ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 175

บทที่ 175 เล่านิทาน
การกระทำของเว่ยเยวียนนี้วุ่นวายไปเสียหน่อย…กำไรส่วนต่างในฐานะพ่อค้าคนกลางก็ได้รับมากเกินไป…แต่ก็แสดงให้เห็นว่าตราบใดที่สามารถผลิตผงปรุงรสไก่ออกมาจำนวนมหาศาลได้ ต้องได้กำไรเป็นกอบเป็นกำแน่นอน

แบบนี้ถือว่าข้าได้เปิดเส้นทางสู่การเป็นเศรษฐีผู้เรียบง่ายที่มีภรรยาน้อยใหญ่รายล้อมโดยไม่ตั้งใจหรือเปล่านะ

“คิดแล้วว่าความชำนาญในทักษะวิชาช่างแตกต่างกันจริงๆ ถ้ารู้แต่แรกคงไม่ลองทำเองสุ่มสี่สุ่มห้า ไปขอให้เหล่าโหรของสำนักโหราจารย์ชี้นำทางก็สิ้นเรื่อง ส่วนข้าก็จะนั่งเก็บดอกกินผลอยู่หลังม่าน… เสียดายที่รู้ช้าไปหน่อย…” สวี่ชีอันทอดถอนใจเงียบๆ

คดีภาษีจนถึงคดีซังผอ จวบจนตอนนี้ เขาต้องโยนความผิดให้ขุนนางใหญ่ในท้องพระโรงไปมากมาย ผูกติดอยู่กับเว่ยเยวียนอย่างแน่นหนาไปเสียแล้ว

สิ่งที่เขาต้องทำภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ก็คือฝึกฝน รวมถึงคอยช่วยเหลือเว่ยเยวียน ยิ่งสถานะของเว่ยเยวียนมั่นคง อำนาจก็ยิ่งมาก ผลประโยชน์ที่ตัวสวี่ชีอันจะได้รับก็ยิ่งมากขึ้น ที่จริงก็แค่ไม่มีกำลังมากมายไปเล่นแร่แปรธาตุเท่านั้นเอง

…อืม ก็ใช่ว่าจะไม่มีเวลาเสียทีเดียว หลังจากนี้มีเวลาค่อยว่ากัน แผนการในตอนนี้ คือต้องก้าวเข้าสู่ระดับหลอมวิญญาณให้ได้เสียก่อน

ฮว๋ายชิ่งดื่มชาทำให้ริมฝีปากชุ่มชื้น แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “หมู่นี้สงครามระหว่างพรรคต่างๆ ในท้องพระโรงลดธงเงียบเสียงกลองฉับพลัน สาเหตุเป็นเพราะการร่วมมือกันของเว่ยกงกับสมุหราชเลขาธิการหวัง พยายามกวาดล้างพรรคการเมืองน้อยใหญ่ในท้องพระโรง”

“ถือเป็นเรื่องดีนะพ่ะย่ะค่ะ” ดวงตาของสวี่ชีอันเป็นประกาย

ฮว๋ายชิ่งส่ายหน้า “เสด็จพ่อให้สกัดไว้แล้ว การที่สถานการณ์ในท้องพระโรงอลหม่านเป็นประโยชน์ต่อตัวท่าน ยิ่งสงครามพรรคการเมืองดุเดือดขึ้น ท่านก็จะยิ่งฝึกจิตได้อย่างสงบใจ หากเป็นใหญ่เพียงหนึ่งหรือสองพรรค สถานการณ์ในท้องพระโรงก็จะหลุดพ้นจากการควบคุมของเสด็จพ่อ”

ที่บอกเรื่องเหล่านี้กับข้าได้ แสดงว่าฮว๋ายชิ่งเห็นข้าเป็นคนของตนแล้ว…เหตุใดถึงรู้สึกว่านางไว้ใจข้าเกินไป…แม้ข้าจะขี้ประจบประแจง แต่ก็ประจบเจ้าเพียงไม่กี่ครั้งเองนะ…สวี่ชีอันพยักหน้า เอ่ยอย่างคล้อยตาม

“สงครามพรรคการเมืองเป็นดาบสองคม มันรักษาสถานะของฝ่าได้ ย่อมทำให้สถานการณ์ในท้องพระโรงอลหม่านได้เช่นกัน ยิ่งพรรคการเมืองเยอะ การต่อสู้ก็จะยิ่งดุเดือด ต่อไปในระยะยาว คงไม่มีผู้ใดดูแลงานบริหารราชการแผ่นดิน ในหัวเต็มไปด้วยแผนลับและแผนเปิดเผย ทำลายคู่ต่อสู้ทั้งสิ้น”

ในระหว่างการสนทนา สวี่ชีอันสังเกตสีหน้าขององค์หญิงฮว๋ายชิ่งอยู่ตลอด หากนางเผยอารมณ์ไม่พอใจหรือเอือมระอาออกมา สวี่ชีอันก็จะหยุด

กลับกัน สวี่ชีอันก็ใช้ความรู้จากนักประวัติศาสตร์จอมปลอมของตนพูดคุยกับองค์หญิงอย่างพอเหมาะพอควร ใส่อารมณ์สักหน่อย เพื่อได้รับความสนใจจากนางมากยิ่งขึ้น

องค์หญิงฮว๋ายชิ่งผู้คุ้นเคยกับการอ่านหนังสือประวัติศาสตร์หรี่ตา จงใจวางกับดัก “ไม่ใช่ว่าหากยุติสงครามพรรคการเมืองโดยตรงก็จะไม่เกิดหายนะในภายภาคหน้าหรอกหรือ”

สวี่ชีอันส่ายหน้า “ไร้พรรคการเมืองในท้องพระโรง ช่างพิลึกพิลั่น”

ไร้พรรคการเมืองในท้องพระโรง ช่างพิลึกพิลั่น…องค์หญิงฮว๋ายชิ่งลิ้มรสประโยคนี้ครั้งแล้วครั้งเล่าอยู่ในใจ นัยน์ตาส่องประกาย มุมปากกระตุกยิ้มอย่างไม่รู้ตัว

เมื่อสวี่ชีอันเห็นเช่นนี้ จึงเอ่ยขึ้นในบัดดล “ข้าน้อยมีความคิดอันตื้นเขิน ไม่ทราบว่าองค์หญิงใหญ่จะสนพระทัยรับฟังหรือไม่”

เมื่อองค์หญิงฮว๋ายชิ่งได้ยินดังนี้ จึงค่อยๆ ยืดตัวนั่งตรง พยักหน้าพร้อมกล่าว “ไม่เป็นไรลองว่ามาสิ”

สวี่ชีอันพินิจพิเคราะห์พร้อมเอ่ย “อันที่จริงวิธีการตรวจสอบถ่วงดุลท้องพระโรงของฝ่าบาทขาดความเหมาะสมอยู่บางประการ…”

เขาเห็นองค์หญิงฮว๋ายชิ่งหรี่ตา แต่ไม่ได้สั่งให้หยุด เพียงแต่จ้องมองเขาเขม็ง จากนั้นจึงเอ่ยต่อ

“หากต้องการถ่วงดุลอำนาจท้องพระโรง ไม่ต้องมีพรรคการเมืองมากมายขนาดนั้น ขอเพียงสามพรรคที่ดุลกำลังไล่เลี่ยกันก็พอ เพราะไม่ว่าจะอยู่ที่ใด สามเหลี่ยมก็มั่นคงที่สุด…เอ่อ การแต่งงานถือเป็นข้อยกเว้น”

“สามเหลี่ยมหรือ” ฮว๋ายชิ่งได้ยินคำศัพท์ที่ไม่คุ้นเคย

สวี่ชีอันใช้มือสร้างรูปสามเหลี่ยม นางตรัสขึ้นในทันใด “โครงสร้างเช่นนี้มักจะปรากฏอยู่ในการก่อสร้างของพระราชวัง”

องค์หญิงใหญ่ช่างปราดเปรื่องเกินมนุษย์จริงๆ…สวี่ชีอันส่งเสียง ‘อืม’ แล้วเอ่ย “หากมีเพียงสองพรรค พวกเขาอาจร่วมมือเป็นพันธมิตรกันอย่างลับๆ ภายนอกไม่ลงรอยกัน เบื้องหลังชั่วร้ายไม่ต่างกัน ทว่าหากยืนคุมเชิงกันสามขา ระหว่างพวกเขาจะบรรลุผลประโยชน์ร่วมกันได้ยาก สถานการณ์ในท้องพระโรงค่อนข้างจะคงที่ ง่ายแก่การถ่วงดุล”

องค์หญิงฮว๋ายชิ่งทรงครุ่นคิดอยู่นาน ราวกับคิดบางสิ่งออก จึงผุดยิ้มบางๆ ก่อนจะหุบยิ้มอย่างรวดเร็ว คืนสู่ท่าทีอันเยือกเย็น

“นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของสำนักอวิ๋นลู่บอกว่าเจ้าเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งการเล่าเรียน ข้าเข้าใจว่าเจ้าเก่งแต่เขียนบทกวี ใครเล่าจะคิดว่าเจ้าจะมีความเห็นระดับนี้ บัณฑิตในใต้หล้าที่เป็นเฉกเช่นเจ้า มีน้อยเสียจนนับนิ้วได้ นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของสำนักอวิ๋นลู่สายตากว้างไกล ข้าดูถูกเจ้าแล้ว”

ไม่ พวกเขาก็คิดแค่ว่าข้าเขียนบทกวีเก่ง เจ้าไม่ได้ดูถูกข้าเลย…ข้าเป็นนักเลงคีย์บอร์ด ชี้แม่น้ำขุนเขาปลุกใจประชาราษฎร์ด้วยถ้อยคำ หนึ่งเสียงทั่วหล้าไร้ผู้ต่อต้าน

สวี่ชีอันส่งยิ้มกลับอย่างสำรวม

“อันที่จริงนอกจากจะมีพรรคการเมืองหลายฝักหลายฝ่ายแล้ว ราชสำนักยังมีปัญหาร้ายแรงยิ่งอีกอย่าง…องค์หญิง ขอประทานอภัย ข้าน้อยใช้คำไม่เหมาะสม”

องค์หญิงฮว๋ายชิ่งยิ้มบางๆ พร้อมตรัส “คนกันเองปิดประตูคุยกัน ไม่จำเป็นต้องกังวลมากเกินไป”

นัยน์ตาอันเยือกเย็นสดใสราวกับสระน้ำลึกอันเย็นเฉียบของนาง จ้องมองอย่างช้าๆ แสดงถึงความปรารถนาที่อยากจะฟังอย่างเร่งรีบ ทว่าไม่ได้เอื้อนเอ่ยออกไป

สวี่ชีอันสงบใจในทันที แล้วเอ่ย “ฝ่าบาทควบคุมพวกท่านทั้งหลายที่อยู่เหนือท้องพระโรงได้อย่างง่ายดาย โดยปรับหรือปลดออกจากตำแหน่ง ทว่าพระองค์มิอาจควบคุมขุนนางระดับล่างและผู้ใต้บังคับบัญชาได้ โดยเฉพาะอย่างหลัง เป็นตัวการก่อความหายนะที่ทำให้ชีวิตของประชาชนลำบากแร้นแค้น”

ปัญหานี้ราวกับจี้จุดอ่อนขององค์หญิงฮว๋ายชิ่ง ทำให้นางเอาจริงเอาจังขึ้นมาทันที แล้วเอ่ยแทรก “ข้าก็กลัดกลุ้มกับปัญหานี้เช่นกัน”

“อันที่จริงมีสองเหตุผลที่การทุจริตของผู้ใต้บังคับบัญชาของต้าฟ่งสะสมมาจวบจนทุกวันนี้ ประการแรกคือสงครามฝักฝ่ายในท้องพระโรงดุเดือด ละเลยการบริหาร กล่าวให้ชัดเจนก็คือมัวแต่ทะเลาะกันไม่ทำงานทำการ ประการที่สอง ฝ่าบาททรงฝึกจิตมากว่า 21 ปีแล้ว อำนาจควบคุมของราชสำนักต่อระดับล่างลดลงอย่างมาก นำไปสู่ความไร้ระเบียบของผู้ใต้บังคับบัญชา”

องค์หญิงฮว๋ายชิ่งพยักหน้า “เจ้ากับข้าเห็นพ้องต้องกัน ข้าเคยใคร่ครวญถึงปัญหานี้มากกว่าหนึ่งครั้ง แต่คิดอย่างไรก็หาทางแก้ไม่ได้เลย”

องค์หญิงเช่นเจ้า จะคิดเรื่องเช่นนี้ไปทำไมกัน…สวี่ชีอันเอ่ย “เกี่ยวกับเรื่องของผู้ใต้บังคับบัญชา ข้อเสนอแนะของข้าน้อยคือการรวมอำนาจไว้ที่ศูนย์กลาง”

“รวมอำนาจไว้ที่ศูนย์กลาง” องค์หญิงฮว๋ายชิ่งมีน้ำเสียงขอความเห็นอย่างไม่รู้ตัว เพราะนี่ก็เป็นคำศัพท์ที่ไม่คุ้นอีกเช่นกัน

“แม้ในทุกวันนี้ฝ่าบาทจะทรงควบคุมสถานการณ์ในท้องพระโรงอยู่หมัด ทว่าฝ่าบาทจะทรงประคองสถานการณ์ตะลุมบอนระหว่างพรรคต่างๆ ก็ต้องพระราชทานอำนาจที่สอดคล้องกัน ตอนนี้อำนาจของฝ่าบาทกระจัดกระจายเกินไป…” สวี่ชีอันไม่ได้กล่าวต่อ เขาเชื่อว่าด้วยสติปัญญาขององค์หญิง จะเข้าใจความหมายได้

ในทำนองเดียวกัน จะเปลี่ยนแปลงสภาพที่เป็นอยู่อย่างไร ผู้ใดผูกผู้นั้นต้องแก้ จักรพรรดิหยวนจิ่งต้องกลับใจ มุมานะในงานบริหารราชการแผ่นดิน ไม่ก็สละราชสมบัติไปเสีย

เหตุผลที่สวี่ชีอันขัดจังหวะหัวข้อสนทนาก็ด้วยเหตุนี้ หากพูดคุยต่อก็เลี่ยงไม่พ้นต้องสนทนาในหัวข้อต้องห้ามนี้ต่อไป

ทั้งสองสนทนากันอยู่นาน องค์หญิงฮว๋ายชิ่งเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อฆ้องทองแดงใหม่ สวี่ชีอันก็เฉกเช่นกัน องค์หญิงผู้นี้ไม่เพียงปราดเปรื่อง วิชาความรู้ยังกว้างไกล รู้จักหยิบยกประโยคในคัมภีร์ การสนทนากับนางทั้งสบายใจทั้งสูบกำลัง

เมื่อเห็นว่าพูดคุยจนหอมปากหอมคอแล้ว สวี่ชีอันจึงทูลลา ไม่สามารถพูดคุยมากกว่านี้ได้ คุยไปจนแทบจะไม่เหลือสักหยดแล้ว ถ้าคุยต่อข้าคงต้องถกเถียงเรื่องสังคมนิยมกับเจ้าแล้ว

องค์หญิงฮว๋ายชิ่งพยักหน้า แววตาแฝงอารมณ์ค้างคา

เมื่อออกจากพระราชอุทยานขององค์หญิงฮว๋ายชิ่ง สวี่ชีอันก็มุ่งหน้าไปพบหลินอัน ในไม่ช้าก็ได้รับรายงาน และเข้าไปในตำหนักภายใต้การนำของทหารรักษาพระองค์

ขณะนี้เป็นยามซื่อ[1]สองเค่อ (9:30 น.) หลินอันที่อยู่ในชุดกระโปรงสีแดงเพลิงกำลังเตะตะกร้อขนไก่กับนางกำนัล

หากกล่าวว่าสวี่หลิงอินมีพรสวรรค์ในด้านการกิน ยายตัวร้ายก็เป็นผู้มีพรสวรรค์ด้านการละเล่น ตอนนี้นางเตะตะกร้อขนไก่ได้เก่งกว่าผู้ที่ฝึกวรยุทธ์เช่นสวี่ชีอันเสียอีก

ชุดกระโปรงสีแดงเพลิงปลิวสะบัด เอวเล็กบิดไปมา ขาเรียวยาวมักจะรับตะกร้อขนไก่ไว้ได้เสมอราวกับพกจีพีเอสไว้ แล้วเตะมันขึ้นฟ้าใหม่อีกครั้ง

ดังนั้นหากสตรีนางนี้เกิดในยุคของเขา นางก็จะเป็นราชินีน้อยแห่งไนต์คลับที่ตะลอนไปเที่ยวและขลุกอยู่ที่บาร์ทุกวัน

กระโปรงในยุคนี้มิดชิดเกินไป ด้านล่างก็ยังสวมกางเกง…สวี่ชีอันที่มองไม่เห็นสิ่งใดแอบตำหนิอยู่ในใจ แล้วแสดงการคารวะ “องค์หญิง”

เมื่อเห็นสวี่ชีอันมาเยี่ยมเยียน นางก็เตะตะกร้อขนไก่ให้นางกำนัล แล้วเท้าสะเอว “บอกว่าคดีเสร็จแล้วจะมาน้อมทักทายทุกวันมิใช่หรือ”

“พระราชวังแห่งนี้ใช่ว่าข้าน้อยคิดจะเข้าก็เข้าได้…” สวี่ชีอันเดินไปยังศาลา องค์หญิงหลินอันก็ตามมาเช่นกัน

นางหยิบผ้าซับเหงื่อที่นางกำนัลยื่นให้ เช็ดใบหน้าเล็ก จนขนคิ้วเส้นละเอียดเสียทรงยุ่งเหยิง

“หมู่นี้ข้าอยากออกไปเที่ยวเล่นนอกวัง เจ้าไปเป็นเพื่อนข้าที” หลินอันส่งผ้าซับเหงื่อคืนนางกำนัล แล้วล้างมือ

สวี่ชีอันชำเลืองมองนาง “ไม่พ่ะย่ะค่ะ”

หลินอันจ้องเขม็งในทันใด “สุนัขรับใช้”

ทั้งสองเริ่มเล่นฝึกเหยี่ยวอีกครั้ง ยายตัวร้ายพยายามใช้ดวงตาดอกท้ออันทรงเสน่ห์บีบบังคับสวี่ชีอัน แต่สวี่ชีอันใช้ดวงตาปลาตายโต้กลับ

แน่นอนว่าก็เป็นนางที่ยอมแพ้ก่อน ใบหน้ารูปไข่อันอวบอิ่มของนางเขินอายเล็กน้อย ละสายตาออกไป แล้วเอ่ยอย่างโกรธเคือง “หากเป็นฮว๋ายชิ่ง เจ้าจะทำตามคำสั่งหรือไม่”

ฮว๋ายชิ่งไม่ให้ข้าทำเรื่องถึงตายเช่นนี้หรอก ลักพาตัวองค์หญิงออกจากวังต้องโดนตัดหัว…สวี่ชีอันหยิบขวดลายครามออกจากอก

“ของที่หมู่นี้ข้าบังเอิญทำขึ้น ใส่ลงไปยามที่ประกอบอาหาร ช่วยเพิ่มความอร่อยได้ มันเรียกว่าผงปรุงรสไก่”

ต่อหน้ายายตัวร้าย เขาค่อนข้างทำตัวตามสบาย ไม่เคยแทนตนว่าข้าน้อย ที่ผ่านมาองค์หญิงรองก็ไม่ได้ใส่ใจ

“ผงปรุงรสไก่…ช่างเป็นชื่อที่แปลกนัก” หลินอันหัวเราะคิกคัก “ไม่มีเงินใช้อีกแล้วใช่ไหม ข้าจะให้รางวัลเจ้าเป็นภาพอีกภาพหนึ่ง อืม ในพระคลังส่งพู่กันหมึกงาช้างมา ว่ากันว่ามีค่ายิ่งนัก ข้าก็ไม่ชอบเขียนเท่าไหร่ จะยกให้เจ้าแล้วกัน”

สวี่ชีอันเอ่ยทันที “องค์หญิงเข้าใจผิดแล้ว ข้าน้อยมิได้มาเพื่อรางวัล ข้าน้อยยินดีเป็นวัวเป็นม้า[2]เพื่อองค์หญิง”

หลินอันเป็นคนชอบฟังถ้อยคำหวาน ก็ดีใจในทันใด “เช่นนั้นเจ้าต้องการสิ่งใด”

“โปรดองค์หญิงทรงคิดเป็นเงินเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

“ต้องการเงินก็ตกลง…” ยายตัวร้ายใช้มือดันแก้ม จ้องมองเขาพร้อมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ นัยน์ตาดอกท้ออันเลื่อนลอยคู่นั้น ราวกับกำลังจ้องมองคนรัก

“ข้าเบื่อเหลือเกิน เล่นตะกร้อขนไก่จนเอียนแล้ว เจ้าเล่านิทานให้ข้าฟังสิ เล่าไซอิ๋วแบบครั้งก่อน”

“ได้พ่ะย่ะค่ะองค์หญิง ครั้งนี้ข้าจะเล่าเรื่อง ‘ยืมพัดใบกล้วยสามหน’ ให้พระองค์ฟัง” สวี่ชีอันดื่มน้ำชาที่นางกำนัลมอบให้ ให้คอชุ่มชื่น

“กาลครั้งหนึ่ง พระถังซําจั๋งและลูกศิษย์เดินทางมาถึงภูเขาเปลวเพลิง ไฟลุกโหมกระหน่ำ มิอาจลอยผ่านไปได้ ท่านเจ้าที่บอกซุนหงอคงว่า หากต้องการดับไฟของภูเขาเปลวเพลิง ก็ต้องขอพัดใบกล้วยมาจากองค์หญิงพัดเหล็ก กล่าวถึงองค์หญิงพัดเหล็ก นางเป็นชายาของราชาปีศาจกระทิง”

“ราชาปีศาจกระทิง เป็นพี่น้องร่วมสาบานกับซุนหงอคง” ยายตัวร้ายความจำดี ตะโกนออกมาเสียงหวาน

“ใช่พ่ะย่ะค่ะ ดังนั้นซุนหงอคงกับฮูหยินกระทิง ยังมีความสัมพันธ์ที่ไม่มีผู้ใดอาจทราบ”

“ความสัมพันธ์อะไร”

“องค์หญิงฟังข้าเล่าต่อ…” สวี่ชีอันเหลือบมองนางกำนัล “เจ้าไปรอด้านนอก”

นางกำนัลออกไปอย่างรู้ความ

สวี่ชีอันวางใจในทันที แล้วเล่าต่อ “ซุนหงอคงมาถึงถ้ำใบกล้วย องค์หญิงพัดเหล็กต้อนรับเข้าไปอย่างอบอุ่น ทว่าไม่ยอมให้ยืมพัดใบกล้วย ทั้งสองจึงเริ่มตะลุมบอนกันอย่างดุเดือด ซุนหงอคงกลายร่างเป็นแมลงเจาะเข้าไปในท้องขององค์หญิงพัดเหล็ก แล้วกล่าว ‘พี่สะใภ้ ข้าอยู่ข้างในตัวท่านแล้ว’ องค์หญิงพัดเหล็กดิ้นทุรนทุรายอยู่กับพื้นอย่างเจ็บปวด ยอมพ่ายแพ้ ขอเพียงซุนหงอคงออกมา นางจะมอบพัดใบกล้วยให้ ซุนหงอคงกล่าว ‘พี่สะใภ้อ้าปาก ข้าจะออกไปแล้ว’ ทันใดนั้นเอง ราชาปีศาจกระทิงก็อยู่ที่นอกประตู ก็ได้เห็นเรื่องทั้งหมดกับตา”

“เช่นนั้นเขาช่วยใคร” หลินอันเอ่ยอย่างกลัดกลุ้ม “คนหนึ่งก็พี่น้องร่วมสาบาน อีกคนหนึ่งก็ชายาที่แต่งงานด้วยครั้งแรก ลำบากใจทั้งสองทาง”

“เปล่า ราชาปีศาจกระทิงหย่าร้างกับองค์หญิงพัดเหล็กพ่ะย่ะค่ะ”

…………………………………………………………

[1] ยามซื่อ หมายถึงเวลา 09.00-10.59 น.

[2] เป็นวัวเป็นม้า เป็นสำนวนจีน หมายถึง ยอมถูกบังคับเยี่ยงม้าเยี่ยงวัว เชื่อฟังคำพูดผู้อื่น โดยมากใช้แสดงถึงการตอบแทนบุญคุณของผู้ที่รู้คุณ นอกจากนี้ยังหมายถึง การทำงานอย่างตรากตรำ การใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง