กลุ่มปัจจุบันของสวี่ชีอันมี พรรคจินยวี่ พรรคเจิ้นเสีย พรรคชุนเฟิง ฉู่ไฉ่เวยแห่งสำนักโหราจารย์ และมือปราบของทางการหกคน รวม 24 คน
หมิ่นซานและหยางเฟิง ฆ้องเงินทั้งสองรับผิดชอบตรวจสอบการผลิตและบันทึกการใช้ดินปืนของกรมก่อสร้าง ซึ่งเป็นงานที่จุกจิกและเสียเวลา
สวี่ชีอันแน่ใจว่าดินปืนไม่ได้ผลิตโดยกรมโยธา แต่เพื่อความรอบคอบ เขาจึงยังคงไม่หยุดตรวจสอบกรมโยธา
วันนี้ต้องออกจากเมืองหลวง เมื่อรู้ว่าคดีทะเลสาบซังผอนั้นพัวพันกับผู้มีอิทธิพลมากมาย สวี่ชีอันได้ทำตามความปรารถนาของหัวใจ นั่นคือการนำกำลังคนไปให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
เขาไปที่เขตพระราชฐานก่อน ส่วนคนอื่นๆ ถูกกันไว้นอกเขตพระราชฐาน คนที่สามารถจูงมือเดินไปพร้อมกับเขาได้มีเพียงฉู่ไฉ่เวยคนชอบกินคนเดียวเท่านั้น
หญิงสาวคนนี้เป็นแขกประจำของเขตพระราชฐาน อยากมาก็มา อยากไปก็ไป สถานะของนางไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง
“องค์หญิงใหญ่ทรงมอบชิ้นหยกไว้ให้เจ้าใช่หรือไม่” สวี่ชีอันถาม
ฉู่ไฉ่เวยพยักหน้า
“ข้าก็มีเช่นกัน” สวี่ชีอันหยิบชิ้นหยกคาดเอวที่องค์หญิงหลินอันทรงมอบให้ไว้ออกมา แล้วก็โอ้อวดด้วยความภาคภูมิใจ
“รู้สึกคุ้นตาอยู่บ้าง…อ้อ ขององค์หญิงหลินอันเหรอ” ฉู่ไฉ่เวยร้องขึ้นเบาๆ
“ตอนนี้ข้าเป็นคนขององค์หญิงหลินอันแล้ว พระองค์ทรงชื่นชมข้ามาก ทรงเห็นว่าองค์หญิงใหญ่ไม่ได้ทรงมอบชิ้นหยกให้แก่ข้า พระองค์จึงทรงรีบมอบให้ข้ามาชิ้นหนึ่ง เพื่อแสดงว่าพระองค์เห็นความสำคัญของข้ามากกว่าองค์หญิงใหญ่ และควรค่าแก่การสวามิภักดิ์มากกว่า” สวี่ชีอันเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานให้หญิงสาวตาโตฟัง
“พระองค์ทรงโง่เขลายิ่งนัก” ฉู่ไฉ่เวยหัวเราะคิกคัก เย้ยหยันองค์หญิงหลินอัน
ทั้งสองคนก็พอๆ กัน เจ้าเอาความมั่นใจมาจากไหนมาหัวเราะเย้ยหยันเช่นนี้…สวี่ชีอันพูดคล้อยตามว่า “ใช่ ไม่ใช่ว่าผู้หญิงทุกคนที่จะฉลาดล้ำเช่นแม่นางไฉ่เวย”
รอยยิ้มบนใบหน้ารูปไข่ของฉู่ไฉ่เวย หวานยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ต่อมาไม่นาน ในที่สุดก็มาถึงพระตำหนักฮว๋ายอ๋อง บรรดาศักดิ์ของอ๋องสยบแดนเหนือคือฮว๋ายอ๋อง และยังทรงเป็นพระอนุชาของจักรพรรดิหยวนจิ่ง ดังนั้นชื่อของพระตำหนักจึงเรียกว่าพระตำหนักฮว๋ายอ๋อง
หน้าประตูมีสิงโตหินอ่อนสีขาว 2 ตัว ประตูกลางสูง 2 จ้าง และตะปูประตูสีทองเรียงอย่างเป็นระเบียบ ห่วงเคาะประตูรูปมังกรมีขนาดใหญ่กว่าพระตำหนักของท่านอ๋องทั่วไป
นอกจากคำว่ารสนิยมสูงแล้ว สวี่ชีอันก็นึกคำอื่นที่จะมาเปรียบไม่ได้อีก
ที่หน้าประตูมีทหารสวมเสื้อเกราะถืออาวุธยืนเรียงแถวอยู่ สีหน้าเคร่งขรึม
“ข้าสวี่ชีอันได้รับพระราชบัญชาให้เป็นผู้รับผิดชอบคดีทะเลสาบซังผอ มีเรื่องต้องขอเข้าเฝ้าพระสนม รีบไปกราบทูลเดี๋ยวนี้” สวี่ชีอันแสดงตราทองคำ
ทหารสวมเสื้อเกราะเหลือบมองสวี่ชีอันแวบหนึ่ง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “พระสนมทรงไม่ต้องการพบใครทั้งนั้น เชิญกลับไปได้”
สวี่ชีอันเลิกคิ้ว ขณะที่กำลังจะกล่าวโทษ ก็ได้ยินทหารสวมเสื้อเกราะยิ้มเยาะพร้อมกล่าวเสริมว่า “นี่เป็นพระราชบัญชาของฝ่าบาทเช่นเดียวกัน ถึงจะเป็นองค์หญิงใหญ่ทรงต้องการเข้าเฝ้าพระสนม ก็ต้องดูพระอารมณ์ของพระสนมของเราด้วย”
“รีบไปให้พ้นซะ อย่ามาแอบอ้างพระราชบัญชามาบีบบังคับผู้อื่น”
สวี่ชีอัน เข้าใจในทันทีส่งเสียง ‘อ้อ’ จากนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า “ที่แท้ตราทองคำที่ฝ่าบาททรงพระราชทานด้วยพระองค์เองเป็นเพียงการแอบอ้าง…คนผู้นี้สบประมาทฝ่าบาท ทำการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอย่างร้ายแรง”
เขากำด้ามดาบที่หลังเอวด้วยมือข้างเดียว แล้วแสยะยิ้ม “ตอนนี้ข้าจะจับกุมผู้ต้องหา ใครกล้าขัดขวาง ให้ฆ่าทิ้งเสีย!”
‘ชิ้ง!’
ดาบยาวสีดำออกจากฝักเพียงครึ่งนิ้ว พลังชี่ก็พรั่งพรูออกมา
ทหารรักษาพระองค์ที่เหน็บแนมสวี่ชีอันรู้ว่าตัวเองพูดผิดไปแล้ว สีหน้าเริ่มซีด
หัวหน้าทหารรักษาพระองค์ถลึงตามองผู้ใต้บังคับบัญชาที่ปากไม่มีหูรูด เดินไปทางสวี่ชีอัน ระหว่างเดิน เสียงชิ้นส่วนเสื้อเกราะดัง ‘กรุ๊งกริ๊ง’
“ใต้เท้าท่านนี้ เวลานี้พระสนมไม่อยู่ในพระตำหนัก”
“เสด็จไปไหน” สวี่ชีอันนั่งอยู่บนหลังม้า ชำเลืองตามองเขา
“ตำแหน่งต่ำต้อยเป็นเพียงคนเฝ้าประตู จะรู้การเคลื่อนไหวของพระสนมได้อย่างไร แต่พระองค์ไม่ได้อยู่ในพระตำหนักจริงๆ พระองค์เพิ่งออกจากเมืองหลวงไปเมื่อเช้านี้ ทรงคลาดกับพวกท่านเพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น” หัวหน้าทหารรักษาพระองค์พูดจาน่าฟัง
สวี่ชีอันพยักหน้าเล็กน้อย ท่าทีแข็งกร้าว “ตอนนี้ข้าจะจับกุมผู้ต้องหา หากพวกเจ้าไม่อยากถูกตัดสินว่าร่วมกันปกป้องคนผิด ก็จงช่วยข้าจับกุมคนผู้นี้”
เขาชี้ไปที่ทหารสวมชุดเกราะที่กล่าววาจาเยาะเย้ย
“ใต้เท้า!” หัวหน้าทหารรักษาพระองค์รู้สึกร้อนใจ ในใจโกรธจนเจียนตาย แต่ไม่กล้าแสดงความโกรธออกมา พูดอย่างจริงใจว่า “พระสนมไม่อยู่ในพระตำหนักจริงๆ”
เป็นถึงทหารรักษาพระองค์ของพระตำหนักท่านอ๋อง รอท่านอ๋องกลับมาก่อน ก็จะไม่ไว้หน้าเช่นกัน
แต่ในมืออีกฝ่ายถือป้ายทองคำไว้ แล้วยังจับความผิดของผู้ใต้บังคับบัญชาได้อีก หัวหน้าทหารรักษาพระองค์จึงทำได้เพียงใช้ไม้อ่อนจะดีที่สุด
ถึงตอนนี้สวี่ชีอันจึงยอมเชื่อ หันหัวม้า พาฉู่ไฉ่เวยจากไป
“พระสนมพระองค์นี้ค่อนข้างน่าสนใจ แม้แต่องค์หญิงใหญ่ก็ไม่อาจเข้าเฝ้าได้” สวี่ชีอันพูดหยั่งเชิงยิ้มๆ
ฉู่ไฉ่เวยก็ไม่ทำให้ผิดหวัง นางไม่ได้สังเกตเห็นการหยั่งเชิงของสวี่ชีอัน ตอบตามตรงว่า “สถานะของพระสนมนั้นพิเศษมาก”
“พิเศษอย่างไร”
“นี่เป็นความลับ” ฉู่ไฉ่เหว่ยยิ้มกว้าง “เรื่องพวกนี้เจ้าควรถามให้น้อยหน่อย มันไม่มีประโยชน์ต่อตัวเจ้า”
พูดจบ นางก็ทำหน้าเคร่งขรึม กล่าวเตือนว่า “ห้ามใช้ของกินมาติดสินบนข้า”
“ทำไมหรือ”
“เพราะข้าเกรงว่าจะทนไม่ไหว…” นางพูดอย่างรู้สึกผิด
…
วันนี้มีภารกิจอยู่ 3 ภารกิจ การสืบสวนเกี่ยวกับการเสียชีวิตของนายอำเภอจ้าวมีผลที่ค่อนข้างแม่นยำตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว อีกสองภารกิจที่เหลือ การเข้าเฝ้าพระสนมทำไม่สำเร็จ
สวี่ชีอัน ที่แพ้ตั้งแต่เริ่มต้นรู้สึกทุรนทุราย!
เขาเป็นคนรอบคอบและจริงจังในการทำงาน การที่อารมณ์ไม่ดีย่อมไม่ใช่เพราะกระหายในความงามหรือต้องการจะเห็นพระพักตร์ที่งดงามของพระสนมอย่างแน่นอน
พระสนมมีความพิเศษเหรอ ความพิเศษนี้ต้องไม่ใช่ความงามที่ใบหน้าอย่างแน่นอน แต่หมายถึงอย่างอื่น ในเมื่อพิเศษเช่นนี้ เหตุใดเวลานั้นจักรพรรดิหยวนจิ่งจึงต้องมอบหญิงงามเช่นนี้ให้กับอ๋องสยบแดนเหนือ…หรือว่า เป็นเพราะความพิเศษนี้ จึงทำให้ที่จักรพรรดิหยวนจิ่งต้องส่งต่อสาวงาม
สวี่ชีอันเบนความสนใจคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ทิ้งเรื่องพระสนมไว้ข้างหลัง
เรื่องคดีความก็ยากต่อการจัดการมากแล้ว จึงไม่ควรสิ้นเปลืองเซลล์สมองไปกับเรื่องเล็กน้อยที่ไม่สำคัญอีก
…
ชานเมืองด้านตะวันตกของต้าฟ่งมีภูเขาไป่ฟ่ง ออกเดินทางจากประตูเมืองฝั่งตะวันตก ครึ่งชั่วยามกว่าก็สามารถไปถึงได้
ชื่อของภูเขาไป๋ฟ่งมาตั้งชื่อตามนกป่าสีขาวที่อาศัยอยู่บนภูเขา ขนหางยาวราวกับนกฟ่งหวง
แต่ตอนนี้นกไป๋ฟ่งเกือบจะสาบสูญไปหมดแล้ว พูดไปแล้วก็เป็นเหมือนของสำนักโหราจารย์
มีอยู่วันหนึ่ง หมอจากสำนักโหราจารย์มาเก็บสมุนไพรที่ภูเขาไป่ฟ่ง จึงได้จับนกไป๋ฟ่งติดมือไปด้วยสองสามตัว หลังจากนำกลับไปศึกษาที่บ้าน ก็พบว่าเนื้อของนกไป๋ฟ่งสามารถเป็นยาโป๊ได้…
เมื่อมาถึงตีนเขาไป๋ฟ่ง ลวี่ชิงผู้รอบรู้ได้พูดถึงเรื่องนี้ด้วยรอยยิ้ม
ซ่งถิงเฟิงคิดอะไรขึ้นมาได้ จึงพูดขึ้นอย่างลังเลว่า “หัวหน้า ข้ามีสหายคนหนึ่งสุขภาพไม่ค่อยดี ข้าอยากจะไปล่านกไป๋ฟ่งให้เขาสักสองสามตัว”
หมิ่นซานฆ้องเงินถลึงตามองแล้วพูดว่า “นี่มันเวลาอะไรแล้ว ยังอยากจะล่าสัตว์ป่า เรื่องงานสำคัญกว่า หากทำให้คดีล่าช้าใครจะรับผิดชอบ”
หลี่อวี้ชุนขมวดคิ้วไม่ตอบ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง