ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 125

บทที่ 125 ความลับภายใน
“เฮ้อ ดูเหมือนว่านี่จะเป็นการเดินทางมาเสียเที่ยวแน่แท้” ในที่สุดสวี่ชีอันก็ดื่มน้ำชาอึกแรกนับตั้งแต่เข้าวัดมา แล้วถอนหายใจพูดว่า

“ไต้ซือ ท่านคงรู้เรื่องคดีทะเลสาบซังผอที่ลือกันอึกทึกครึกโครมทั่วเมืองหลวงเมื่อไม่นานมานี้แล้ว”

ไต้ซือเหิงชิงไม่พูดไม่จา

สวี่ชีอันใช้สายตาเพื่อส่งสัญญาณให้เพื่อนร่วมงานของเขาอดกลั้นไว้ก่อน แล้วพูดต่อว่า “ในฐานะผู้รับผิดชอบคดีนี้ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากฝ่าบาท ไม่ใช่เพราะว่าองค์จักรพรรดิทรงรู้จักข้าดี จึงได้รับการชื่นชมจากฝ่าบาท…”

สวี่ชีอันถอนหายใจยาว เหมือนอยากจะพูดต่อแต่ก็ไม่พูด

ไต้ซือเหิงชิงอดมองเขาไม่ได้

“พอดีเรื่องนี้มันอัดอั้นอยู่ในใจข้ามานานแล้ว ในเมื่อมาถึงวัดแล้ว ก็จะขอคุยกับไต้ซือดีๆ” สวี่ชีอัน คิดคำพูดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อ

“ไม่กี่วันก่อน ข้าได้รับคำสั่งให้ไปค้นจวนของขุนนางที่ทำความผิด ฝ่าบาททรงมีพระเมตตา ไม่ได้ทรงลงทัณฑ์ทั้งครอบครัว แต่ตอนที่ตรวจค้น เพื่อนร่วมงานหลายคนของข้าเห็นว่าสมาชิกครอบครัวที่เป็นหญิงในจวนนั้นงดงาม จึงเกิดความคิดชั่วร้าย คิดที่จะบังคับขืนใจ…ในจำนวนนั้นมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งอายุแค่สิบสองหรือสิบสามปีเท่านั้น ข้าทนไม่ได้กับเรื่องเช่นนี้ จึงห้ามพวกเขาทันที จึงเกิดการปะทะกับหัวหน้า และเกือบจะสังหารผู้บังคับบัญชา ด้วยเหตุนี้ข้าจึงถูกตัดสินลงโทษให้ตัดเอวเป็นสองท่อน ดังนั้นฝ่าบาทจึงทรงมอบหมายให้ข้าจัดการเรื่องคดีทะเลสาบซังผอ ให้ข้าทำความดีชดเชยความผิด เพื่อนสนิทของข้าบอกว่า เป็นเพราะข้าวู่วาม วิธีที่ถูกต้องคืออดทนไว้ก่อน รอจนทำงานเสร็จแล้วจึงค่อยไปรายงานทางการ แต่หากทำเช่นนั้น เด็กหญิงก็คงโดนทำร้ายอย่างโหดเหี้ยมไปแล้ว…”

สวี่ชีอันมีสีหน้าเจ็บปวดและสับสน “กล่าวกันว่าพระธรรมนั้นไม่มีขอบเขตทำให้มนุษย์พ้นทุกข์ ขอถามไต้ซือว่า สิ่งที่ข้าทำนั้นถูกหรือผิด”

หลี่ว์ชิงตกตะลึง และแสดงสีหน้าประหลาดใจ คิดไม่ถึงว่าเบื้องหลังการถูกตัดสินประหารชีวิตของสวี่ชีอันจะมีเรื่องเช่นนี้ด้วย

เขาแตกต่างจากบุรุษคนอื่นจริงๆ…ดวงตาของมือปราบหญิงเป็นประกายอ่อนโยน

ไต้ซือเหิงชิงรู้สึกสะเทือนใจเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าบริวารจักรพรรดิคนนี้จะเป็นคนมีน้ำใจเช่นนี้ จึงเอ่ยคำว่าอมิตาภพุทธ แล้วกล่าวว่า

“ขอเพียงประสกบริสุทธิ์ใจ ก็จะสามารถปล่อยวางได้”

“ไต้ซือก็รู้สึกว่าข้าทำผิดเช่นนั้นเหรอ” สวี่ชีอันกล่าวอย่างหม่นหมอง

เหิงชิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า “ประสกจิตใจดี ช่วยชีวิตคนด้วยความเมตตา จะมีความผิดได้อย่างไร”

สวี่ชีอันวกถามต่อว่า “แล้วเหตุใดราชสำนักจึงตัดสินประหารชีวิตข้า”

ไต้ซือเหิงชิงกล่าวปลอบโยนว่า “โลกมนุษย์เหมือนทะเลแห่งความทุกข์ การใช้ชีวิตอยู่ในนั้น ย่อมไม่เป็นตัวของตัวเอง หลายครั้ง ความใจดีก็ไม่แน่ว่าจะได้รับผลดีตอบแทน แต่ว่าถึงแม้ว่ามันอาจจะช้า แต่ย่อมได้รับผลแน่นอน คดีทะเลสาบซังผอเป็นเพราะฟ้าลิขิต ไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ แล้วก็เป็นโอกาสที่ดีของประสก”

“ไต้ซือ ข้าเข้าใจแล้ว” สวี่ชีอันเข้าใจในทันที หันไปพูดกับทุกคน

“ทุกคนได้ยินกันแล้ว ไต้ซือเหิงชิงกล่าวว่าต้าฟ่งเป็นทะเลแห่งทุกข์ คดีทะเลสาบซังผอเป็นกรรมตามสนองราชสำนัก มัวตะลึงอะไรอยู่ จับตัวไว้”

ชิ้งๆๆ…ทุกคนลุกขึ้นทันที เสียงชักดาบดังก้องไปทั่วห้องบำเพ็ญตบะ

ห้องฝึกฌาน

ไต้ซือผานซู่เจ้าอาวาสวัด ชิงหลงอายุ 62 ปี ศีรษะล้านของเขาไม่เป็นมันวาวเหมือนตอนเป็นหนุ่มแล้ว เคราสีขาวก็ยาวถึงหน้าอก

ในฐานะสาวกระดับห้า เขาติดอยู่ที่ระดับนี้มากว่า 20 ปีแล้ว

ระบบของศาสนาพุทธพิถีพิถันกับความตื่นรู้ มีภิกษุชั้นสูงบางรูปได้การฝึกฌานนับสิบปี จนกระทั่งมรณภาพก็ยังไม่สามารถก้าวหน้าได้

และมีภิกษุบางรูป ก็เหมือนสายลมยามค่ำคืนในฤดูใบไม้ผลิ สามารถตื่นรู้ได้ในพริบตา ละเว้นการบำเพ็ญทุกรกิริยาไปเป็นเวลาหลายสิบปี

ไต้ซือผานซู่อาจเป็นคนแบบหน้าหรือหลัง ก่อนที่จะตื่นรู้ ไม่มีใครแน่ใจได้ว่าตัวเองจะตื่นรู้ได้หรือไม่

สิ่งนี้เรียกว่าความตื่นรู้ในความไม่เที่ยง การเรียนรู้พระธรรม

“ท่านเจ้าอาวาส ท่านเจ้าอาวาส…” ภิกษุรูปหนึ่งมาถึงนอกลาน ห่างจากลานวัด ตะโกนด้วยความร้อนใจว่า “มีหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลกลุ่มหนึ่งมาที่วัด และจับภิกษุเหิงชิงมัดไว้ โดยบอกว่าเขาใส่ร้ายราชสำนัก ดูหมิ่นราชวงศ์ จะต้องถูกจองจำ”

เจ้าอาวาสผานซู่ลืมตาขึ้น พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ข้ารู้แล้ว”

ประตูห้องบำเพ็ญตบะเปิดโดยอัตโนมัติ เจ้าอาวาสผานซู่หายไปจากห้อง

หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลควบคุมตัวภิกษุเหิงชิงเดินออกไปนอกวัด ภิกษุตามทางรวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ ดวงตาไม่เป็นมิตร ค่อยๆ ล้อมกันเป็นวง เพียงแค่มีคนออกหน้า ก็สามามรถล้อมบริวารของจักรพรรดิกลุ่มนี้ไว้ได้ทันที

แต่อำนาจของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลนั้นยิ่งใหญ่นัก หากล้อมคนกลุ่มนี้ไว้ ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้อาจจะมีคนอีกกลุ่มใหญ่มา และทำลายวัดมังกรเขียวราบเป็นหน้ากลอง

ดังนั้น จึงไม่มีใครกระทำการโดยประมาทเลินเล่อ

“ไต้ซือไม่ต้องกลัว ไปที่ทำการของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ขอเพียงให้ความร่วมมือโดยดี ก็จะปล่อยตัวท่านในไม่ช้านี้” สวี่ชีอันพูดปลอบใจ

รอยยิ้มของสวี่ชีอันในเวลานี้ ในสายตาของไต้ซือเหิงชิง ช่างดูเหมือนรอยยิ้มของปีศาจร้าย ไม่สามารถช่วยให้สบายใจได้เลย

“อมิตาภพุทธ”

เสียงที่เต็มไปด้วยความเมตตาดังขึ้น ทำให้ความอาฆาตและความโกรธของภิกษุทั้งหลายสงบลงโดยไม่รู้ตัว

สวี่ชีอันเห็นภิกษุอาวุโสห่มจีวรสีแดงและเหลืองปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าห่างกันประมาณสามจั้ง (1 จั้งประมาณ 3.33 เมตร) เข้ามาขวางทางหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลไว้โดยไร้ร่องรอย

“อาตมาคือผานซู่”

“เจ้าอาวาสผานซู่” สวี่ชีอันพนมมือแสดงความคารวะด้วยท่าทางนอบน้อม แล้วกล่าวว่า “ข้ามีเรื่องต้องการสอบถามท่านเจ้าอาวาส”

“ตามอาตมามา” เจ้าอาวาสผานซู่ถอนหายใจ

กลับมาที่ห้องบำเพ็ญตบะอีกครั้ง ครั้งนี้นอกจากสวี่ชีอันและฆ้องเงินทั้งสามแล้ว หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลคนอื่นๆ ล้วนถูกกันให้อยู่ด้านนอก

สำหรับยอดฝีมือระดับห้า ท่าทีของสวี่ชีอันจริงจังขึ้นมาก สาวกระดับห้าเทียบเท่ากับระดับห้าของระบบทหาร

เหนือกว่ายอดฝีมือหนังทองแดงและกระดูกเหล็ก

“ท่านเจ้าอาวาส ข้าได้รับพระราชบัญชาจากจักรพรรดิให้ตรวจสอบคดีทะเลสาบซังผอ จึงได้พบว่าหัวหน้ากองร้อยองครักษ์คุ้มกันส่วนพระองค์ท่านหนึ่งสามารถอำพรางปราณจากนักเล่นแร่แปรธาตุของสำนักโหราจารย์ได้ หลังจากสอบถามหลายฝ่ายแล้ว จึงรู้ว่าวัดมังกรเขียวมีอาวุธเวทมนตร์ที่คล้ายคลึงกันนี้” สวี่ชีอันกล่าวเตือน

“คดีนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อความปลอดภัยของวัดมังกรเขียวท่านเจ้าอาวาสจะต้องพูดความจริง ข้าไม่ได้ข่มขู่ไต้ซือ หวังว่าท่านคงเข้าใจ”

“วัดนี้มีอาวุธเวทมนตร์จริง ที่สามารถบดบังลมหายใจ อำพรางจากการสอดแนมได้ทุกวิธี” น้ำเสียงเจ้าอาวาสผานซู่อ่อนโยน

“สิ่งนี้ยังอยู่ในวัดเหรอ”

“ไม่อยู่” เจ้าอาวาสส่ายหน้า

สวี่ชีอันไม่ได้พูดอะไร รอคอยคำอธิบายอย่างสงบ

เจ้าอาวาสผานซู่ หยุดชะงักไปหลายวินาที จึงถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “เหตุผลที่เหิงชิงหลอกลวงใต้เท้า คงเป็นเพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับข่าวอื้อฉาวของวัดนี้ หากแพร่สะพัดออกไปก็อาจสร้างความหายนะให้วัดได้”

“อาตมามีศิษย์ที่มีฉายาว่าเหิงฮุ่ย สติปัญญาเฉลียวฉลาด เดิมทีอาตมาฝากความหวังไว้กับเขาสูงมาก แต่เขาต้องอาบัติปาราชิก มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับหญิงที่มาจาริกแสวงบุญบนเขา จึงขโมยอาวุธเวทมนตร์แล้วหนีตามกันไป หลบหนีออกไปจากเมืองหลวง”

สวี่ชีอันหรี่ตา สำรวจเจ้าอาวาส แล้วถามว่า “สถานะของหญิงที่มาจาริกแสวงบุญคนนั้นคือผู้ใด”

เจ้าอาวาสผานซู่พนมมือ กล่าวอมิตาภพุทธด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แล้วตอบอย่างจนใจว่า “ท่านหญิงผิงหยาง”

“!!!”

สวี่ชีอันรู้สึกเหมือนฟ้าผ่าลงกลางสมองของเขา

ในราชวงศ์ต้าฟ่ง หญิงสาวที่มีพระยศองค์หญิงนั้นแบ่งประเภทได้ตามนี้ องค์หญิงที่เกิดจากพระสนมที่ไม่ได้อภิเษกสมรสของจักรพรรดิ องค์หญิงขององค์รัชทายาท องค์หญิงของชินอ๋อง[1] และองค์หญิงของท่านอ๋อง

พูดให้ถูกต้องก็คือ นอกจากองค์หญิงใหญ่ที่มีพระประสูติการโดยจักรพรรดินีแล้ว องค์หญิงอีกสามพระองค์ล้วนเป็นองค์หญิงที่มีพระประสูติการโดยพระสนมที่ไม่ได้อภิเษกสมรส อย่างไรก็ตาม ในชาตินี้จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงมีองค์หญิงสี่พระองค์ ของมีน้อยจึงจะมีค่า องค์หญิงทุกพระองค์ล้วนมีฐานันดรศักดิ์ ดังนั้นคำนำหน้าเรียกพระองค์จึงไม่มีคำว่า “ท่านหญิง”

แม้ว่าองค์รัชทายาทองค์ปัจจุบันจะมีองค์หญิง แต่ยังทรงพระเยาว์ เป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าไปพัวพันกับเรื่องหนีตามกันไปเช่นนี้

ดังนั้น สวี่ชีอันจึงอนุมานว่าท่านหญิงผิงหยางพระองค์นี้ จะต้องเป็นองค์หญิงของท่านอ๋อง

คดีนี้ยิ่งสอบสวนยิ่งซับซ้อน ภิกษุที่หนีตามไปกับองค์หญิงสวมบทบาทอะไรในคดีนี้ สวี่ชีอันถามว่า “เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ปีกว่าแล้ว” เจ้าอาวาสผานซู่ตอบ

“ขอบคุณไต้ซือที่ช่วยคลายความสงสัย ข้ายังมีเรื่องจะถามอีกเรื่องหนึ่ง”

“ประสกพูดมาเถิด”

“วัดมังกรเขียวเป็นวัดที่สืบทอดมาจากวัดเจดีย์ที่สร้างโดยภิกษุจากแดนตะวันตกใช่หรือไม่”

เจ้าอาวาสผานซู่ไม่ตอบ เป็นการยอมรับโดยปริยาย

“หลังจากที่วัดหย่งเจิ้นซานเหอระเบิดจนเสียหาย ข้าเคยพบกลุ่มแท่นหินขนาดใหญ่ที่ก้นทะเลสาบ บนแท่นหินนั้นมีการแกะสลักพระธรรมคำสอนไว้ กลุ่มแท่นหินขนาดใหญ่นั้นจัดวางไว้ตั้งแต่เมื่อห้าร้อยปีก่อน และวัดเจดีย์ก็ปรากฏขึ้นเมื่อห้าร้อยปีก่อนเช่นกัน สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นก็คือเรื่องของจักรพรรดิอู่จงก็เกิดขึ้นเมื่อห้าร้อยปีที่แล้วเช่นกัน…” สวี่ชีอันจ้องหน้าเจ้าอาวาส

“เรื่องที่เกิดขึ้นตอนนั้น พุทธศาสนาแดนตะวันตกมีบันทึกที่เกี่ยวข้องหรือไม่”

พูดจบ สวี่ชีอันก็เห็นสีหน้าของไต้ซือผานซู่ไม่น่าดูอย่างยิ่ง ไม่เหลือความสุขุมของภิกษุชั้นสูงผู้บำเพ็ญเพียรไปสิ้น

“ใต้เท้า อาตมาขอถามเพียงเรื่องเดียว…” เจ้าอาวาสผานซู่จ้องมองเขาตาวาว อยากจะพูดแต่ไม่กล้าพูด ไตร่ตรองอยู่เป็นเวลานาน

“สิ่งที่อยู่ใต้ซังผอ หนีไปแล้ว…จริงๆ เหรอ”

“จริงแท้แน่นอน” สวี่ชีอัน ให้คำตอบยืนยัน

เจ้าอาวาสผานซู่เหมือนถูกโจมตีอย่างหนัก แววตาหวาดกลัวนั้นยากที่จะสงบลงได้ มือทั้งสองข้างของเขาสั่นเล็กน้อย พนมมือ กล่าวอมิตาภพุทธเพื่อปกปิดอาการที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้

ปฏิกิริยานี้…สวี่ชีอันรู้สึกเกินความคาดหมายเล็กน้อย ปฏิกิริยาของภิกษุอาวุโสชัดเจนเกินควรไปหน่อย เขาถามตรงไปตรงมาว่า “สิ่งที่ถูกผนึกใต้ซังผอคือ ท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งใช่หรือไม่”

ภิกษุอาวุโสไม่ทันสังเกต เขาเอาแต่ก้มหน้าท่องอมิตาภพุทธ คิ้วขาวสั่นไหว

หลังจากเวลาผ่านไปนานมาก อารมณ์ของเจ้าอาวาสผานซู่ก็ค่อยๆ สงบลง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “อาตมาไม่รู้ว่าสิ่งที่ผนึกไว้ใต้ซังผอคืออะไร แต่มีคำพูดประโยคหนึ่งที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยวัดเจดีย์ว่า ‘ปีศาจซังผอปรากฏตัวเมื่อไร โลกก็วุ่นวายเมื่อนั้น’ วัดเจดีย์สร้างขึ้นเพื่อปกป้องสิ่งที่ถูกผนึกไว้ใต้ซังผอ ต่อมาทางราชสำนักกลัวว่าหากพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง จึงกำจัดพระพุทธรูป ภิกษุของพุทธศาสนาพากันล่าถอยกลับแดนตะวันตก เหลือเพียงวัดมังกรเขียวสายนี้เท่านั้น ก่อนจากไป ภิกษุชั้นสูงได้กำชับครั้งแล้วครั้งเล่า ว่าให้สายของพวกเราคอยใส่ใจการเคลื่อนไหวของซังผออย่างใกล้ชิด พบความผิดปกติเมื่อไหร่ ให้รีบรายงานทันที”

ฟังดูแล้ว ทำไมรู้สึกพุทธศาสนาสนใจสิ่งที่ถูกผนึกไว้ใต้ซังผอมากกว่าราชวงศ์ต้าฟ่งเสียอีก

อืม ท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งคือระดับหนึ่ง หากกล่าวว่าโลกวุ่นวาย ก็ไม่นับว่ากล่าวเกินจริง เพราะระดับหนึ่งนั้นเป็นที่สุดของโลกใบนี้

“อาตมารู้เพียงเท่านี้ ใต้เท้ายังมีอะไรจะถามอีกหรือไม่”

“ไม่มีแล้ว”

เจ้าอาวาสผานซู่พยักหน้า แล้วร่างของเขาก็หายไปในทันที ราวกับภาพยนตร์ที่ถูกตัดทิ้งอย่างไม่เป็นธรรมชาติ

ดวงตาของสวี่ชีอันเบิกกว้าง แล้วคิดอย่างน่าอิจฉาว่า การปรากฏตัวเช่นนี้ช่างยอดเยี่ยมทีเดียว

หลังการสนทนาสิ้นสุดลง ดวงตะวันเจิดจ้า ใกล้เที่ยงแล้ว สวี่ชีอันและคนอื่นๆ ได้อยู่กินอาหารเจที่วัดมังกรเขียว

“อาหารเจของวัดมังกรเขียวอร่อยมาก” ฉู่ไฉ่เวยกินรวดเดียวสองชาม ประคองชามที่สาม ชมเชยด้วยความพึงพอใจ

อาหารเจของวัดมังกรเขียวได้ผสมข้าวดำ ข้าวฟ่าง และข้าวโพด ก่อนนำไปนึ่งจะราดด้วยน้ำมันงา เม็ดข้าวจึงอวบอิ่ม มีกลิ่นหอมขึ้นจมูก

อาหารมังสวิรัติอื่นๆ ก็ปรุงด้วยความตั้งใจ มีพร้อมทั้งสี กลิ่น และรสชาติ

สวี่ชีอันนั่งข้างนาง เห็นนางกินอย่างมีความสุขขนาดนี้ ก็มีความสุขไปด้วย จึงยิ้มแล้วพูดว่า “แม่นาง อย่าเอาแต่กิน เณรน้อยมาแล้ว”

ฉู่ไฉ่เวยปกป้องชามไว้ ค้อนปะหลับปะเหลือกพูดด้วยความโกรธว่า “สิ่งที่เจ้ากินไม่เหมือนของข้าหรืออย่างไร”

สวี่ชีอันส่ายหน้า “เณรน้อยไม่ได้มาบิณฑบาตอาหาร”

“ถ้าเช่นนั้นมาทำไม”

“เณรน้อย มาโปรดสรรพสัตว์”

ทุกคนรู้สึกพึงพอใจกับอาหารเจของวัดมังกรเขียวเป็นอย่างมาก แต่ที่น่าเสียดายเพียงอย่างเดียวก็คือไม่มีเนื้อนกไป๋ฟ่งบำรุงร่างกาย

ไต้ซือเหิงชิงซึ่งเป็นผู้ดูแลวัดได้ไปส่งทุกคนที่ประตูวัด คนเมืองคิดไม่ซื่อ ทำให้ภิกษุเหิงชิงโกรธ จึงไม่พูดอะไรเลยระหว่างทาง

สวี่ชีอันคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงถามว่า “ไต้ซือ ท่านรู้จักภิกษุที่ชื่อเหิงหยวนหรือไม่”

เหิงชิงไต้ซือหน้าเปลี่ยนสีทันที

……………………………………………….

[1] ชินอ๋อง ส่วนมากเป็นตำแหน่งพระโอรส พระเชษฐา หรือพระอนุชาในองค์จักรพรรดิ เป็นตำแหน่งเชื้อพระวงศ์ชายลำดับที่ 1 และเป็นตำแหน่งสูงสุดที่องค์ชายสามารถมีได้

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง