หืม…ทำไมข้ารู้สึกว่ามันกำลังมองข้าอยู่?!
นัยน์ตาของมังกรวิญญาณไม่ใช่ม่านตาตั้งตรงที่อำมหิต ทว่าเป็นม่านตาประดุจไข่มุกดำ คล้ายกับสุนัขบ้านที่เคยเห็นในภพก่อน นัยน์ตาคล้ายคู่กระดุมดำอันแวววาว
ดังนั้น มันจึงดูว่านอนสอนง่าย
สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่จุดสำคัญ สวี่ชีอันมีความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้ มังกรวิญญาณกำลังรอเขาอยู่
ยามที่องค์หญิงใหญ่เข้าใกล้มังกรวิญญาณ ทำให้ฉากที่ทุกคนต่างไม่คาดคิดได้บังเกิดขึ้น
มันแสดงด้านอันดุร้ายและการโจมตีอันแกร่งกล้าออกมาในทันใด ปล่อยเสียงคำรามต่ำอันแหบแห้งมุ่งไปทางองค์หญิงใหญ่ ข่มขู่นางไม่ให้เข้าใกล้
องค์หญิงใหญ่ขมวดคิ้วและก้าวถอยหลัง
สัตว์วิญญาณหยุดร้อง ศีรษะคว่ำลงกับริมฝั่ง ยังคงท่าทาง ‘รีบขี่ข้าเร็ว’ เช่นนั้นอยู่
“เอ๊ะ มังกรวิญญาณไม่ให้ฮว๋ายชิ่งขึ้นไป”
“เกิดอะไรขึ้น วันนี้มังกรวิญญาณอารมณ์ไม่ดี?”
“ไม่ใช่ ท่าทางเช่นนั้นของมัน กำลังรอให้คนขี่…”
บรรดาองค์ชายทรงเริ่มแสดงความเห็น
สวี่ชีอันไม่ได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของเหล่าองค์ชาย ทว่าเขารู้ว่าไม่อาจถกเถียงได้ ลองคิดดูว่ามังกรวิญญาณที่ชอบกินปราณม่วงและไม่ยอมรับองค์หญิง ผลสุดท้ายกลับแหกสองขารอเจ้ามาขี่
นี่ไม่ใช่เรื่องดีเป็นแน่
สวี่ชีอันคาดว่าเกิดจากการโคจรปราณอันแปลกประหลาดบนร่างของตน เขายอมคลำหาเองอย่างช้าๆ แม้จะเสียแรงเปล่า ก็ไม่ปรารถนาให้ความลับถูกเปิดเผย
ด้วยกฎการอยู่รอดของโลกนี้ มิใช่เพราะเจ้าไม่รู้สภาพการณ์แล้วจะหลุดพ้นจากบาป!
“องค์หญิงใหญ่ สัตว์ประหลาดตัวนี้อันตรายยิ่ง พวกเรารีบออกห่างโดยเร็วเถิด”
สวี่ชีอันสบโอกาสยามองค์หญิงใหญ่ไม่ได้สังเกตร่างเขา เอาตัวขวางหน้านางอย่างรวดเร็ว เช่นนี้ทั้งซ้อนทับการมองเห็นของมังกรวิญญาณและยังทำให้องค์หญิงใหญ่รู้ว่าอารมณ์ของมังกรวิญญาณมีปัญหาขึ้นแล้ว
องค์หญิงใหญ่ขมวดคิ้ว จ้องมังกรวิญญาณเขม็งอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้ “ไปกันเถอะ”
หลังจากสวี่ชีอันแสร้งทำเป็นขัดก็ให้องค์หญิงใหญ่เดินนำ จากนั้นตนจึงเดินตาม เมื่อเดินห่างออกมากว่า 10 เมตร เขาได้ยินเสียงมังกรวิญญาณคร่ำครวญด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจดังมาจากทางด้านหลัง
…
สวี่ชีอันและฮว๋ายชิ่งเดินกลับไปยังแท่นสี่เหลี่ยม องค์หญิงรองหลินอันถูกดึงขึ้นมาแล้ว ทั่วทั้งร่างเปียกชุ่มและถูกคลุมด้วยเสื้อคลุมตัวหนา สองมือกอดอกสั่นระริกด้วยความหนาวเย็น ริมฝีปากม่วงคล้ำ
นางชี้ไปที่ฮว๋ายชิ่งพร้อมร้องคร่ำครวญ “ข้าจะกราบบังคมทูลเสด็จพ่อ ฮว๋ายชิ่ง ข้ากับเจ้าไม่จบแค่นี้แน่”
องค์หญิงใหญ่ตรัสอย่างแผ่วเบา “จะทำเยี่ยงไรกับข้า เห็นได้ชัดว่าวันนี้มังกรวิญญาณอารมณ์เกรี้ยวกราด จึงเกิดสูญเสียการควบคุม”
ภาพลักษณ์รบกี่คราก็พ่ายทุกครา แพ้กี่คราก็รบไม่ถอยของหลินอันหยั่งลึกในใจผู้คนมานานแล้ว เหล่าองค์ชายและองค์หญิงต่างคุ้นชินจนเห็นเป็นเรื่องปกติ แล้วหารือเกี่ยวกับความผิดปกติของวิญญาณมังกรกันอย่างเซ็งแซ่
“มังกรวิญญาณแปลกไปจริงๆ ที่คลุ้มคลั่งเมื่อครู่ก็น่าประหลาด”
“ไฉนมันยังอยู่ที่ริมฝั่ง มันจ้องมาทางนี้อยู่เลย…”
“เสียงร้องราวกับยังน้อยเนื้อต่ำใจ…”
องค์รัชทายาทผู้เป็นพี่ชายร่วมสายโลหิตรักน้องสาวสุดหัวใจอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะร่วมหารืออย่างเริงรื่น “อาจจะอารมณ์ไม่ดี มังกรวิญญาณไม่ใช่สัตว์ทั่วไป ย่อมอารมณ์เสียได้เช่นกัน”
อย่างไรเสียสัตว์ก็คือสัตว์ ความคิดของพวกมันไม่อาจศึกษาได้โดยละเอียด บรรดาฝ่าบาททั้งหลายหารืออยู่พันหนึ่งก็ไม่ได้ใส่ใจอีก
องค์หญิงรองตกน้ำกลัวว่าจะโกรกลมหนาว งานเลี้ยงจึงเลิกก่อนกำหนด บรรดาฝ่าบาทผู้สูงส่งต่างประทับรถม้าพระที่นั่งเสด็จกลับ เหลือไว้เพียงบ่าวจัดการซากสถานการณ์
องค์หญิงใหญ่พาสวี่ชีอันเปลี่ยนทิศไปทางประตูตงหวาจนถึงด้านนอกหอสมุดหลวง
หอสมุดหลวงเป็นสถานที่เก็บคัมภีร์ของราชวงศ์ มีเจ็ดหอด้วยกัน ด้านในเก็บคัมภีร์มหาศาลดุจทะเลควัน
สวี่ชีอันกับองค์หญิงใหญ่ขลุกอยู่กับม้วนคัมภีร์ ใช้เวลาค้นหากว่าหนึ่งชั่วยาม[1]ก็พบข้อมูลที่เกี่ยวข้องมากมายของท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่ง
คนผู้นี้สร้างระบบเล่นแร่แปรธาตุขึ้นมาเองแต่กลับมีภูมิหลังลึกลับ คอยช่วยเหลือจักรพรรดิรุ่นแรกริเริ่มสร้างผลงานอันเกริกก้องยาวนานนับพันปี เดิมควรจะเป็นขุนนางอันขึ้นตรงต่อจักรพรรดิที่ได้รับสิทธิ์ประกอบพิธีเซ่นไหว้ศาลบูรพกษัตริย์
ทว่าบันทึกที่เกี่ยวข้องกับเขาหยุดลงอย่างฉับพลันเมื่อ 500 ปีก่อน
เห็นได้ชัดว่าถูกคนลบออกจากประวัติศาสตร์ไปแล้ว คนที่ลบเขาออกคงเป็นจักรพรรดิอู่จงอย่างไม่ต้องสงสัย
หอเก็มคัมภีร์แห่งที่สามของหอสมุดหลวงริมหน้าต่างชั้นสอง ร่างครึ่งหนึ่งขององค์หญิงใหญ่อาบชโลมแสงตะวัน ใบหน้าอันขาวผ่องราวกับส่องทะลุแสงจนสามารถเห็นขนอ่อนเบาบางบนใบหน้าได้
นางตรัส “หากปีนั้นจักรพรรดิอู่จงลบบันทึกของท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งออก เช่นนั้นพวกเราไม่น่าจะพบข้อมูลที่เกี่ยวข้องใดๆ ในหอสมุดหลวงได้”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง