ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 18

กฎหลักของบทกวีคือการใช้เสียงวรรณยุกต์ผิงเจ้อ[1]

ตราบใดที่จุดนี้ไม่เปลี่ยน แม้ว่าจะอยู่อีกโลกหนึ่ง แต่การศึกษาภาคบังคับเก้าปีของสวี่ชีอันก็ยังคงมีประโยชน์

สวี่ซินเหนียนเหลือบมองเขา เชิดคางขึ้น “บนท้องฟ้ามีนก บนผืนดินมีแมลง เมื่อนกกระพือปีกลงมา แมลงก็จะจากไป”

“เฮ้อ…” สวี่หลิงเยวี่ยปิดปากหัวเราะเบาๆ แต่ถูกสวี่ชีอันจ้องเขม็ง นางจึงก้มหน้าลงด้วยใบหน้าแดงก่ำ

…ปากร้ายนัก ข้าอยากตีเขาเสียจริง มุมปากของสวี่ชีอันกระตุก นี่คือบทกวีที่เจ้าของร่างเดิมเขียนตอนอายุสิบปี คนที่ให้ความรู้แก่สามพี่น้องบ้านสกุลสวี่ในสมัยนั้นก็คือพ่อของอาสะใภ้ ท่านตาที่เป็นซิ่วไฉท่านนั้น

ครั้งหนึ่งท่านตาซิ่วไฉทดสอบบทกวีของพวกเขา ดังนั้นบทกวีที่ยอดเยี่ยมบทนี้จึงเกิดขึ้น

อาสะใภ้เยาะเย้ย “หนิงเยี่ยน อาไม่ได้ดูถูกเจ้าหรอกหนา บ้านสกุลสวี่ให้กำเนิดเมล็ดพันธุ์แห่งปัญญาอย่างเหนียนเอ้อร์ออกมา คำของพวกเจ้าอาหลานก็เหมือนกับแมลงคลาน[2]”

“แค่คำก็ยังเขียนได้ไม่ดียังคิดจะเขียนบทกวีอีก” ท่าทางที่อาสะใภ้เหยียดริมฝีปากและกลอกตาดูมีเสน่ห์มาก

อารองอับอายเล็กน้อยจึงกระแอมทีหนึ่ง “หนิงเยี่ยน อย่าไปยุ่งเรื่องของคนเรียนหนังสือเลย วันนี้วันหยุด พวกเราอาหลานไปช่วยกันที่ลานดีหรือไม่”

ความหมายก็คือ ‘เจ้าอย่าไปคอยประสมโรงเลย เจ้าไม่รู้เรื่องของคนเรียนหนังสือ ตัวเองเสียหน้าไม่พอยังทำให้ข้าติดร่างแหถูกภรรยาเยาะเย้ยอีก’

“เมฆสีเหลืองนับพันลี้ท่ามกลางพระอาทิตย์ตก” สวี่ชีอันเอ่ยอย่างแผ่วเบา

อาสะใภ้กลอกตาและก้มหน้ากินโจ๊ก

อารองสวี่เช็ดคราบมันที่มุมปากให้เด็กหญิง

สวี่ซินเหนียนขมวดคิ้ว เพียงแค่ประโยคเดียวยังฟังไม่ออกว่าคืออะไร แต่สวี่ชีอันสามารถเขียนบทกวีแบบเจ็ดคำสี่วรรคที่ประณีตเช่นนี้ออกมาได้ก็เกินคาดมากแล้ว

“ลมเหนือพัดพาห่านป่าไปนำหิมะมา”

สวี่ซินเหนียนชะงักไปครู่หนึ่ง ภาพผุดขึ้นมาเองในความคิดอย่างไม่ได้ตั้งใจ

สวี่หลิงเยวี่ยเงยหน้าขึ้น ดวงตาแสนสวยที่มีไหวพริบมองญาติผู้พี่อย่างประหลาดใจ

สวี่ชีอันก้มหน้ากินโจ๊ก ไม่พูดอะไรต่อ

“แล้วต่อจากนั้นล่ะ ต่อจากนั้นล่ะ” สวี่ซินเหนียนไต่ถามทันใด ความรู้สึกเหมือนได้ยินนักเล่าเรื่องเล่าเรื่องที่โรงน้ำชา กล่าวถึงสถานที่แสนวิเศษและจู่ๆ ก็ตบไม้ปลุกสติ ‘คาดการณ์ว่าเรื่องหลังจากนั้นเป็นอย่างไร โปรดติดตามฟังตอนต่อไป’ ทำให้โกรธจนอยากจะตีใครสักคน

“ข้าเขียนบทกวีไม่เป็น” สวี่ชีอันเหลือบมองอาสะใภ้อย่างสบายๆ เขาเพียงแค่รู้สึกว่าวันนี้อาสะใภ้สง่างามและสวยเป็นพิเศษเท่านั้น ไม่ได้มีคำใบ้ที่จะให้นางขอโทษอยู่ในนั้นเลย

อาสะใภ้เบิกดวงตาอันกลมโตของนางกว้างและหันไปถามลูกชาย “บทกวีนี้ดีมากหรือ”

สวี่หลิงเยวี่ยเอ่ยอย่างอ่อนโยน “มีท่วงทำนองยิ่งนัก!”

แม้ว่าการท่องหนังสือของนางจะยังมีข้อจำกัด แต่นางก็ฟังสองประโยคแรกออกว่าเป็นบทกวีเจ็ดคำที่ยอดเยี่ยม

เมื่อเห็นท่าทีของบุตรสาวและบุตรชาย สวี่ผิงจื้อก็ตกตะลึงและจ้องสวี่ชีอันตาไม่กะพริบ ในดวงตามีทั้งความแปลกใจและความคาดหวัง

“ทางข้างหน้าไม่กังวลไร้คนรู้ใจ ในใต้หล้าไม่มีผู้ใดไม่รู้จักท่าน!” สวี่ชีอันเคี้ยวปาท่องโก๋แล้วโพล่งสองประโยคหลังออกมา

‘แกร๊กๆ’… ตะเกียบในมือของสวี่เอ้อร์หลางตกลงบนโต๊ะ

“ทางข้างหน้าไม่กังวลไร้คนรู้ใจ ในใต้หล้าไม่มีผู้ใดไม่รู้จักท่าน…” เขาพึมพำกับตัวเองและจมอยู่ในอารมณ์ทางศิลปะอย่างไม่อาจถอนตัวได้

สวี่หลิงเยวี่ยตัวสั่น ขนที่หลังมือลุกชัน

สวี่ผิงจื้อเบ้ปาก “ให้ตายเถอะ เหตุใดจึงฟังดูขนพองสยองเกล้านัก”

อาสะใภ้ขุ่นเคืองอยู่ในใจ แต่ก็เห็นด้วยกับคำพูดของสามี

นี่คือพลังของบทกวี เป็นการเขย่าขวัญทางจิตวิญญาณ แม้แต่คนที่เขียนบทกวีไม่ได้และไม่รู้กฎเสียงวรรณยุกต์ผิงเจ้อ แต่เมื่อได้อ่านผลงานชิ้นเอกที่สืบทอดมาแต่โบราณก็ยังรู้สึกชาไปทั้งศีรษะอย่างไม่อาจควบคุมได้

ความรู้สึกแบบนี้เมื่อก่อนตอนสวี่ชีอันเรียนก็มักจะสั่นสะท้านกับผลงานชิ้นเอกที่สืบทอดมาแต่โบราณในหนังสือเรียนวรรณคดีและภาษา

“เมฆสีเหลืองนับพันลี้ท่ามกลางพระอาทิตย์ตก ลมเหนือพัดพาห่านป่าไปนำหิมะมา ทางข้างหน้าไม่กังวลไร้คนรู้ใจ ในใต้หล้าไม่มีผู้ใดไม่รู้จักท่าน”

สวี่ซินเหนียนอดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นยืน ใบหน้าแดงก่ำด้วยความตื่นเต้นเป็นครั้งที่สองทำให้เขาดูสง่างามและโดดเด่นมากกว่าเดิม…ฉอเลาะยิ่ง

มันคือผลงานชิ้นเอก!

แม้ว่าเขาจะไม่เก่งด้านบทกวี แต่ในฐานะที่เป็นพวกคงแก่เรียนผู้ไม่โหยหาในบทกวี เมื่อได้ยินบทกวีดีๆ ก็อดไม่ได้ที่จะร้องตามจังหวะ เลือดในกายเดือดพล่าน

“เจ้า…เขียนบทกวีเป็นตั้งแต่เมื่อใด” สายตาของสวี่ซินเหนียนจับจ้องอยู่ที่สวี่ชีอัน ดวงตาเป็นประกาย สั่นสะท้านและสงสัย

“ข้าบอกเมื่อใดว่าข้าเขียนบทกวีไม่เป็น” สวี่ชีอันหัวเราะ “บทกวีที่เขียนขึ้นเมื่อเปิดปัญญาสามารถแทนปัจจุบันขณะได้หรือ ข้ามีพรสวรรค์ด้านบทกวีมาโดยตลอด เพียงแค่ไม่แสดงออกมาเท่านั้นเอง”

“ที่แท้หนิงเยี่ยนก็เป็นเมล็ดพันธุ์แห่งปัญญาของบ้านสกุลสวี่ของพวกเรา” อารองสวี่รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งและยิ้มอย่างสดใส “หากข้ารู้ก่อนหน้านี้ก็คงให้เจ้าเรียนหนังสือ เลิกเรียนศิลปะการต่อสู้”

“ค่อยเป็นค่อยไปเถิด” สวี่ชีอันพูดเป็นพิธี

นอกจากการสั่งสมผลงาน ยังมีวิธีเลื่อนขั้นวิธีอื่นอีก นั่นก็คือใช้เงิน

ใบสั่งยากับยอดฝีมือล้วนแก้ไขได้ด้วยเงิน

วีรบุรุษมักใช้กำลังเพื่อละเมิดกฎหมาย ดังนั้นราชสำนักจึงควบคุมจำนวนทหารอย่างเข้มงวดและกำหนดไว้อย่างชัดเจนว่ายอดฝีมือระดับหลอมวิญญาณห้ามเปิดประตูสวรรค์ให้ผู้ใดเป็นการส่วนตัว หากต้องการเปิดประตูสวรรค์ให้ลูกหลานในครอบครัว จำเป็นต้องรายงานให้ทางราชการทราบก่อน

อย่างไรก็ตาม ระบบราชการของต้าฟ่งทุกวันนี้แย่มาก เจ้าหน้าที่ทุจริตอาละวาด ความทรงเกียรติของราชสำนักก็ค่อยๆ ลดลง แม้จะไม่กล้าฝ่าฝืนกฎหมายอย่างเปิดเผย แต่ก็ยังมียอดฝีมือระดับหลอมวิญญาณไม่น้อยมองหาคู่ค้าในตลาดมืด

สวี่ชีอันทำงานอย่างหนักเพื่อหาเงิน เพราะเขามีความคิดที่จะใช้เงินแทนผลงาน

ไม่อย่างนั้นเขาคงติดอยู่ที่ระดับหลอมจิตไปตลอดกาล แล้วแท่งเหล็กที่ติดตัวมานี้จะไปมีประโยชน์อะไร

อาสะใภ้พาลูกสาวสองคนเดินเข้ามา ยืนอยู่ใต้ชายคาตรงทางเดินและตะโกนว่า “ท่านพี่ แดดแรงแล้ว ท่านพาหลิงอินกับหลิงเยวี่ยออกไปเดินเล่นที”

อารองสวี่ขมวดคิ้ว “ข้ามีธุระ”

“วันนี้ไม่ใช่วันหยุดหรือ”

“ข้านัดดื่มเหล้ากับเพื่อนร่วมงานไว้ อีกประเดี๋ยวก็ไปแล้ว เช่นนั้นให้หนิงเยี่ยนพาพวกนางออกไปเดินเล่นเถอะ”

หญิงสาวที่เติบโตในตระกูลวรรณกรรมมักจะถูกเลี้ยงดูอยู่ในห้องส่วนตัว ไม่อาจออกไปเดินเล่นตามใจชอบได้

บ้านสกุลสวี่เป็นครอบครัวผู้บัญชาการทหาร จึงไม่ได้เลี้ยงดูอย่างเข้มงวดมากนัก

สวี่ชีอันหันกลับไปทันเวลาที่จะพบกับดวงตาอันสดใสและเปล่งประกายของสาวน้อยอายุสิบหกพอดี สาวน้อยที่หน้าตาสวยสดงดงามเม้มริมฝีปาก นางเขินอายจึงก้มหน้าลงเล็กน้อย

“ข้าไม่มีอะไรทำพอดี” สวี่ชีอันพยักหน้า

เมื่อนึกย้อนกลับไปตอนที่ข้าอายุสิบแปดพาน้องสาวอายุสิบหกปีออกไปเดินเล่นช่างเป็น ‘ช่วงเวลาที่งดงาม’ แน่นอนว่าน้องสาวในตอนนั้นไม่อาจเทียบกับสวี่หลิงเยวี่ยได้เลย

…………………………………………………

[1] วรรณยุกต์ผิงเจ้อ เป็นเสียงวรรณยุกต์ของคำที่ใช้ในกวีนิพนธ์จีน

[2] แมลงคลาน สำนวนจีน หมายถึง อักขระที่เขียนได้ไม่ดี ไม่เป็นรูปเป็นร่าง

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง