้พวกเขาทำคดี และส่งข่าวให้ข้าทันที”

ขันทีหลิวกล่าว

“ขอรับ!” ขันทีน้อยที่จดบันทึกน้อมรับคำสั่ง

จวนสกุลโจว ประตูบานใหญ่สีดำปิดสนิท

ซ่งถิงเฟิงก้าวขึ้นบันไดไปที่หน้าประตูภายใต้การชี้นำของสวี่ชีอัน และทุบประตูดัง ‘ปังๆ’

“เปิดประตู! หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมาทำคดี”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง