ชานเมืองจิงจ้าว ศาลาเหมียนหยาง!
รถม้าหรูหราสองสามคันหยุดที่ข้างศาลา ชานเมืองมีอากาศหนาวเย็นและมีลมแรง เนินเขาสูงต่ำมีสีน้ำตาลอ่อน
ดวงตะวันคล้อยให้ความรู้สึกอบอุ่นในช่วงต้นฤดูหนาว
ฆราวาสจื่อหยางแห่งสำนักอวิ๋นลู่กำลังจะเข้ารับตำแหน่งข้าราชการ
สำหรับสำนักอวิ๋นลู่ที่วงราชการตกต่ำลงทุกวันจึงถือเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่ง
เหล่าสุภาพบุรุษในสำนักต่างร้องเพลง เหล่านักเรียนต่างชื่นชมยินดีและภาคภูมิใจ วันแห่งความก้าวหน้ากำลังใกล้เข้ามา
ในศาลา ชายชราสามคนกำลังนั่งดื่มชา หนึ่งในนั้นสวมชุดสีม่วง ข้างขมับปกคลุมด้วยผมสีขาว เขาเป็นพระเอกของการอำลาครั้งนี้
หยางกง สมญานามฆราวาสจื่อหยาง เป็นจอหงวน[1]ของหยวนจิ่งในรอบสิบสี่ปี ปีต่อมาเขาลาออกจากตำแหน่งและกลับมาศึกษาที่สำนักอวิ๋นลู่ ในช่วงเวลายี่สิบสองปีเขามีลูกศิษย์มากมายทั่วโลกและกลายเป็นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่มีชื่อเสียงระดับโลก
เดิมทีเขาควรจะมีอนาคตที่ดีกว่านี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเข้าร่วมคณะรัฐมนตรี แต่เขากลับออกจากข้าราชการอย่างน่าเศร้าในตอนที่รุ่งโรจน์ที่สุด ในหมู่นักปราชญ์มีความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปต่างๆ นานา บางคนบอกว่าเขาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพจึงต้องออกจากตำแหน่ง
บางคนว่าเขาทำให้สมุหราชเลขาธิการประจำราชวงศ์ขุ่นเคือง หนทางด้อยกว่าผู้อื่นจึงต้องลาออกไปอย่างหดหู่
แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ยี่สิบสองปีผ่านไป ในที่สุดเขาก็ได้กลับมารับราชการอีกครั้ง เข้ารับตำแหน่งสมุหเทศาภิบาลชิงโจว เป็นผู้ว่าราชการที่แท้จริง
สถานะของอีกสองคนก็ไม่ต้อยต่ำเช่นกัน ไม่ต้องพูดถึงตำแหน่งในสำนักอวิ๋นลู่ เพียงแค่ชื่อเสียงภายนอกพวกเขาก็ไม่แพ้ฆราวาสจื่อหยางเลย
ชายที่สวมชุดสีเทาและมีเคราแพะชื่อว่าหลี่มู่ไป๋ ผู้เล่นระดับชาติ ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่รู้จักในฐานะนักหมากรุกอันดับหนึ่งในใต้หล้า เมื่อห้าปีก่อนเขาเล่นหมากรุกกับเว่ยเยวียนและเว่ยกงสามรอบ แพ้ทุกรอบ จึงโยนกระดานหมากรุกทิ้งด้วยความโกรธและไม่เล่นหมากรุกอีกเลยตั้งแต่นั้นมา
ชายที่สวมชุดสีฟ้าชื่อว่าจางเซิ่น ปรมาจารย์ด้านกลยุทธ์และยุทธวิธีทางทหาร และ ‘กลยุทธ์และยุทธวิธีทางทหารหกประการ’ ที่เขียนในช่วงปีแรกๆ ยังเป็นสิ่งพิมพ์ที่ขุนนางบู๊และนายทหารระดับสูงแห่งต้าฟ่งต้องอ่านจนถึงตอนนี้ เขาเป็นปรมาจารย์ด้านกลยุทธ์และยุทธวิธีทางทหารเพียงคนเดียวของต้าฟ่งที่เทียบกับเว่ยเยวียนได้
นักเรียนที่มาส่งกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ด้านนอกศาลา ทุกคนล้วนเป็นนักเรียนที่มีศักยภาพมากของสำนักอวิ๋นลู่ สวี่ซินเหนียนก็อยู่ในนั้นด้วย
“ในที่สุดท่านจื่อหยางก็กลับเข้ารับราชการ หากได้รับคำชมจากเขา ในอนาคตพวกเราจะมีความเจริญรุ่งเรืองในงานข้าราชการแน่นอน” สหายร่วมชั้นที่รู้จักกันคนหนึ่งเอ่ยเสียงเบา “ฉือจิ้ว เจ้าเตรียมบทกวีดีๆ มาแล้วใช่หรือไม่”
‘พี่ชายข้าเตรียมให้ข้าแล้ว…และยังเป็นโคลงเจ็ดคำครึ่งบทอีก…’ สวี่ซินเหนียนมองเข้าไปในศาลาและพูดเบาๆ “เตรียมไว้ลวกๆ ครึ่งบท หย่งซู เจ้าหาผลประโยชน์มากเกินไปแล้ว”
โคลงเจ็ดคำมีฉันทลักษณ์ที่เข้มงวด กำหนดให้จำนวนคำในบทกวีต้องเท่ากัน ประกอบด้วยแปดวรรค แต่ละวรรคมีเจ็ดคำ ทุกๆ สองวรรคเป็นหนึ่งบาท มีทั้งหมดสี่บาท
โคลงเจ็ดคำที่สวี่ชีอันให้เขามีเพียงสองบาท หลังจากกินข้าวสวี่ซินเหนียนก็ไล่ถาม แต่ญาติผู้พี่ของเขาก็ตะกุกตะกักเปลี่ยนหัวข้อ ไม่ยอมให้สองบาทสุดท้ายกับเขา
“นี่ไม่ใช่การหาผลประโยชน์ จะเป็นนักเรียนหรือข้าราชการก็ดี ทำงานหนักสร้างเรือ เอาตัวรอดเป็นยอดคน[2]” เพื่อนของเขาพูด ดูเหมือนเขาจะรู้ว่าสวี่ซินเหนียนไม่เก่งบทกวี จึงไม่ได้ถามอะไรไปมากกว่านี้
“หย่งซูพูดถูก เวลานี้ทางการต่างทุจริต ผู้ใต้บังคับบัญชาร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ทุจริตประชาชน เกิดภัยธรรมชาติปีแล้วปีเล่า หากอยากเปลี่ยนสถานการณ์ ความคิดก็ต้องยืดหยุ่นหน่อย” นักเรียนอีกคนเข้าร่วมประเด็นนี้
นักเรียนที่ชื่อหย่งซูพยักหน้า เขามองสวี่ซินเหนียน “เจ้ามักจะพูดว่าบทกวีเป็นเส้นทางเล็กๆ แต่ไม่ว่าบทความของเจ้าจะดีเพียงใด ผ่านไปหลายสิบปีจะมีผู้ใดจำเจ้าได้ แต่บทกวีสามารถถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น”
บทกวีเป็นเส้นทางเล็กๆ ไม่อาจปกครองประเทศได้และไม่อาจเป็นประโยชน์ต่อประชาชนได้ เป็นเพียงแค่ศิลปะ… สวี่เอ้อร์หลางอยากจะพูดเช่นนี้ เมื่อคำนึงว่าตอนนี้เขากำลังจะใช้เส้นทางเล็กๆ ที่เป็นเพียงศิลปะเอาใจผู้อาวุโสก็กลืนคำพูดนั้นกลับไปและส่งเสียงร้อง ‘อืม’ ออกมาอย่างคลุมเครือ
หย่งซูมองเขาอย่างประหลาดใจ ไม่คาดคิดว่าจะไม่มีคำโต้แย้งจากอีกฝ่าย
หลี่มู่ไป๋ผู้เล่นระดับชาติถอนหายใจ “พี่หยาง หากสมัยนั้นท่านมีความละเอียดอ่อนได้สักครึ่งหนึ่งของพวกเขา ท่านคงไม่เสียเวลากว่ายี่สิบปี”
ฆราวาสจื่อหยางหัวเราะ
“พูดเช่นนี้ก็ไม่ถูก” จางเซิ่น ปรมาจารย์ด้านกลยุทธ์และยุทธวิธีทางทหารหัวเราะพลางยกชาขึ้นดื่ม “พี่หยางมีความทะเยอทะยานอย่างมาก และเขากำลังปูทางไปสู่ระดับ ‘ก่อชะตา’ ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นฆราวาสจื่อหยางก็ถอนหายใจ “สุดท้ายแล้วก็ยังถูกไล่ออกจากราชการ”
“นี่ไม่ใช่ปัญหาของเจ้า คนจากราชวิทยาลัยหลวงพวกนั้นไม่คิดว่าสำนักอวิ๋นลู่ของพวกเราจะพลิกฟื้นได้”
“หึ คนต่ำทรามที่รู้เพียงการกลั่นแกล้งและใช้กลอุบาย ไม่ถึงสองร้อยปีคนพวกนี้จะกลายเป็นหายนะของโลก”
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์อย่างน่าสนใจ
ลัทธิขงจื๊อมีต้นกำเนิดมาจากนักปราชญ์ และสำนักอวิ๋นลู่ก็เป็นสำนักที่ลูกศิษย์ใหญ่ของนักปราชญ์ก่อตั้งขึ้นเพื่อโอ้อวดลัทธิขงจื๊อดั้งเดิม ความจริงก็เป็นเช่นนี้
แต่เมื่อสองร้อยปีก่อน เพราะความขัดแย้งในประเทศ จึงถูกองค์จักรพรรดิในเวลานั้นปฏิเสธโดยสมบูรณ์
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง