เห็นได้ชัดว่าจักรพรรดิหยวนจิ่งไม่ได้สนใจว่าฆ้องทองแดงตัวเล็กๆ คนหนึ่งจะชื่ออะไร เขาเหลือบมองเว่ยเยวียน รู้สึกแปลกใจที่ขันทีใหญ่ผู้นี้พูดชื่อของฆ้องทองแดงคนหนึ่งออกมาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“เป็นบุคคลควรค่าแก่การปลูกฝัง คดีเจ้าหน้าที่ถือธงชั้นผู้น้อยกับโจวชื่อสวงก็เป็นเขาที่สืบความได้ เขายังชี้ชัดเรื่องที่มาที่ไปของดินปืนด้วยพ่ะย่ะค่ะ” จักรพรรดิหยวนจิ่งดื่มชาลงไปอึกหนึ่ง ก้มหน้ามองดูกระดานหมาก แล้ววางหมากพลางกล่าวไปด้วย
“ผ่านไปหลายวันขนาดนี้ ทางเขามีความคืบหน้าอะไรบ้าง ได้ยินหลิวกงกงบอกว่าเจ้าเด็กนั่นออกเช้ากลับค่ำ ขันทีที่บันทึกเรื่องก็หาตัวเขาไม่เจอ”
“พบบางอย่างแล้วจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ” พูดถึงเรื่องนี้แล้วเว่ยเยวียนก็กล่าวต่อ “เช้าเมื่อวานนายอำเภอจ้าวแห่งมณฑลไท่กังเสียชีวิตอยู่ที่คุกของที่ว่าการพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหยวนจิ่งพยักหน้า “ข้าหลวงเฉินรายงานข้าเรื่องนี้แล้ว”
เว่ยเยวียนพูดต่อ “ตายด้วยเหตุธรรมชาติ ไม่มีบาดแผล และไม่ได้ถูกพิษ ยิ่งกว่านั้นก็ไม่ใช่วิธีการภายนอกอื่นๆ อย่างทำให้หายใจไม่ออกด้วย อาจเป็นฝีมือของเทพเจ้าหยินลัทธิเต๋า หรือไม่ก็พ่อมดจากตะวันออกเฉียงเหนือพ่ะย่ะค่ะ”
ปัง…ปลายนิ้วมือขาวของจักรพรรดิหยวนจิ่งตบลงบนกระดานหมาก
จักรพรรดิผู้มีผมดำหนาและหางตามีแค่รอยตีนกาเงียบงันพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง ก่อนยิ้มพลางหยิบตัวหมากที่ร่วงหล่นขึ้นมาโยนลงไปในกล่องเก็บตัวหมากแล้วเอ่ย
“เล่นมาหลายปีขนาดนี้แล้วก็ไม่เคยชนะเลยสักครั้ง น่าเบื่อ”
เว่ยเยวียนลุกขึ้นโค้งคำนับ
ตอนนี้จักรพรรดิหยวนจิ่งถึงได้เงยหน้ามององค์รัชทายาทแล้วถามขึ้นว่า “ได้ยินว่าวันก่อนจู่ๆ มังกรวิญญาณก็คลั่งขึ้นมาแล้วสะบัดหลินอันตกทะเลสาบ”
องค์รัชทายาทก้มหน้าตอบกลับ “ตอนนั้นหลินอันขี่มังกรวิญญาณเล่นอยู่บนน้ำ เป็นฮว๋ายชิ่งที่ผิวปากออกมา จึงไปรบกวนมังกรวิญญาณ ถึงได้สะบัดหลินอันตกน้ำพ่ะย่ะค่ะ”
องค์รัชทายาทกับองค์หญิงหลินอันเป็นพี่น้องแม่เดียวกัน องค์หญิงฮว๋ายชิ่งใช้วิธีการสกปรกรังแกหลินอัน เขาที่เป็นพี่ชายแม่เดียวกันพูดเช่นนี้จึงไม่ใช่ปัญหา
แม้พูดความจริง แต่ในใจก็เอนเอียงไปทางหลินอันเล็กน้อย ในสายตาของเสด็จพ่อ นี่เป็นเรื่อง ‘ธรรมดา’ เรื่องหนึ่ง
จากนั้นองค์รัชทายาทก็เสริมขึ้นว่า “แต่มีเรื่องหนึ่งที่หม่อมฉันคิดอยู่ตลอด ทว่ากลับไม่เข้าใจ”
จักรพรรดิหยวนจิ่งพยักหน้ากล่าว “การตอบสนองของมังกรวิญญาณรุนแรงเกินไป”
นอกจากตนที่เป็นโอรสสวรรค์แล้ว มังกรวิญญาณก็ปฏิบัติต่อโอรสธิดาคนอื่นแทบจะเท่าเทียมกัน ซึ่งรวมไปถึงองค์รัชทายาทด้วย
องค์รัชทายาทก็ดี องค์ชายทั้งหลายก็ช่าง ตราบใดที่ไม่ได้ครองบัลลังก์ คุณสมบัติของพวกเขาล้วนเหมือนกันหมด
“เสด็จพ่อ ไม่ใช่แค่นี้พ่ะย่ะค่ะ” องค์รัชทายาทกล่าว “มังกรวิญญาณไม่ใช่แค่สะบัดหลินอันออก มันยังว่ายไปหาฮว๋ายชิ่งท่าทางตื่นเต้นอย่างยิ่ง ถึงขั้นวางหัวไว้บนฝั่ง หมอบอยู่ริมฝั่งรอให้ฮว๋ายชิ่งขึ้นไปขี่ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
นัยน์ตาของจักรพรรดิหยวนจิ่งพลันสาดประกายแสงคมกริบออกมา จ้องเขม็งไปที่องค์รัชทายาท “ฮว๋ายชิ่งขี่แล้วเหรอ”
องค์รัชทายาทส่ายหน้า “ที่น่าแปลกคือ พอฮว๋ายชิ่งกำลังจะขึ้นขี่ มังกรวิญญาณกลับต่อต้านอย่างผิดปกติแล้วผลักฮว๋ายชิ่งออกไปพ่ะย่ะค่ะ”
พอได้ยินคำอธิบายเช่นนี้แล้ว จักรพรรดิหยวนจิ่งก็ขมวดคิ้ว ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนเอ่ย “เคลื่อนขบวน ข้าจะไปเยี่ยมมังกรวิญญาณ”
จักรพรรดิหยวนจิ่งนั่งบนราชรถมังกรแล้วจากไป
องค์รัชทายาทกับเว่ยเยวียนเดินตามไป แต่ก่อนจะเข้าไปนั่งในเกี้ยว เว่ยเยวียนก็เอ่ยถามคร่าวๆ “ฝ่าบาท ตอนนั้นนอกจากองค์หญิงฮว๋ายชิ่งแล้ว ข้างกายยังมีใครอีกหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีข้างๆ ยกผ้าม่านเกี้ยวขึ้น องค์รัชทายาทไม่ได้เข้าไปทันที เขาหันกลับมาตอบ “บังเอิญทีเดียว ฆ้องทองแดงใต้บัญชาของเว่ยกงผู้นั้นก็อยู่ด้วย”
สวี่ชีอัน…เว่ยเยวียนชะงักนิ่งอยู่ที่เดิม
สำหรับองค์รัชทายาทแล้ว ฆ้องทองแดงตัวเล็กๆ คนหนึ่งไม่มีค่าอะไรให้สนใจ ที่จำเขาได้ก็เป็นเพราะกลอนครึ่งบทนั้นที่ทำให้คนรู้สึกทึ่งจริงๆ เท่านั้นเอง
ไม่อย่างนั้นล่ะก็ คนสนิทของฮว๋ายชิ่งมีมากมายขนาดนั้น องค์รัชทายาทก็ขี้เกียจจะไปจดจำพวกลิ่วล้อไม่สลักสำคัญเหล่านี้หรอก
เมื่อคิดถึงตรงนี้ องค์รัชทายาทก็เลิกม่านออก พบว่าเว่ยเยวียนยังยืนอยู่ที่เดิม
“เว่ยกงไม่ไปเหรอ”
เว่ยเยวียนถึงได้ตอบสนองแล้วเข้าไปในเกี้ยว
องค์รัชทายาทไม่ได้ปล่อยม่านลง เขายิ้มพลางกล่าว “แต่ฆ้องทองแดงผู้นั้นก็น่าสนใจจริงๆ ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าฆ้องทองแดงธรรมดาคนหนึ่งจะมีพรสวรรค์ด้านกวีเช่นนี้ วันนั้นพวกเราจัดงานเลี้ยงริมทะเลสาบ เขากลับเขียนกลอนขึ้นใหม่ตรงนั้นเพื่อช่วยหลินอันเชียวนะ”
องค์รัชทายาทกำลังบอกข้าว่าฆ้องทองแดงใต้บัญชาของข้าผู้นี้เป็นคนขององค์หญิงฮว๋ายชิ่งแล้ว…เว่ยเยวียนแย้มยิ้มอย่างไม่สนใจ ตรงกันข้าม ประโยคสุดท้ายนั้นดึงดูดความสนใจของเขา เขาเลิกผ้าม่านขึ้นกล่าวว่า “เขาเขียนกลอนอะไรอีกหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ไม่ว่าจะเป็น ‘ทางข้างหน้าไม่กังวลไร้คนรู้ใจ ในใต้หล้าไม่มีผู้ใดไม่รู้จักท่าน’ หรือว่า ‘เงาบางเบาเคลื่อนเฉียงอยู่ในน้ำใสตื้น กลิ่นหอมละมุนคลุ้งกลางจันทรายามสายัณห์’ ก็ตาม ในสายตาของเว่ยเยวียนผู้เล่าเรียนตำรากวีมาอย่างดีแล้ว ล้วนแต่เป็นผลงานชิ้นเอกยิ่งใหญ่ทั้งสิ้น
ในช่วงสองร้อยปีมานี้ ในใจของปัญญาชนทุกคนในต้าฟ่งล้วนแขวนไว้กับนักกวีผู้มากพรสวรรค์ทั้งนั้น
องค์รัชทายาทกล่าวเสียงดัง “หลังเมามายเหตุไฉนท้องนภาลอยในธารา ดารณีเปี่ยมฝันหวานพาดทับหมู่ดารา”
กลอนดี ดวงตาของเว่ยเยวียนสว่างไสว ถูกกลอนสองท่อนนี้ทำให้ตะลึงได้อย่างล้ำลึกไปแล้ว
รัชทายาทเงียบงันไปพักหนึ่ง และได้ยินคำถามต่อมาของเว่ยเยวียนดังมาจากเกี้ยวฝั่งตรงข้ามอย่างที่คิด “ครึ่งท่อนแรกล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
มุมปากองค์รัชทายาทกระตุก “ไม่มีแล้ว”
ไม่มีแล้ว…เว่ยเยวียนตกอยู่ในความเงียบงัน
เมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบไปนาน จิตใจขององค์รัชทายาทก็มีความสุขขึ้นมาทันใด
…
สวี่ชีอันเข้าสู่พระราชวัง ในตำหนักงามสง่าขององค์หญิงใหญ่ เขาเห็นพระราชธิดาคนโตผู้มีหน้าอกใหญ่ สวมชุดสตรีฝ่ายในงดงามพื้นขาว และปักประดับด้วยดอกเหมยแดง
นางทำผมทรงยอดนิยมที่สุดในสมัยนี้ สวมเครื่องประดับงดงาม เข้ากันดีกับใบหน้างามพิลาศล้ำ
องค์หญิงฮว๋ายชิ่งให้นางกำนัลยกชาแล้วก็ยิ้มบางพลางเอ่ย “คดีมีความคืบหน้าอย่างไรบ้าง”
ที่นางถามน่าจะเป็นผลการตรวจสอบวัดมังกรเขียว…สวี่ชีอันกล่าวว่า “มีเงื่อนงำอยู่บ้างจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อวานพวกเขาเพิ่งจะสืบเรื่องความรุ่งโรจน์และการสืบทอดต่อมาจนถึงปัจจุบันของวัดเจดีย์ตอนทำงานร่วมกันที่หอสมุดหลวงได้ ดังนั้นที่องค์หญิงใหญ่ถามจะต้องเป็นข้อมูลเกี่ยวกับวัดมังกรเขียวแน่นอน
เมื่อได้ยินดังนั้น นัยน์ตาขององค์หญิงฮว๋ายชิ่งก็สว่างวาบ จ้องมองไปยังสวี่ชีอันอย่างคาดหวัง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง