หัวหน้าทหารรักษาพระองค์นำสวี่ชีอันเดินข้ามธรณีประตูสูง อ้อมผ่านกำแพงบังตา เบื้องหน้าเป็นลานที่เต็มไปด้วยสีสันของเด็กสาวไร้เดียงสา
ชิงช้าแขวนอยู่บนเถาองุ่น มีโคลนกองอยู่ที่มุมกำแพง ในศาลาทางทิศตะวันออกเห็นของประหลาดกองอยู่รางๆ
ที่ริมสวนดอกไม้ทางทิศตะวันตก องค์หญิงรองหลินอันกำลังเตะลูกบอลแพรปักอยู่กับสาวใช้สองสามคนท่ามกลางเสียงพูดคุยจ้อกแจ้กของหญิงสาว บางครั้งก็มีเสียงหัวเราะราวเสียงระฆังเงินขององค์หญิงหลินอันแทรกมาด้วย
“ฝ่าบาท สวี่ชีอัน ขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” ทหารรักษาพระองค์กำหมัดอยู่ระยะไกล ถวายรายงานเสียงดัง
องค์หญิงรองทรงเหยียบลูกบอลแพรปัก แล้วหันมามอง พระองค์จ้องหน้าสวี่ชีอยู่หลายวินาที กระตุกมุมพระโอษฐ์เล็กน้อย แล้วทรงเตะลูกบอลแพรปักอย่างแรงจนลอยสูงขึ้นฟ้า
‘ตุบ!’
ลูกบอลแพรปักถูกยิงลอยไป ชายกระโปรงขององค์หญิงหลินอัน ก็บานออกเป็นวงกลม ราวกับดอกไม้บาน
ในใจของสวี่ชีอันที่พบหน้ากันก็ต้องเจอกับการแสดงฤทธิ์เดชรู้สึกสะท้าน ขณะที่เขากำลังจะหลบ จู่ๆ ก็ชะงัก ลูกบอลแพรปักยิงเฉไป กระเด้งตุบๆๆ ไปไกล
“ …จะยอมอภัยให้เจ้าสักครั้ง” องค์หญิงรองทรงกู้ศักดิ์ศรีตนเอง ทรงพระดำเนินไปยังห้องโถงด้านหน้าและตรัสว่า “สวี่ชีอัน เจ้าตามข้าเข้ามา คนอื่นๆ ให้รออยู่ข้างนอก”
ในห้องโถงด้านหน้าที่หรูหรา องค์หญิงรองทรงประทับอยู่บนพระเก้าอี้ขนาดใหญ่ ส่วนสวี่ชีอันยืนอยู่กลางห้องโถง ทั้งสองต่างสังเกตอีกฝ่ายอย่างละเอียดอยู่เงียบๆ
องค์หญิงรองทรงใช้วิธีจ้องมองเพื่อบังคับสวี่ชีอันให้ยอมแพ้ โดยผ่านสถานะขององค์หญิง
พระองค์ทรงทราบดีว่าเมื่อครั้งฮว๋ายชิ่งยังเด็ก มีช่วงเวลาหนึ่งเคยล่าเหยี่ยวมาแล้ว สายตาเหยี่ยวนั้นแหลมคมที่สุด ราวกับมีด คนธรรมดาไม่สามารถจ้องตากับมันเป็นเวลานาน ดังนั้น ในกระบวนการล่าเหยี่ยว จำเป็นต้องใช้สายตาที่แหลมคมกว่ามาสยบมัน
ทันทีที่คนล่าเหยี่ยวละสายตา ก็สูญเสียคุณสมบัติที่จะเป็นเจ้าของเหยี่ยวทันที
จุดประสงค์ในการล่าเหยี่ยวของฮว๋ายชิ่งก็เพื่อฝึกสายตาที่แหลมคม จนถึงทุกวันนี้องค์หญิงรองยังไม่กล้าจ้องตากับฮว๋ายชิ่งเป็นเวลานาน
น่าเสียดายที่ดวงพระเนตรกลมโตที่เป็นประกายของพระองค์นั้นไม่มีพลังทำลายล้างจริงๆ เมื่อพระองค์จ้องไปที่ใคร กลับมีความรู้สึกเหมือนอยากพูดแต่ไม่กล้าพูดเสียอย่างนั้น
สวี่ชีอันพินิจพิเคราะห์องค์หญิงรอง พระพักตร์ของพระองค์กลมคล้ายกับใบหน้าของฉู่ไฉ่เวย แต่คนหลังนั้นสวยงามอ่อนหวานดวงตาโตสองมิติ
องค์หญิงรองนั้นทรงงามแบบผู้ใหญ่ ดวงพระเนตรกลมโตทอดพระเนตรไปที่ใครก็เต็มไปด้วยความเสน่หา
“สวี่ชีอัน ได้ยินมาว่าเจ้าเป็นสุนัขที่ซื่อสัตย์ของฮว๋ายชิ่ง” เมื่อองค์หญิงรองเห็นว่าการจ้องมองด้วยแววตาดุร้ายของพระองค์ ไม่สามารถทำให้สวี่ชีอันหวาดกลัวได้ ดังนั้นจึงทรงหัวเราะเยาะเย้ย และหันไปใช้วาจาโจมตีเขาแทน
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมนามว่าฮาจิโกะ” สวี่ชีอัน กล่าวอย่างจริงใจ
“ฮาจิโกะคืออะไร”
“มันเป็นสุนัขที่จงรักภักดี”
“เจ้ากำลังล้อเล่นกับข้าหรือ” องค์หญิงหลินอันทรงเลิกพระขนง
“มิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ” สวี่ชีอัน พูดด้วยกิริยาวาจาที่เหมาะสม
องค์หญิงหลินอันทรงถอนพระปัสสาสะเบาๆ แล้วตรัสว่า “ข้าจะให้โอกาสเจ้า รีบสวามิภักดิ์ต่อข้าเสียแต่ตอนนี้ เพื่อจะได้หลุดพ้นจากผู้หญิงที่ชื่อฮว๋ายชิ่งนั่น มิฉะนั้น…”
สวามิภักดิ์ต่อพระองค์? ตอนนี้กระหม่อมได้โอบกอดพระอูรุขององค์หญิงใหญ่ กอดขาของเว่ยเยวียนไว้แน่นแล้ว ถ้าหากยังสวามิภักดิ์ต่อพระองค์อีก…กระหม่อมจะไม่กลายเป็นข้าสามเจ้า บ่าวสามนายหรือพ่ะย่ะค่ะ
สวี่ชีอัน ส่ายหน้า “ขอประทานอภัย กระหม่อมได้สาบานไว้แล้วว่าจะขอถวายการรับใช้องค์หญิงใหญ่ อย่างถวายชีวิตพ่ะย่ะค่ะ”
องค์หญิงรองทรงตัดทันทีว่า “ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะให้เจ้าถวายการรับใช้ข้าเช่นกัน”
ถ้าเช่นนั้นพระองค์จะให้ค่าตอบแทนกระหม่อมหรือไม่ สวี่ชีอันเข้าใจสถานการณ์แล้ว องค์หญิงรองเห็นว่าเขาได้รับการชื่นชมจากองค์หญิงใหญ่ เป็นผู้ช่วยขององค์หญิงใหญ่ เขาหล่อเหลา แต่งกลอนเป็น และพูดจาน่าฟัง จึงทรงริษยาและอยากจะแย่งตัวเขาไปจากองค์หญิงใหญ่
“องค์หญิงรองอย่าทรงฝืนใจผู้อื่นเลยพ่ะย่ะค่ะ” สวี่ชีอันปฏิเสธสิ้นเชิง เป็นคนต้องรักษาสัญญา ในเมื่อรับปากว่าจะทำงานให้องค์หญิงใหญ่แล้ว ก็ไม่สามารถสวามิภักดิ์ต่อผู้ใดอีก
“หากเจ้าไม่ยินยอม” องค์หญิงรองทรงถลึงพระเนตร แย้มพระสรวลอย่างเย็นชา และทรงข่มขู่ว่า “ข้าจะตะโกนว่าถูกล่วงเกิน และบอกทหารรักษาพระองค์ว่าเจ้าพยายามเกี้ยวพาราสีข้า”
“กระหม่อมยินดีที่จะถวายการรับใช้องค์หญิงรองอย่างถวายชีวิตพ่ะย่ะค่ะ” สวี่ชีอันกล่าวอย่างจริงใจ
องค์หญิงรองทรงดีพระทัยในทันที “คนที่รู้จักปรับตัวตามสถานการณ์เป็นคนฉลาด เจ้าเป็นคนเก่งคนหนึ่ง..อืม ต่อไปหลังเที่ยงทุกวัน เจ้าก็มาเข้าเฝ้าข้าที่นี่ ไปปฏิบัติงานข้างนอกแทนข้า”
“พระองค์ กระหม่อมมีงานที่ได้รับมอบหมาย ให้ไปตรวจสอบคดีทะเลสาบซังผอ” สวี่ชีอันถอนหายใจ
“…ก็จริงนะ” องค์หญิงหลินทรงคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ถ้าเช่นนั้นพรุ่งนี้ก็ช่างเถิด รอให้ข้าอยากใช้งานเจ้าเมื่อใด เจ้าค่อยมาก็แล้วกัน”
สวี่ชีอันเข้าใจแล้วว่า ผู้หญิงคนนี้แค่ต้องการหาเรื่อง ไม่ได้ต้องการให้เขาทำงานให้จริงๆ เจตนาหาเรื่ององค์หญิงใหญ่อย่างแท้จริง
การข่มขู่เมื่อครู่ไม่ได้มีกำลังสังหารเท่าไหร่นัก เอาชื่อเสียงขององค์หญิงมาแลกกับชีวิตของฆ้องทองแดงเล็กๆ คนหนึ่ง คุ้มแล้วหรือ!
เป็นเพราะว่าเขาเข้าใจดีแล้ว จึงได้เปลี่ยนใจยอมรับปากองค์หญิงรอง ถือว่าเล่นเป็นเพื่อนเด็กน้อยก็แล้วกัน รับปากไปอย่างนั้น
“เจ้าไปได้” องค์หญิงรองทรงอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะทุกอย่างเป็นไปด้วยดี
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ช้าก่อน” องค์หญิงรองทรงเรียกเขา ถอดชิ้นหยกที่เอวของออกแล้วทรงตรัสว่า “นี่คือสัญลักษณ์ของข้า สามารถใช้สิ่งนี้เข้าวัง ทหารรักษาพระองค์จะไม่ขัดขวางเจ้า แต่มาที่ตำหนักข้าได้เท่านั้น เจ้าจะไปที่อื่นไม่ได้”
…ใจกว้างขนาดนี้? เจ้าไม่กลัวเลยเหรอ ดวงตาของสวี่ชีอันเป็นประกาย รับชิ้นหยกไว้แล้วเก็บไว้ในอกเสื้อ “ต่อไปกระหม่อมจะจงรักภักดีต่อพระองค์อย่างสุดความสามารถพ่ะย่ะค่ะ”
สวี่ชีอันข้าสามเจ้า บ่าวสามนายออกจากเขตพระราชฐานตอนพลบค่ำ ควบม้ากลับหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล
หน่วยงานได้แยกย้ายกันไปหมดแล้ว เหลือเพียงหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลและเจ้าพนักงานไม่กี่คน เงียบเหงากว่าตอนกลางวันมาก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง