ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 122

สรุปบท บทที่ 122 องค์หญิงหลินอันเรียกเข้าเฝ้า: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ตอน บทที่ 122 องค์หญิงหลินอันเรียกเข้าเฝ้า จาก ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

บทที่ 122 องค์หญิงหลินอันเรียกเข้าเฝ้า คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

บทที่ 122 องค์หญิงหลินอันเรียกเข้าเฝ้า
อืม นอกจากจะหน้าเนื้อใจเสือ ความชอบเอาชนะขององค์หญิงใหญ่ก็แรงกล้าเสียจริง…สวี่ชีอันวิเคราะห์ตามพฤติกรรมทางจิตวิทยา สันนิษฐานว่าเป็นด้านหนึ่งที่แข็งแกร่งในบรรดานิสัยขององค์หญิงใหญ่

หืม…ทำไมข้ารู้สึกว่ามันกำลังมองข้าอยู่?!

นัยน์ตาของมังกรวิญญาณไม่ใช่ม่านตาตั้งตรงที่อำมหิต ทว่าเป็นม่านตาประดุจไข่มุกดำ คล้ายกับสุนัขบ้านที่เคยเห็นในภพก่อน นัยน์ตาคล้ายคู่กระดุมดำอันแวววาว

ดังนั้น มันจึงดูว่านอนสอนง่าย

สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่จุดสำคัญ สวี่ชีอันมีความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้ มังกรวิญญาณกำลังรอเขาอยู่

ยามที่องค์หญิงใหญ่เข้าใกล้มังกรวิญญาณ ทำให้ฉากที่ทุกคนต่างไม่คาดคิดได้บังเกิดขึ้น

มันแสดงด้านอันดุร้ายและการโจมตีอันแกร่งกล้าออกมาในทันใด ปล่อยเสียงคำรามต่ำอันแหบแห้งมุ่งไปทางองค์หญิงใหญ่ ข่มขู่นางไม่ให้เข้าใกล้

องค์หญิงใหญ่ขมวดคิ้วและก้าวถอยหลัง

สัตว์วิญญาณหยุดร้อง ศีรษะคว่ำลงกับริมฝั่ง ยังคงท่าทาง ‘รีบขี่ข้าเร็ว’ เช่นนั้นอยู่

“เอ๊ะ มังกรวิญญาณไม่ให้ฮว๋ายชิ่งขึ้นไป”

“เกิดอะไรขึ้น วันนี้มังกรวิญญาณอารมณ์ไม่ดี?”

“ไม่ใช่ ท่าทางเช่นนั้นของมัน กำลังรอให้คนขี่…”

บรรดาองค์ชายทรงเริ่มแสดงความเห็น

สวี่ชีอันไม่ได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของเหล่าองค์ชาย ทว่าเขารู้ว่าไม่อาจถกเถียงได้ ลองคิดดูว่ามังกรวิญญาณที่ชอบกินปราณม่วงและไม่ยอมรับองค์หญิง ผลสุดท้ายกลับแหกสองขารอเจ้ามาขี่

นี่ไม่ใช่เรื่องดีเป็นแน่

สวี่ชีอันคาดว่าเกิดจากการโคจรปราณอันแปลกประหลาดบนร่างของตน เขายอมคลำหาเองอย่างช้าๆ แม้จะเสียแรงเปล่า ก็ไม่ปรารถนาให้ความลับถูกเปิดเผย

ด้วยกฎการอยู่รอดของโลกนี้ มิใช่เพราะเจ้าไม่รู้สภาพการณ์แล้วจะหลุดพ้นจากบาป!

“องค์หญิงใหญ่ สัตว์ประหลาดตัวนี้อันตรายยิ่ง พวกเรารีบออกห่างโดยเร็วเถิด”

สวี่ชีอันสบโอกาสยามองค์หญิงใหญ่ไม่ได้สังเกตร่างเขา เอาตัวขวางหน้านางอย่างรวดเร็ว เช่นนี้ทั้งซ้อนทับการมองเห็นของมังกรวิญญาณและยังทำให้องค์หญิงใหญ่รู้ว่าอารมณ์ของมังกรวิญญาณมีปัญหาขึ้นแล้ว

องค์หญิงใหญ่ขมวดคิ้ว จ้องมังกรวิญญาณเขม็งอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้ “ไปกันเถอะ”

หลังจากสวี่ชีอันแสร้งทำเป็นขัดก็ให้องค์หญิงใหญ่เดินนำ จากนั้นตนจึงเดินตาม เมื่อเดินห่างออกมากว่า 10 เมตร เขาได้ยินเสียงมังกรวิญญาณคร่ำครวญด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจดังมาจากทางด้านหลัง

สวี่ชีอันและฮว๋ายชิ่งเดินกลับไปยังแท่นสี่เหลี่ยม องค์หญิงรองหลินอันถูกดึงขึ้นมาแล้ว ทั่วทั้งร่างเปียกชุ่มและถูกคลุมด้วยเสื้อคลุมตัวหนา สองมือกอดอกสั่นระริกด้วยความหนาวเย็น ริมฝีปากม่วงคล้ำ

นางชี้ไปที่ฮว๋ายชิ่งพร้อมร้องคร่ำครวญ “ข้าจะกราบบังคมทูลเสด็จพ่อ ฮว๋ายชิ่ง ข้ากับเจ้าไม่จบแค่นี้แน่”

องค์หญิงใหญ่ตรัสอย่างแผ่วเบา “จะทำเยี่ยงไรกับข้า เห็นได้ชัดว่าวันนี้มังกรวิญญาณอารมณ์เกรี้ยวกราด จึงเกิดสูญเสียการควบคุม”

ภาพลักษณ์รบกี่คราก็พ่ายทุกครา แพ้กี่คราก็รบไม่ถอยของหลินอันหยั่งลึกในใจผู้คนมานานแล้ว เหล่าองค์ชายและองค์หญิงต่างคุ้นชินจนเห็นเป็นเรื่องปกติ แล้วหารือเกี่ยวกับความผิดปกติของวิญญาณมังกรกันอย่างเซ็งแซ่

“มังกรวิญญาณแปลกไปจริงๆ ที่คลุ้มคลั่งเมื่อครู่ก็น่าประหลาด”

“ไฉนมันยังอยู่ที่ริมฝั่ง มันจ้องมาทางนี้อยู่เลย…”

“เสียงร้องราวกับยังน้อยเนื้อต่ำใจ…”

องค์รัชทายาทผู้เป็นพี่ชายร่วมสายโลหิตรักน้องสาวสุดหัวใจอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะร่วมหารืออย่างเริงรื่น “อาจจะอารมณ์ไม่ดี มังกรวิญญาณไม่ใช่สัตว์ทั่วไป ย่อมอารมณ์เสียได้เช่นกัน”

อย่างไรเสียสัตว์ก็คือสัตว์ ความคิดของพวกมันไม่อาจศึกษาได้โดยละเอียด บรรดาฝ่าบาททั้งหลายหารืออยู่พันหนึ่งก็ไม่ได้ใส่ใจอีก

องค์หญิงรองตกน้ำกลัวว่าจะโกรกลมหนาว งานเลี้ยงจึงเลิกก่อนกำหนด บรรดาฝ่าบาทผู้สูงส่งต่างประทับรถม้าพระที่นั่งเสด็จกลับ เหลือไว้เพียงบ่าวจัดการซากสถานการณ์

องค์หญิงใหญ่พาสวี่ชีอันเปลี่ยนทิศไปทางประตูตงหวาจนถึงด้านนอกหอสมุดหลวง

หอสมุดหลวงเป็นสถานที่เก็บคัมภีร์ของราชวงศ์ มีเจ็ดหอด้วยกัน ด้านในเก็บคัมภีร์มหาศาลดุจทะเลควัน

สวี่ชีอันกับองค์หญิงใหญ่ขลุกอยู่กับม้วนคัมภีร์ ใช้เวลาค้นหากว่าหนึ่งชั่วยาม[1]ก็พบข้อมูลที่เกี่ยวข้องมากมายของท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่ง

คนผู้นี้สร้างระบบเล่นแร่แปรธาตุขึ้นมาเองแต่กลับมีภูมิหลังลึกลับ คอยช่วยเหลือจักรพรรดิรุ่นแรกริเริ่มสร้างผลงานอันเกริกก้องยาวนานนับพันปี เดิมควรจะเป็นขุนนางอันขึ้นตรงต่อจักรพรรดิที่ได้รับสิทธิ์ประกอบพิธีเซ่นไหว้ศาลบูรพกษัตริย์

ทว่าบันทึกที่เกี่ยวข้องกับเขาหยุดลงอย่างฉับพลันเมื่อ 500 ปีก่อน

เห็นได้ชัดว่าถูกคนลบออกจากประวัติศาสตร์ไปแล้ว คนที่ลบเขาออกคงเป็นจักรพรรดิอู่จงอย่างไม่ต้องสงสัย

หอเก็มคัมภีร์แห่งที่สามของหอสมุดหลวงริมหน้าต่างชั้นสอง ร่างครึ่งหนึ่งขององค์หญิงใหญ่อาบชโลมแสงตะวัน ใบหน้าอันขาวผ่องราวกับส่องทะลุแสงจนสามารถเห็นขนอ่อนเบาบางบนใบหน้าได้

นางตรัส “หากปีนั้นจักรพรรดิอู่จงลบบันทึกของท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งออก เช่นนั้นพวกเราไม่น่าจะพบข้อมูลที่เกี่ยวข้องใดๆ ในหอสมุดหลวงได้”

การอนุมานก็คล้ายกับโจทย์คณิตศาสตร์ เบาะแสทั้งหมดล้วนต้องเชื่อมโยงและปะติดปะต่อเข้าด้วยกัน หากมีข้อสงสัยใดไม่ได้รับการยืนยัน คำตอบอาจจะเคลื่อนไปไกลเป็นแสนแปดพันลี้

ดังนั้น ตอนนี้เรื่องที่ข้าต้องทำมีอยู่สองสิ่ง หนึ่ง ยืนยันว่าสิ่งที่ผนึกอยู่ใต้ซังผอคือท่านโหราจารย์ นี่คือส่วนสำคัญจากการสันนิษฐานทั้งหมดของข้า การจะยืนยันเรื่องนี้ข้าก็จำเป็นต้องยืนยันว่าศาสนาพุทธรับบทเป็นอะไรในที่แห่งนี้

สอง ข้าต้องการยืนยันว่าผู้ที่ฆ่าปิดปากนายอำเภอจ้าวเป็นลัทธิเต๋านิกายมนุษย์ใช่หรือไม่ หากใช่ ลัทธิเต๋าจะรับบทอะไรในที่แห่งนี้ สมคบคิดกับอ๋องสยบแดนเหนือหรือไม่ เช่นนั้นข้าก็ต้องหาหลักฐานที่พิสูจน์ว่าพวกเขาสมรู้ร่วมคิดกัน

การแก้ไขปัญหาข้อนี้จำเป็นต้องเสร็จสิ้นภายในหนึ่งสัปดาห์ เช่นนี้แม้จะทำพลาด ข้าก็ยังมีโอกาสเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ภายใน 10 วันหากรายละเอียดคดียังไม่คืบหน้า เช่นนั้นข้าคงต้องกอดขาท่านพ่อเว่ยร้องไห้พลางกล่าว ‘เจ้านี่ใช้การไม่ได้แล้ว สร้างอันใหม่กันเถอะ’

สวี่ชีอันครุ่นคิดพลางกำหนดภารกิจในวันพรุ่งนี้

ตรวจสอบข้อมูลของระบบผู้บำเพ็ญเพียรขั้นสูง ยืนยันว่าการตายของนายอำเภอจ้าวเป็นความจริง เยี่ยมเยียนวัดมังกรเขียวเพื่อสืบความลับเมื่อปีนั้น เยี่ยมเยียนจวนอ๋องสยบแดนเหนือเพื่อเข้าพบพระชายาที่ถูกยกย่องว่าเป็นสาวงามอันดับหนึ่งผู้นั้น

หลังจากตัดสินใจได้ สวี่ชีอันจึงกล่าว “ข้าน้อยรู้เบาะแสอยู่บ้าง ทว่าก่อนที่ผลลัพธ์จะปรากฏก็มิบังอาจพูดสุ่มสี่สุ่มห้ากับองค์หญิง”

องค์หญิงใหญ่ทรงปราดเปรื่องจึงไม่ได้ซักไซ้ แล้วพยักหน้าพร้อมตรัส “ข้าเพลียแล้ว”

รถม้าไม้จินสื่อหนานเคลื่อนตัวออกจากหอสมุดหลวงแยกกับสวี่ชีอันไปตามทางของตน สวี่ต้าหลางหนีบรัดทึบ กีบม้ารีบควบไปยังประตูตงหวาดังกุกกัก แต่ก็ถูกทหารรักษาพระองค์แถวหนึ่งขวางเอาไว้

“องค์หญิงหลินอันประสงค์จะพบเจ้า!” ทหารรักษาพระองค์กล่าว

องค์หญิงหลินอัน? นางไม่ลงรอยกับองค์หญิงใหญ่ อีกทั้งบนตัวข้ายังติดฉลากขององค์หญิงใหญ่ เกรงว่าคงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไรนักไม่เข้าพบจะดีกว่า!

สวี่ชีอันปฏิเสธ “ข้ามีชีวิตองค์จักรพรรดิอยู่เคียงกายรับผิดชอบสืบคดี เจ้าไปกราบบังคมทูลรายงานองค์หญิงหลินอันว่าเลื่อนเป็นวันอื่นแทน”

เขากล่าวพลางหยิบตราทองคำออกมา

ใครจะคาดว่าหัวหน้าทหารรักษาพระองค์ไม่หวาดกลัวเลย แล้วหัวเราะหึๆ “องค์หญิงหลินอันเป็นองค์หญิงที่ฝ่าบาททรงโปรดมากที่สุด ตราทองคำของเจ้าใช้การ ณ ที่แห่งนี้ไม่ได้”

ตามที่สังเกตบนโต๊ะอาหาร ราชินีแห่งไนต์คลับ…ไม่สิ องค์หญิงหลินอันร้ายกาจเอาแต่ใจ แม้จะไม่เหมือนน้องหลิงเยวี่ยที่ต่อยหนึ่งกำปั้นก็ร้องไห้แงๆๆ อยู่นานเช่นนั้น ทว่าเมื่อตกน้ำก็ยังคงร้องไห้จ๊ากด้วยความน้อยใจ ไม่ใช่ประเภทที่มีอุบายลึกซึ้ง

อาจจะถูกกลั่นแกล้ง ยังไม่ถึงขั้นงานเลี้ยงหงเหมิน ก็แค่ระมัดระวังไว้หน่อย

ความมั่นใจมีมากเช่นนี้เลยหรือ…สวี่ชีอันพ่นลมหายใจอันขุ่นมัวออกมา “นำทางไปสิ”

……………………………………

[1] 1 ชั่วยาม เท่ากับ 2 ชั่วโมง

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง