“ไต้ซือ ท่านคงรู้เรื่องคดีทะเลสาบซังผอที่ลือกันอึกทึกครึกโครมทั่วเมืองหลวงเมื่อไม่นานมานี้แล้ว”
ไต้ซือเหิงชิงไม่พูดไม่จา
สวี่ชีอันใช้สายตาเพื่อส่งสัญญาณให้เพื่อนร่วมงานของเขาอดกลั้นไว้ก่อน แล้วพูดต่อว่า “ในฐานะผู้รับผิดชอบคดีนี้ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากฝ่าบาท ไม่ใช่เพราะว่าองค์จักรพรรดิทรงรู้จักข้าดี จึงได้รับการชื่นชมจากฝ่าบาท…”
สวี่ชีอันถอนหายใจยาว เหมือนอยากจะพูดต่อแต่ก็ไม่พูด
ไต้ซือเหิงชิงอดมองเขาไม่ได้
“พอดีเรื่องนี้มันอัดอั้นอยู่ในใจข้ามานานแล้ว ในเมื่อมาถึงวัดแล้ว ก็จะขอคุยกับไต้ซือดีๆ” สวี่ชีอัน คิดคำพูดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อ
“ไม่กี่วันก่อน ข้าได้รับคำสั่งให้ไปค้นจวนของขุนนางที่ทำความผิด ฝ่าบาททรงมีพระเมตตา ไม่ได้ทรงลงทัณฑ์ทั้งครอบครัว แต่ตอนที่ตรวจค้น เพื่อนร่วมงานหลายคนของข้าเห็นว่าสมาชิกครอบครัวที่เป็นหญิงในจวนนั้นงดงาม จึงเกิดความคิดชั่วร้าย คิดที่จะบังคับขืนใจ…ในจำนวนนั้นมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งอายุแค่สิบสองหรือสิบสามปีเท่านั้น ข้าทนไม่ได้กับเรื่องเช่นนี้ จึงห้ามพวกเขาทันที จึงเกิดการปะทะกับหัวหน้า และเกือบจะสังหารผู้บังคับบัญชา ด้วยเหตุนี้ข้าจึงถูกตัดสินลงโทษให้ตัดเอวเป็นสองท่อน ดังนั้นฝ่าบาทจึงทรงมอบหมายให้ข้าจัดการเรื่องคดีทะเลสาบซังผอ ให้ข้าทำความดีชดเชยความผิด เพื่อนสนิทของข้าบอกว่า เป็นเพราะข้าวู่วาม วิธีที่ถูกต้องคืออดทนไว้ก่อน รอจนทำงานเสร็จแล้วจึงค่อยไปรายงานทางการ แต่หากทำเช่นนั้น เด็กหญิงก็คงโดนทำร้ายอย่างโหดเหี้ยมไปแล้ว…”
สวี่ชีอันมีสีหน้าเจ็บปวดและสับสน “กล่าวกันว่าพระธรรมนั้นไม่มีขอบเขตทำให้มนุษย์พ้นทุกข์ ขอถามไต้ซือว่า สิ่งที่ข้าทำนั้นถูกหรือผิด”
หลี่ว์ชิงตกตะลึง และแสดงสีหน้าประหลาดใจ คิดไม่ถึงว่าเบื้องหลังการถูกตัดสินประหารชีวิตของสวี่ชีอันจะมีเรื่องเช่นนี้ด้วย
เขาแตกต่างจากบุรุษคนอื่นจริงๆ…ดวงตาของมือปราบหญิงเป็นประกายอ่อนโยน
ไต้ซือเหิงชิงรู้สึกสะเทือนใจเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าบริวารจักรพรรดิคนนี้จะเป็นคนมีน้ำใจเช่นนี้ จึงเอ่ยคำว่าอมิตาภพุทธ แล้วกล่าวว่า
“ขอเพียงประสกบริสุทธิ์ใจ ก็จะสามารถปล่อยวางได้”
“ไต้ซือก็รู้สึกว่าข้าทำผิดเช่นนั้นเหรอ” สวี่ชีอันกล่าวอย่างหม่นหมอง
เหิงชิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า “ประสกจิตใจดี ช่วยชีวิตคนด้วยความเมตตา จะมีความผิดได้อย่างไร”
สวี่ชีอันวกถามต่อว่า “แล้วเหตุใดราชสำนักจึงตัดสินประหารชีวิตข้า”
ไต้ซือเหิงชิงกล่าวปลอบโยนว่า “โลกมนุษย์เหมือนทะเลแห่งความทุกข์ การใช้ชีวิตอยู่ในนั้น ย่อมไม่เป็นตัวของตัวเอง หลายครั้ง ความใจดีก็ไม่แน่ว่าจะได้รับผลดีตอบแทน แต่ว่าถึงแม้ว่ามันอาจจะช้า แต่ย่อมได้รับผลแน่นอน คดีทะเลสาบซังผอเป็นเพราะฟ้าลิขิต ไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ แล้วก็เป็นโอกาสที่ดีของประสก”
“ไต้ซือ ข้าเข้าใจแล้ว” สวี่ชีอันเข้าใจในทันที หันไปพูดกับทุกคน
“ทุกคนได้ยินกันแล้ว ไต้ซือเหิงชิงกล่าวว่าต้าฟ่งเป็นทะเลแห่งทุกข์ คดีทะเลสาบซังผอเป็นกรรมตามสนองราชสำนัก มัวตะลึงอะไรอยู่ จับตัวไว้”
ชิ้งๆๆ…ทุกคนลุกขึ้นทันที เสียงชักดาบดังก้องไปทั่วห้องบำเพ็ญตบะ
…
ห้องฝึกฌาน
ไต้ซือผานซู่เจ้าอาวาสวัด ชิงหลงอายุ 62 ปี ศีรษะล้านของเขาไม่เป็นมันวาวเหมือนตอนเป็นหนุ่มแล้ว เคราสีขาวก็ยาวถึงหน้าอก
ในฐานะสาวกระดับห้า เขาติดอยู่ที่ระดับนี้มากว่า 20 ปีแล้ว
ระบบของศาสนาพุทธพิถีพิถันกับความตื่นรู้ มีภิกษุชั้นสูงบางรูปได้การฝึกฌานนับสิบปี จนกระทั่งมรณภาพก็ยังไม่สามารถก้าวหน้าได้
และมีภิกษุบางรูป ก็เหมือนสายลมยามค่ำคืนในฤดูใบไม้ผลิ สามารถตื่นรู้ได้ในพริบตา ละเว้นการบำเพ็ญทุกรกิริยาไปเป็นเวลาหลายสิบปี
ไต้ซือผานซู่อาจเป็นคนแบบหน้าหรือหลัง ก่อนที่จะตื่นรู้ ไม่มีใครแน่ใจได้ว่าตัวเองจะตื่นรู้ได้หรือไม่
สิ่งนี้เรียกว่าความตื่นรู้ในความไม่เที่ยง การเรียนรู้พระธรรม
“ท่านเจ้าอาวาส ท่านเจ้าอาวาส…” ภิกษุรูปหนึ่งมาถึงนอกลาน ห่างจากลานวัด ตะโกนด้วยความร้อนใจว่า “มีหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลกลุ่มหนึ่งมาที่วัด และจับภิกษุเหิงชิงมัดไว้ โดยบอกว่าเขาใส่ร้ายราชสำนัก ดูหมิ่นราชวงศ์ จะต้องถูกจองจำ”
เจ้าอาวาสผานซู่ลืมตาขึ้น พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ข้ารู้แล้ว”
ประตูห้องบำเพ็ญตบะเปิดโดยอัตโนมัติ เจ้าอาวาสผานซู่หายไปจากห้อง
…
หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลควบคุมตัวภิกษุเหิงชิงเดินออกไปนอกวัด ภิกษุตามทางรวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ ดวงตาไม่เป็นมิตร ค่อยๆ ล้อมกันเป็นวง เพียงแค่มีคนออกหน้า ก็สามามรถล้อมบริวารของจักรพรรดิกลุ่มนี้ไว้ได้ทันที
แต่อำนาจของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลนั้นยิ่งใหญ่นัก หากล้อมคนกลุ่มนี้ไว้ ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้อาจจะมีคนอีกกลุ่มใหญ่มา และทำลายวัดมังกรเขียวราบเป็นหน้ากลอง
ดังนั้น จึงไม่มีใครกระทำการโดยประมาทเลินเล่อ
“ไต้ซือไม่ต้องกลัว ไปที่ทำการของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ขอเพียงให้ความร่วมมือโดยดี ก็จะปล่อยตัวท่านในไม่ช้านี้” สวี่ชีอันพูดปลอบใจ
รอยยิ้มของสวี่ชีอันในเวลานี้ ในสายตาของไต้ซือเหิงชิง ช่างดูเหมือนรอยยิ้มของปีศาจร้าย ไม่สามารถช่วยให้สบายใจได้เลย
“อมิตาภพุทธ”
เสียงที่เต็มไปด้วยความเมตตาดังขึ้น ทำให้ความอาฆาตและความโกรธของภิกษุทั้งหลายสงบลงโดยไม่รู้ตัว
สวี่ชีอันเห็นภิกษุอาวุโสห่มจีวรสีแดงและเหลืองปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าห่างกันประมาณสามจั้ง (1 จั้งประมาณ 3.33 เมตร) เข้ามาขวางทางหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลไว้โดยไร้ร่องรอย
“อาตมาคือผานซู่”
“เจ้าอาวาสผานซู่” สวี่ชีอันพนมมือแสดงความคารวะด้วยท่าทางนอบน้อม แล้วกล่าวว่า “ข้ามีเรื่องต้องการสอบถามท่านเจ้าอาวาส”
“ตามอาตมามา” เจ้าอาวาสผานซู่ถอนหายใจ
กลับมาที่ห้องบำเพ็ญตบะอีกครั้ง ครั้งนี้นอกจากสวี่ชีอันและฆ้องเงินทั้งสามแล้ว หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลคนอื่นๆ ล้วนถูกกันให้อยู่ด้านนอก
สำหรับยอดฝีมือระดับห้า ท่าทีของสวี่ชีอันจริงจังขึ้นมาก สาวกระดับห้าเทียบเท่ากับระดับห้าของระบบทหาร
เหนือกว่ายอดฝีมือหนังทองแดงและกระดูกเหล็ก
“ท่านเจ้าอาวาส ข้าได้รับพระราชบัญชาจากจักรพรรดิให้ตรวจสอบคดีทะเลสาบซังผอ จึงได้พบว่าหัวหน้ากองร้อยองครักษ์คุ้มกันส่วนพระองค์ท่านหนึ่งสามารถอำพรางปราณจากนักเล่นแร่แปรธาตุของสำนักโหราจารย์ได้ หลังจากสอบถามหลายฝ่ายแล้ว จึงรู้ว่าวัดมังกรเขียวมีอาวุธเวทมนตร์ที่คล้ายคลึงกันนี้” สวี่ชีอันกล่าวเตือน
“คดีนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อความปลอดภัยของวัดมังกรเขียวท่านเจ้าอาวาสจะต้องพูดความจริง ข้าไม่ได้ข่มขู่ไต้ซือ หวังว่าท่านคงเข้าใจ”
“วัดนี้มีอาวุธเวทมนตร์จริง ที่สามารถบดบังลมหายใจ อำพรางจากการสอดแนมได้ทุกวิธี” น้ำเสียงเจ้าอาวาสผานซู่อ่อนโยน
“สิ่งนี้ยังอยู่ในวัดเหรอ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง