ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 121

บทที่ 121-1 สัตว์วิญญาณ
สวี่ชีอันกัดฟันก้าวออกมาจากข้างกายองค์หญิงใหญ่ แสดงคารวะพร้อมเอ่ย “เป็นกลอนบทใหม่ของกระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ”

ทันใดนั้นทุกสายตาก็จ้องมองมา ดวงตาอันดำขลับขององค์หญิงรองมองสำรวจสวี่ชีอัน

องค์รัชทายาทคิ้วขมวด

องค์ชายสามตรัสอย่างไม่สบอารมณ์ “ฆ้องทองแดงอย่างเจ้าแต่งกลอนเป็นด้วยหรือ”

นี่ยังนับว่าอ้อมค้อมแล้ว ซึ่งแปลได้ว่า ทหารเช่นเจ้าจะไปเข้าใจบทกลอนอะไร

“ตุบๆ…” นิ้วเรียวงามขององค์หญิงใหญ่เคาะลงบนโต๊ะยาวเรียกความสนใจจากบรรดาองค์ชาย นางตรัสด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เขามีนามว่าสวี่ชีอัน ญาติผู้น้องเป็นศิษย์สำนักอวิ๋นลู่”

นี่มันหมายความว่าอย่างไร ไม่มีผู้ใดเข้าใจความหมายขององค์หญิงใหญ่ในทันที นางเองคล้ายจะชอบใจที่ได้เห็นเหล่าพี่น้องมีคำถามผุดขึ้นมาเต็มหัว ทว่าแสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจ

ใบหน้าอันเยือกเย็นประดับรอยยิ้มจางๆ “กลอนมอบให้ฆราวาสจื่อหยางเขาก็เป็นผู้ประพันธ์ กลอนบทนั้นที่หลินอันท่องก่อนหน้านี้ก็เป็นงานประพันธ์ของสวี่ชีอันเช่นกัน”

เหล่าองค์ชายที่ประทับอยู่แสดงท่าทีราวกับเชื่อไม่ลง พลันเคลื่อนสายตาจ้องมองสวี่ชีอันไม่วางตา

‘ผู้ประพันธ์ต้นฉบับของ ‘ศาลาเหมียนหยางมอบให้ฆราวาสจื่อหยางสู่ชิงโจว’ ที่เลื่องลืออยู่ช่วงหนึ่ง คือคนที่อยู่ตรงหน้างั้นหรือ’

‘ใช่แล้ว เล่ากันว่ากลอนบทนั้นประพันธ์โดยญาติผู้พี่ของศิษย์คนหนึ่งจากสำนักอวิ๋นลู่ อย่างที่ฮว๋ายชิ่งกล่าวไปเมื่อครู่ ญาติผู้น้องของฆ้องทองแดงผู้นี้เป็นศิษย์จากสำนักอวิ๋นลู่’ …องค์ชายสามประจักษ์แจ้งในเรื่องเล่าลือเหล่านี้มากที่สุด จึงโต้ตอบในทันที รู้ว่าฮว๋ายชิ่งไม่ได้กล่าวความเท็จ

‘สุนัขภักดีผู้เลื่อมใสในตัวฮว๋ายชิ่งผู้นี้ก็เป็นกวีที่ประพันธ์ ‘กลิ่นหอมละมุนคลุ้งกลางจันทรายามสายัณห์’’…องค์หญิงรองเบิกดวงตาดอกท้ออันเพริศพริ้งจ้องมองสวี่ชีอันตาไม่กะพริบ นางมองฆ้องทองแดงผู้นี้เปลี่ยนไปเล็กน้อย

สวี่ชีอันตกใจในทีแรก จิตใต้สำนึกคิดว่าตนถูกองค์หญิงใหญ่เฝ้าสังเกตพฤติกรรมที่ตนหลับนอนกับคณิกาฝูเซียงอย่างใกล้ชิดแน่ๆ

ทว่าในไม่ช้าก็ถึงบางอ้อ เริ่มแรกที่หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลติดตามตน ก็เป็นองค์หญิงฮว๋ายชิ่งผู้นี้เสนอแนะ เช่นนั้นข่าวกรองที่เกี่ยวข้องกับเขา องค์หญิงใหญ่ย่อมทราบดี

องค์รัชทายาทตรัสถาม “ทว่าข้าได้ยินมาว่าคนสกุลหยางนามว่าหลิงจากสำนักสังคีตผู้นั้นเป็นบัณฑิตจากอำเภอฉางเล่อ”

องค์หญิงใหญ่ไม่ตอบ

สวี่ชีอันจึงต้องอธิบายเอง “เป็นนามแฝงของกระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ”

องค์รัชทายาทไม่ได้ตรัสต่อ

องค์ชายสามทรงซักไซ้ไต่ถาม “กลอนวรรคเมื่อครู่หากข้าฟังไม่ผิด หลังเมามายเหตุไฉนท้องนภาลอยในธารา…ช่างมีวรรณศิลป์ยิ่งนัก ทำให้อดใจอยากรู้ท่อนถัดไปไม่ไหว”

ผู้ที่เกิดมาเป็นลูกหลานจักรพรรดิ ต้องได้รับการศึกษาชั้นเลิศที่สุด ต่อให้เป็นองค์หญิงรองที่ชอบแต่งเนื้อแต่งตัว ไม่ชอบเรียนหนังสือ เมื่อครั้งทรงพระเยาว์ก็ต้องถูกบังคับให้อ่านตำรานักปราชญ์มานานแรมปี

ความรู้ทางวัฒนธรรมแน่นปึก รสนิยมในการชื่นชมบทกลอนก็ไม่เลว เมื่อถูกองค์ชายสามขัดจังหวะ ความสนใจจึงกลับมาที่บทกลอน เพราะยิ่งทราบถึงตัวตนของสวี่ชีอันก็ยิ่งตั้งตารอบทกลอน

สวี่ชีอันเอ่ยอย่างช้าๆ “หลังเมามายเหตุไฉนท้องนภาลอยในธารา ดารณีเปี่ยมฝันหวานพาดทับหมู่ดารา”

หลังเมามายเหตุไฉนท้องนภาลอยในธารา ดารณีเปี่ยมฝันหวานพาดทับหมู่ดารา…องค์หญิงรองทรงพึมพำอยู่หลายรอบ คิดว่ากลอนสองวรรคนี้พรรณนาฉากคร่าวๆ ออกมาได้งดงาม ซึ่งพบเจอได้ในเพลงกล่อมเด็กเท่านั้น

ยามราตรีอันเงียบสงัด นางสวมชุดกระโปรงงดงามเอนกายอยู่บนหัวเรือลำเล็ก เหนือศีรษะเป็นท้องนภาดารดาษด้วยดวงดาราอันพร่างพราวไร้ที่สิ้นสุด ผืนน้ำสะท้อนหมู่ดาราทางช้างเผือก

เรือลำน้อยลอยล่องอยู่บนทะเลสาบเคลื่อนตามระลอกคลื่น นางหลับใหลอย่างสงบสุข

หัวใจขององค์หญิงหลินอันเต้นโครมคราม

นัยน์ตาใสขององค์หญิงใหญ่สั่นไหว ขยับคอไปเองราวกับประสงค์จะหันไปมองสวี่ชีอัน แต่ก็อดกลั้นเอาไว้

ทรงรักษาท่าทีของดอกบัวขาวอันเยือกเย็น

รอบด้านเงียบสงัดอย่างน่าประหลาด เหล่าองค์ชายทรงบรรจงละเลียดและดื่มด่ำบทกลอนสองวรรคนี้

ต่างกับองค์หญิงรอง เหล่าองค์ชายสัมผัสถึงอากาศบางเบาเลื่อนลอย อันน่าอิ่มเอมสำราญใจห่างออกไปจากโลก

บรรยากาศผ่อนคลายใกล้ชิดธรรมชาติ ไร้ซึ่งความกังวล สลัดความเหน็ดเหนื่อยจากหนังสือราชการ เสียงเสียดหูจากดนตรีเครื่องสาย ปลดเปลื้องจากเล่ห์เหลี่ยมกลอุบาย ขณะเดียวกันยามตื่นจากนิทราก็หลงเหลือเศษเสี้ยวแห่งความผิดหวังอันน้อยนิดติดอยู่ในใจ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง