ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 126

สรุปบท บทที่ 126 องค์หญิงใหญ่เรียกตัว: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

อ่านสรุป บทที่ 126 องค์หญิงใหญ่เรียกตัว จาก ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet

บทที่ บทที่ 126 องค์หญิงใหญ่เรียกตัว คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

บทที่ 126 องค์หญิงใหญ่เรียกตัว
ไต้ซือเหิงชิงกล่าวอ้อมแอ้ม “ใต้เท้ารู้ได้อย่างไร”

สมญานามเหิงหยวนนี้สวี่เอ้อร์หลางเป็นคนบอกเขา ตอนที่ให้สวี่เอ้อร์หลางไปหาหมายเลขหกที่สถานรับเลี้ยงเด็กวันนั้นก็พบว่าหมายเลขหกจากไปแล้ว พอสวี่เอ้อร์หลางกลับมาก็บอกสวี่ชีอันว่า ‘พนักงานบอกข้าว่า ปรมาจารย์เหิงหยวนจากไปแล้ว กล่าวว่ามีเบาะแสของศิษย์น้อง’

“ท่านไม่ต้องสนว่าข้ารู้ได้อย่างไร ตอนนี้ข้ากำลังถามท่าน” สีหน้าของสวี่ชีอันเคร่งขรึม สำหรับพระที่ทำตัวอารยะขัดขืนแบบนี้ ไม่จำเป็นต้องไว้หน้านักหรอก

แม้ว่าหากสู้กันตัวต่อตัว ไต้ซือของวัดมังกรเขียวผู้นี้อาจจะกดเขาไว้กับพื้นได้เลยก็ตาม

แต่สวี่ชีอันเป็นคนมีพี่มีน้อง เบื้องหลังเขายังมีราชสำนักอยู่

ไต้ซือเหิงชิงลังเลเล็กน้อย กล่าวว่า “เหิงหยวนเป็นจอมยุทธ์หลวงจีนของวัดแห่งนี้ อุปนิสัยบุ่มบ่าม อารมณ์ร้อน มักถูกเจ้าอาวาสลงโทษบ่อยๆ เพราะชอบบังเอิญทำร้ายเพื่อนร่วมสำนัก เขาถูกขับออกจากวัดมังกรเขียวไปแล้วตั้งแต่ปีก่อน”

หมายเลขหกเป็นพระวัดมังกรเขียวจริงด้วย ว่าแต่เป็นจอมยุทธ์หลวงจีนเหรอมิน่าร่างกายถึงได้แข็งแรงกำยำเหมือนหลู่จื้อเซิน…หมายเลขหกเคยบอกว่าศิษย์น้องของเขาถูกนายหน้าค้ามนุษย์ลักพาตัวไปขาย…ศิษย์น้องที่หมายเลขหกตามหาจะใช่เหิงฮุ่ยหรือไม่

แต่เหิงฮุ่ยหนีไปกับท่านหญิงผิงหยางนี่นา…แต่เหิงฮุ่ยขโมยอาวุธเวทมนตร์ของวัดมังกรเขียวไป ทว่าอาวุธเวทมนตร์ชิ้นนั้นกลับไปอยู่ที่กองร้อยโจวชื่อสวงแห่งองครักษ์คุ้มกันส่วนพระองค์ นี่หมายความว่าภิกษุเหิงฮุ่ยประสบภัยใช่หรือไม่

หรือว่าเขาจะเกี่ยวพันกับคดีซังผอด้วย ถ้าเป็นอย่างหลัง แล้วเป้าหมายของเขาคืออะไร แล้วยังมี ท่านหญิงผิงหยางไปอยู่ไหนแล้ว

การเดินทางมายังวัดมังกรเขียวครั้งนี้ได้อะไรกลับไปมากกว่าที่เขาคาดไว้เสียอีก

แม้ว่าเขาจะตั้งใจเร่งควบม้าเดินทาง แต่การกลับมายังหน่วยงานราชการของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลก็ยังใช้เวลาไปกว่าหนึ่งชั่วยามแล้ว

สวี่ชีอันปล่อยให้คนในคณะไปพักผ่อน ส่วนตนปิดประตูสะสางสรุปคดี

จากนั้นก็หยิบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีขึ้นมาแล้วใส่ข้อความลงไป ‘สาม: ยังไม่มีข่าวคราวของหมายเลขหกเหรอ’

ไม่มีใครสนใจเขา

ผ่านไปนาน นักบวชเต๋าจินเหลียนก็กระโดดออกมาตอบ ‘เก้า: ยังไม่มีข่าวคราว’

สวี่ชีอันรู้สึกได้อย่างรวดเร็วว่าหมายเลขหกอาจจะพบอะไรบางอย่าง หรือไม่ก็ตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายอย่างยิ่ง ไม่อย่างนั้นไม่มีทางไม่ตอบกลับนานขนาดนี้หรอก

‘สาม: นักบวชเต๋าจินเหลียน ท่านยังไม่ได้ดูตำแหน่งชิ้นส่วนหนังสือปฐพีเหรอ’

‘เก้า: คงถูกวิชาลับอะไรบางอย่างปิดกั้นไปแล้ว’

‘สอง: ทำไมเจ้าหัวโล้นมักมีปัญหาอยู่เรื่อยเลยนะ’

หมายเลขสองกระโดดออกมาแทรก

‘เก้า: เขาสืบคดีศิษย์น้องหายตัวไปอยู่ตลอด บางทีอาจเจอกับการแก้แค้นของกลุ่มอิทธิพลเบื้องหลังผิงหยวนปั๋วก็เป็นได้’

ไม่หรอก เขาพบเบาะแสของศิษย์น้องแล้ว…แต่ผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม ยังไงซะหมายเลขหกก็เจอกับปัญหาใหญ่แล้ว

‘สี่: ถ้าชิ้นส่วนหนังสือปฐพีตกอยู่ในมือคนนอก เช่นนั้นพวกเราก็ได้แต่ต้องทำเหมือนตอนแรก ไม่ส่งข้อความใดๆ อีก’

‘สอง: ถ้าตกไปอยู่ในมือของนิกายปฐพี พวกเราทุกคนอาจตกอยู่ในอันตรายได้’

พูดถึงตรงนี้ พรรคฟ้าดินทุกคนก็รู้สึกได้ถึงความกังวลและความกดดันในจิตใจ

ไม่ใช่แค่กังวลถึงความปลอดภัยของหมายเลขหกเท่านั้น แต่การไม่ส่งข้อความในหนังสือปฐพีอีกต่อไป จะทำให้การแลกเปลี่ยนข้อมูลที่พรรคฟ้าดินสร้างขึ้นอย่างยากลำบากเหลือแต่ชื่อ

กรณีที่เลวร้ายที่สุดคือตกอยู่ในมือของนิกายปฐพี หากเป็นสมาชิกเต๋าธรรมดาของนิกายปฐพีน่ะไม่น่ากลัวหรอก แต่ถ้าหากผู้นำเต๋าของนิกายปฐพีเก็บหนังสือปฐพีกลับได้เองล่ะ

หมายเลขหนึ่งกับหมายเลขสามยังดี เพราะซ่อนตัวในเมืองจิงจ้าวได้ ผู้นำเต๋านิกายปฐพียังพอจะหวั่นเกรงอยู่บ้าง แต่คนอื่นก็จะตกอยู่ในอันตรายแล้ว

‘สอง: หมายเลขสามช่วยหน่อยเถอะ’

‘สี่: อืม ถ้าหมายเลขสามสามารถใช้ความสัมพันธ์ของสำนักอวิ๋นลู่ให้ความช่วยเหลือนักบวชเต๋าจินเหลียนลับๆ เช่นนั้นความลำบากในการตามหาตัวหมายเลขหกก็จะลดลงไปมาก’

สมาชิกพรรคฟ้าดินรู้สึกพึ่งพาหมายเลขสามมากกว่าผู้ที่ชอบแอบอ่านข้อความอย่างหมายเลขหนึ่งมาก

ขอเพียงเป็นเรื่องในขอบเขตเมืองจิงจ้าวแห่งต้าฟ่ง ในหัวก็จะนึกถึงหมายเลขสามขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

…ทำไมข้ารู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นเครื่องมือมนุษย์ไปแล้วล่ะ

ตัวตนและสถานะปัจจุบันของหมายเลขหกเป็นข้อมูลโดยตรงที่ข้าเพิ่งได้มา ตอนนี้หากแพร่ออกไปก็มีความเสี่ยงที่จะถูกเปิดเผยตัวตนอยู่มากนัก ข้าต้องสร้างความต่างของเวลา…อืม เว้นแต่ว่าเหล่าสมาชิกพรรคฟ้าดินจะรู้จักรากฐานของหมายเลขหกกันแล้ว

‘สาม: พวกเจ้ารู้ตัวตนของหมายเลขหกกันหรือไม่ ข้าหมายถึงนอกจากข้อมูลที่ว่าเป็นศิษย์สำนักพุทธน่ะ’

‘สอง: ไม่รู้ หมายเลขหกอ้างว่าเป็นศิษย์สำนักพุทธพเนจร มีแผนจะอาศัยอยู่ในเมืองจิงจ้าวในระยะยาว’

หมายเลขหกแอบอ้างว่าเป็นคนนอกพื้นที่…อืม สมองของพระรูปนี้แข็งแกร่งกว่าหลู่จื้อเซินอยู่สักหน่อย

สวี่ชีอันรับรู้อยู่ในใจแล้ว เขาส่งข้อความเข้าไป ‘เรื่องนี้พวกเจ้าไม่ต้องสนใจ ข้าจะติดต่อกับนักบวชเต๋าจินเหลียนเอง ข้ารู้เรื่องสถานการณ์ของหมายเลขหกดีกว่าใคร ท่านนักบวช คืนนี้ท่านมาที่บ้านข้าหน่อยได้หรือไม่ ข้ามีเรื่องจะปรึกษากับท่าน’

“!!!”

เมื่อเห็นประโยคนี้ของหมายเลขสาม ไม่รู้เพราะอะไร ในใจของทุกคนในพรรคฟ้าดินจึงรู้สึกเคร่งเครียดขึ้นมาพร้อมกัน ต่างเกิดความรู้สึกกระสับกระส่ายเหมือนมีเข็มแทงหลัง

คาดไม่ถึงว่าหมายเลขสามจะรู้รากฐานของหมายเลขหกได้ชัดเจนแล้ว ฟังจากความหมายในคำพูด ราวกับเขาเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันของหมายเลขหกในระดับหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น เห็นอยู่ชัดๆ ว่าพวกเขาติดต่อกันแค่ช่วงสั้นๆ เท่านั้นเอง…ความสามารถของบัณฑิตสำนักอวิ๋นลู่แข็งแกร่งอย่างที่คิดจริงๆ…หมายเลขสองคิดอย่างกริ่งเกรง

หมายเลขสามน่าสนใจ เขาเข้ามาในพรรคช้าที่สุด แต่ฝีมือ ความสามารถ และความรู้สึกไวที่เขาแสดงออกมานั้นทำให้คนพูดไม่ออก หวังว่าจะได้เจอเขายามกลับไปเมืองจิงจ้าวในอนาคตนะ ถึงตอนนั้นจะขอเรียนรู้ด้วยอย่างดีเลย…หมายเลขสี่ชื่นชมด้วยใจจริง

‘ห้า: โอ้โห ถ้าอย่างนั้นเจ้าห้ามมาสืบหาตัวตนของข้าเชียวนะ ไม่อย่างนั้นข้าจะโกรธจริงด้วย’

หมายเลขห้าพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมาตรงๆ

‘หนึ่ง: หมายเลขสาม เรื่องคดีซังผอนั้น ในมือของเจ้ามีข้อมูลที่ถูกต้องยิ่งกว่านี้อยู่ใช่หรือไม่’

‘สาม: สองสามวันนี้ไม่ได้สนใจเรื่องคดีซังผอเลย’

หมายเลขหนึ่งเห็นดังนั้นก็กลับไปดำน้ำต่อ

เมื่อนัดแนะเวลาพบปะกับนักบวชเต๋าจินเหลียนเรียบร้อย สวี่ชีอันก็ออกจากห้องข้าง ตรงไปยังหอเฮ่าชี่ ขอพบเว่ยเยวียน

ในห้องชาสว่างโล่ง เว่ยเยวียนนั่งอยู่หน้าโต๊ะคนเดียวและกำลังเล่นหมากรุกอยู่ มือซ้ายเล่นกับมือขวา คล้ายกำลังแสดงละครเดี่ยวฉากคนเหงา

จูกว่างเสี้ยวผู้เงียบขรึมไม่ค่อยพูดยืนอยู่ข้างประตู กล่าวว่า “หนิงเยี่ยน องค์หญิงใหญ่เชิญ”

พวกหลี่ว์ชิงหันหน้าไปมองสวี่ชีอัน

ฮว๋ายชิ่งหาข้าทำอะไร…คิดถึงข้าเหรอ ไอหยา เมื่อวานไม่ใช่เพิ่งเจอหน้ากันเหรอ เหมือนว่าจะไม่เจอกันวันเดียวกลับเหมือนไม่พบกันมาสามปีเชียว!

ในหัวของสวี่ชีอันผุดภาพใบหน้าขององค์หญิงเย็นชาผู้งดงามและหน้าอกหน้าใจสูงใหญ่จนสามารถวางไว้บนโต๊ะได้ของนาง

เห็นอยู่ชัดๆ ว่ารูปลักษณ์ภายนอกเย็นชาเหมือนเซียน แต่เรือนร่างกลับเหมือนนางมารยั่วสวาท

ณ อุทยานหลวง

มุมทั้งสี่ของศาลาแขวนผ้าม่านกันลมหนาวเอาไว้ ถ่านไฟเผาไม้พร้อมแผ่ไอร้อนให้ความอบอุ่นแก่ผู้คน

จักรพรรดิหยวนจิ่งผู้สวมชุดคลุมเต๋าและเว่ยเยวียนในชุดสีครามกำลังเดินหมากกันอยู่ พวกเขาคนหนึ่งคือจักรพรรดิ แต่กลับสวมชุดคลุมมังกรน้อยครั้งนัก

ส่วนคนหนึ่งเป็นขุนนางทรงอำนาจผู้คอยตรวจสอบขุนนางนับร้อย แต่กลับสวมแต่ชุดครามอยู่ตลอด

เทียบกันกับพวกคนแก่ที่ใช้ชีวิตตามใจตนทั้งสองคน องค์รัชทายาทวัยหนุ่มกลับสวมชุดสุภาพเรียบร้อย ยืนอยู่ข้างจักรพรรดิหยวนจิ่งด้วยความนอบน้อม

“เมื่อวานราชครูหลอมโอสถทองคำออกมาหนึ่งหม้อ กลับไปข้าจะส่งคนนำไปให้เจ้าหนึ่งเม็ด” จักรพรรดิหยวนจิ่งคลำตัวหมาก มองดูอยู่นานก็หยิบหมากดำสามชิ้นออกไปอย่างหน้าไม่อาย ก่อนพูดยิ้มๆ “โอสถทองคำหนึ่งเม็ดแลกกับหมากสามตัว ไม่เกินไปกระมัง”

เว่ยเยวียนพยักหน้า “ไม่เกินไปพ่ะย่ะค่ะ”

เขาเดินหมากอีกสองสามก้าว เว่ยเยวียนยิ้มพลางหยิบหมากขาวหกชิ้นของจักรพรรดิหยวนจิ่งไป กล่าวยิ้มๆ “ค่ายกลของฝ่าบาทวุ่นวายเล็กน้อย กระหม่อมทำความสะอาดให้พระองค์พ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิหยวนจิ่งใบหน้าไร้อารมณ์ เอ่ยเสียงเรียบ “หลายปีมานี้ คนที่ข้าพึ่งพามากที่สุดก็ยังเป็นเว่ยเยวียน มักจะคิดตลอดว่าถ้าปีนั้นเจ้าไม่ได้เข้าวัง แต่เดินอยู่ในเส้นทางสอบรับราชการ อาณาจักรก็จะมีคนแก้ปัญหา ข้าก็จะไม่ต้องเปลืองสมองไปกับเรื่องไม่เป็นเรื่องพวกนี้ด้วย”

สีหน้าของเว่ยเยวียนผงะไปทันที แล้วกลับมาเป็นปกติในพริบตา เขายิ้มพลางกล่าวว่า “ตอนนี้กระหม่อมไม่ได้จัดการเรื่องราวให้กับฝ่าบาทเหมือนกันหรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ”

องค์รัชทายาทขมวดคิ้ว จดจ้องไปที่กระดานหมาก ครุ่นคิดไม่พูดไม่จา

ไม่ใช่เพราะว่ากระดานหมากของเสด็จพ่อกับเว่ยกงฆ่าฟันกันอย่างน่าตื่นเต้นอะไรนักหรอก แต่เป็นเพราะกำลังขบคิดเรื่องบทสนทนาระหว่างทั้งสองคนต่างหาก

เขามีความรู้สึกเหมือนชมบุปผากลางสายหมอก คล้ายจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ

สองคนที่นั่งอยู่ในศาลา คนหนึ่งอุทิศตนฝึกวิชาเต๋ายี่สิบปีแต่ก็ยังควบคุมราชสำนักได้อย่างมั่นคง ความคิดจิตใจของจักรพรรดิช่างบริสุทธิ์เหมือนเปลวไฟนัก

คนหนึ่งควบคุมหน่วยงานลาดตระเวนยามวิกาลในฐานะขุนนางราชการ เก่งกาจทั้งบุ๋นบู๊ ทำให้ปัญญาชนนับไม่ถ้วนละอายใจ

บทสนทนาระหว่างพวกเขาต้องใคร่ครวญให้ละเอียดรอบคอบ

ขณะที่องค์รัชทายาทกำลังมีความคิดผุดขึ้นมากมาย ก็ได้ยินจักรพรรดิหยวนจิ่งตรัสว่า “สืบคดีซังผอเป็นอย่างไรบ้าง เอกสารที่หน่วยราชการกับกรมอาญาส่งมาวุ่นวายสับสนไปหมด ข้าจำได้ว่า ผู้ทำคดีหลักของหน่วยงานลาดตระเวนยามวิกาลเป็นฆ้องทองแดงต้องโทษแซ่สวี่คนนั้นใช่หรือไม่”

………………………………….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง