‘ฟึ่บ!’
ในลานเล็กๆ สวี่ชีอันยืนอยู่บนชายคาและเขวี้ยงอาวุธลับทรงสี่เหลี่ยมมุมฉากออกไป เขาไม่ได้เล็งเป้าอย่างจริงจังเลย แต่กลับเขวี้ยงโดนจุดสีแดงตรงกลางเสาไม้ที่อยู่ห่างออกไปยี่สิบก้าวอย่างแม่นยำ
วิธีที่สวี่ชีอันเขวี้ยงอาวุธลับไม่ชาญฉลาดนัก แต่…เขาโชคดี
“ร่างกายข้ามีบางอย่างผิดปกติ…” สวี่ชีอันเอ่ยเสียงเบา
เขาโชคดีเกินไป เขาเก็บตำลึงเงินได้ทั้งหมดหนึ่งชั่งสองตำลึงภายในหนึ่งเดือนติดต่อกัน เทียบเท่ากับเงินเดือนข้าราชการครึ่งเดือน
เงินจำนวนนี้เพียงพอสำหรับครอบครัวธรรมดาสามคนอยู่อย่างประหยัดเป็นเวลาสามเดือน
สิ่งที่แปลกที่สุดคือ ทุกครั้งเขาจะเก็บได้หนึ่งตำลึงเงิน นี่ไม่ใช่สิ่งที่โชคจะอธิบายได้
ไม่จำเป็นต้องถามหยวนฟาง[1]ก็รู้ว่าเรื่องนี้แปลก
“ระบบ ออกมาเถอะ อย่าเล่นซ่อนแอบกับข้าอีกเลย” สวี่ชีอันหยั่งเชิง
ระบบไม่สนใจเขา
ในหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเขาพยายามปลุกระบบนับครั้งไม่ถ้วน และความจริงก็บอกเขาว่าไม่มีระบบตั้งแต่ต้น แล้วจะอธิบายโชคแปลกๆ นั่นได้อย่างไร
คิดไม่ถึงว่าคนโชคร้ายที่ซื้อสลากห้าหยวนไม่เคยถูกตั้งแต่เด็กอย่างเขา วันหนึ่งจะพัฒนากลายเป็นคนโชคดีได้ แต่อายุขัยของคนโชคดีสั้นมาก…สวี่ชีอันยิ้มเยาะตัวเองอย่างขมขื่น
สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือ เจ้าของร่างเดิมไม่มีโชคที่น่าอัศจรรย์อะไรเลย เพราะหากเขาโชคดังว่าอาสะใภ้คงไม่รังเกียจและปฏิบัติกับเขาดั่งเป็นบรรพบุรุษ
ทั้งครอบครัวคงไม่ต้องดิ้นรน หันไปพึ่งพาเขาเพื่อหาเงินดำรงชีวิตแทน
“ของกำนัลที่ไม่รู้ที่มาเช่นนี้ทำให้รู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก…” ประกายตาของสวี่ชีอันอ่อนลง เขาถอนหายใจ “คงทำได้เพียงค่อยเป็นค่อยไป”
วันนี้วันหยุด สวี่ชีอันกระโดดข้ามกำแพงสูงหนึ่งจั้ง (1 จั้ง ประมาณ 3.33 เมตร) และไปทานอาหารเช้าที่บ้านของอารอง
ลานเล็กๆ ที่เขาอาศัยอยู่เดิมเป็นลานที่แม่บ้านคนหนึ่งของบ้านสกุลสวี่อาศัยอยู่ โดยมีกำแพงกั้นกับบ้านหลังใหญ่
ต่อมาเมื่อแม่บ้านเสียชีวิต ลานเล็กนี้ก็ถูกปล่อยทิ้งไว้ไม่ได้ใช้ จนกระทั่งสวี่ชีอันโต้เถียงกับอาสะใภ้ยกใหญ่และย้ายมาอยู่ที่นี่ด้วยความโกรธเคือง
เจ้าของร่างเดิมเป็นคนดื้อดึง ปกติเขาจะทำอาหารสามมื้อด้วยตัวเอง บางครั้งอารองก็จะนำไวน์กับอาหารข้ามกำแพงมาดื่มกับหลานชาย
สวี่ชีอันในตอนนี้ไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าความหมกมุ่นให้เจ้าของร่างเดิม หากจะให้เขาทำอาหารเช้าเองก็ตื่นไม่ไหว หากออกไปกินก็จะเสียเงินมาก
ไปฟังเพลงที่หอคณิกาไม่ดีกว่าหรือ สาเหตุหลักเป็นเพราะได้เห็นเหล่าหญิงสาวที่สวมชุดผ้าโปร่งส่ายก้น
…
โถงด้านใน
เมื่ออาสะใภ้ที่สวมชุดคลุมแขนกว้างสีแดงเข้มเห็นสวี่ชีอันเดินเข้ามา นางก็เบ้ปากและก้มหน้ากินโจ๊ก
อาสะใภ้ไม่ใช่ลูกสาวของครอบครัวเศรษฐี บิดาเป็นซิ่วไฉ[2] จึงพอนับได้ว่าเป็นครอบครัวที่มีชื่อเสียงด้านวรรณกรรม อาสะใภ้ได้เห็นได้ยินอยู่เป็นประจำจึงพอจะเข้าใจและมีเหตุผล นางเพิ่งยอมรับความเมตตาของหลานชายผู้โชคร้ายจึงรู้สึกเขินอายอยู่บ้าง นางยังเมินหลานชายคนนี้ซึ่งตอนนี้มีกลิ่นอาย ‘อย่ารังแกคนจนที่น่าสงสาร’
เสี่ยวโต้วติงยืนอยู่หน้าม้านั่งทรงกลม บนม้านั่งทรงกลมมีอาหารเช้าของนางวางอยู่ ซาลาเปาเนื้อสามลูก ปาท่องโก๋สองชิ้น กับข้าวหนึ่งอย่าง และโจ๊กข้าวชามใหญ่
“พี่ใหญ่…” นางเรียกอย่างงัวเงีย
“เหตุใดข้าไม่เห็นฉือจิ้ว” สวี่ชีอันถาม
ฉือจิ้วเป็นคำของสวี่ซินเหนียน และคำนี้ก็เป็นคำเสริมของชื่อเขา
“เก็บตัวเขียนบทกวีอยู่ในห้อง” สวี่ผิงจื้อพูด
เมื่อสวี่ชีอันนั่งลง ลวี่เอ๋อก็เสิร์ฟโจ๊กข้าวหนึ่งถ้วย ซาลาเปาเนื้อหกลูก หัวไชเท้าดอง และเต้าหู้อ่อน
ทหารระดับหลอมจิตมีความอยากอาหารเยอะกว่าคนทั่วไปมาก
แต่เมื่อไปถึงระดับหลอมปราณอย่างอาของเขา ความอยากอาหารจะต่างกับคนทั่วไปไม่มาก
กินเพียงครึ่งเดียวก็อิ่ม…สวี่ชีอันเหลือบมองเสี่ยวโต้วติงและถามด้วยสีหน้าอ่อนโยน “หลิงอิน แบ่งซาลาเปาเนื้อให้พี่ใหญ่หนึ่งลูกได้หรือไม่”
ทุกคนมองเขา เด็กสาวในบ้านไม่สนใจอะไรเลย นางสนใจเพียงแค่เรื่องกิน ใครแย่งอาหารในถ้วยของนาง นางจะสู้สุดใจกับคนคนนั้น
“ไม่เจ้าค่ะ!” เสี่ยวโต้วติงกางแขนปกป้องอาหารไว้เหมือนแม่ไก่ปกป้องลูก
“เจ้าอย่ากังวลไป พี่ใหญ่จะไม่ให้เจ้าเสียเปรียบ” สวี่ชีอันหยิบซาลาเปาเนื้อขึ้นมาวางในจานของนางและชี้ไปที่ซาลาเปาเนื้อสี่ลูก
“ซาลาเปาเนื้อสี่ลูกนี้ พวกเราแบ่งกันได้หรือไม่”
สวี่หลิงอินจิกหัว
“ควรจะแบ่งเท่าๆ กันรึเปล่า”
สวี่หลิงอินเอียงคอครุ่นคิด จากนั้นก็พยักหน้า
“ซาลาเปาสองลูกของเจ้า ซาลาเปาอีกสองลูกเป็นของพี่ใหญ่ จากนั้นพี่ใหญ่จะให้ปาท่องโก๋เจ้าอีกครึ่งชิ้น เจ้าได้กำไรใช่หรือไม่”
“อืม” สวี่หลิงอินถูกชักจูง นางรู้สึกว่าตัวเองได้กำไรมาก จึงยิ้มแย้มแจ่มใส
สวี่หลิงเยวี่ย “…”
สวี่ผิงจื้อมองหลานชาย ‘(¬_¬)’
อาสะใภ้โกรธเคือง “ข้าให้กำเนิดลูกสาวที่โง่เขลาเช่นเจ้ามาได้อย่างไร เจ้าทำให้แม่โกรธจนจะคลั่ง!”
เสี่ยวโต้วติงรู้สึกเสียใจมาก เห็นได้ชัดว่านางได้กำไรเป็นปาท่องโก๋ครึ่งชิ้น ทำไมแม่ยังต้องดุนางอีก
เวลานี้สวี่ซินเหนียนเดินเข้ามา เขาพึมพำกับตัวเอง ดวงตาเหม่อลอย เขานั่งลงกินข้าวพลางครุ่นคิด
อาสะใภ้ถอนหายใจออกมา นางเลิกสนใจเด็กสาวผู้โง่เขลา เป็นห่วงเป็นใยลูกชายผู้มีอนาคต
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง