ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 175

บทที่ 175 เล่านิทาน
การกระทำของเว่ยเยวียนนี้วุ่นวายไปเสียหน่อย…กำไรส่วนต่างในฐานะพ่อค้าคนกลางก็ได้รับมากเกินไป…แต่ก็แสดงให้เห็นว่าตราบใดที่สามารถผลิตผงปรุงรสไก่ออกมาจำนวนมหาศาลได้ ต้องได้กำไรเป็นกอบเป็นกำแน่นอน

แบบนี้ถือว่าข้าได้เปิดเส้นทางสู่การเป็นเศรษฐีผู้เรียบง่ายที่มีภรรยาน้อยใหญ่รายล้อมโดยไม่ตั้งใจหรือเปล่านะ

“คิดแล้วว่าความชำนาญในทักษะวิชาช่างแตกต่างกันจริงๆ ถ้ารู้แต่แรกคงไม่ลองทำเองสุ่มสี่สุ่มห้า ไปขอให้เหล่าโหรของสำนักโหราจารย์ชี้นำทางก็สิ้นเรื่อง ส่วนข้าก็จะนั่งเก็บดอกกินผลอยู่หลังม่าน… เสียดายที่รู้ช้าไปหน่อย…” สวี่ชีอันทอดถอนใจเงียบๆ

คดีภาษีจนถึงคดีซังผอ จวบจนตอนนี้ เขาต้องโยนความผิดให้ขุนนางใหญ่ในท้องพระโรงไปมากมาย ผูกติดอยู่กับเว่ยเยวียนอย่างแน่นหนาไปเสียแล้ว

สิ่งที่เขาต้องทำภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ก็คือฝึกฝน รวมถึงคอยช่วยเหลือเว่ยเยวียน ยิ่งสถานะของเว่ยเยวียนมั่นคง อำนาจก็ยิ่งมาก ผลประโยชน์ที่ตัวสวี่ชีอันจะได้รับก็ยิ่งมากขึ้น ที่จริงก็แค่ไม่มีกำลังมากมายไปเล่นแร่แปรธาตุเท่านั้นเอง

…อืม ก็ใช่ว่าจะไม่มีเวลาเสียทีเดียว หลังจากนี้มีเวลาค่อยว่ากัน แผนการในตอนนี้ คือต้องก้าวเข้าสู่ระดับหลอมวิญญาณให้ได้เสียก่อน

ฮว๋ายชิ่งดื่มชาทำให้ริมฝีปากชุ่มชื้น แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “หมู่นี้สงครามระหว่างพรรคต่างๆ ในท้องพระโรงลดธงเงียบเสียงกลองฉับพลัน สาเหตุเป็นเพราะการร่วมมือกันของเว่ยกงกับสมุหราชเลขาธิการหวัง พยายามกวาดล้างพรรคการเมืองน้อยใหญ่ในท้องพระโรง”

“ถือเป็นเรื่องดีนะพ่ะย่ะค่ะ” ดวงตาของสวี่ชีอันเป็นประกาย

ฮว๋ายชิ่งส่ายหน้า “เสด็จพ่อให้สกัดไว้แล้ว การที่สถานการณ์ในท้องพระโรงอลหม่านเป็นประโยชน์ต่อตัวท่าน ยิ่งสงครามพรรคการเมืองดุเดือดขึ้น ท่านก็จะยิ่งฝึกจิตได้อย่างสงบใจ หากเป็นใหญ่เพียงหนึ่งหรือสองพรรค สถานการณ์ในท้องพระโรงก็จะหลุดพ้นจากการควบคุมของเสด็จพ่อ”

ที่บอกเรื่องเหล่านี้กับข้าได้ แสดงว่าฮว๋ายชิ่งเห็นข้าเป็นคนของตนแล้ว…เหตุใดถึงรู้สึกว่านางไว้ใจข้าเกินไป…แม้ข้าจะขี้ประจบประแจง แต่ก็ประจบเจ้าเพียงไม่กี่ครั้งเองนะ…สวี่ชีอันพยักหน้า เอ่ยอย่างคล้อยตาม

“สงครามพรรคการเมืองเป็นดาบสองคม มันรักษาสถานะของฝ่าได้ ย่อมทำให้สถานการณ์ในท้องพระโรงอลหม่านได้เช่นกัน ยิ่งพรรคการเมืองเยอะ การต่อสู้ก็จะยิ่งดุเดือด ต่อไปในระยะยาว คงไม่มีผู้ใดดูแลงานบริหารราชการแผ่นดิน ในหัวเต็มไปด้วยแผนลับและแผนเปิดเผย ทำลายคู่ต่อสู้ทั้งสิ้น”

ในระหว่างการสนทนา สวี่ชีอันสังเกตสีหน้าขององค์หญิงฮว๋ายชิ่งอยู่ตลอด หากนางเผยอารมณ์ไม่พอใจหรือเอือมระอาออกมา สวี่ชีอันก็จะหยุด

กลับกัน สวี่ชีอันก็ใช้ความรู้จากนักประวัติศาสตร์จอมปลอมของตนพูดคุยกับองค์หญิงอย่างพอเหมาะพอควร ใส่อารมณ์สักหน่อย เพื่อได้รับความสนใจจากนางมากยิ่งขึ้น

องค์หญิงฮว๋ายชิ่งผู้คุ้นเคยกับการอ่านหนังสือประวัติศาสตร์หรี่ตา จงใจวางกับดัก “ไม่ใช่ว่าหากยุติสงครามพรรคการเมืองโดยตรงก็จะไม่เกิดหายนะในภายภาคหน้าหรอกหรือ”

สวี่ชีอันส่ายหน้า “ไร้พรรคการเมืองในท้องพระโรง ช่างพิลึกพิลั่น”

ไร้พรรคการเมืองในท้องพระโรง ช่างพิลึกพิลั่น…องค์หญิงฮว๋ายชิ่งลิ้มรสประโยคนี้ครั้งแล้วครั้งเล่าอยู่ในใจ นัยน์ตาส่องประกาย มุมปากกระตุกยิ้มอย่างไม่รู้ตัว

เมื่อสวี่ชีอันเห็นเช่นนี้ จึงเอ่ยขึ้นในบัดดล “ข้าน้อยมีความคิดอันตื้นเขิน ไม่ทราบว่าองค์หญิงใหญ่จะสนพระทัยรับฟังหรือไม่”

เมื่อองค์หญิงฮว๋ายชิ่งได้ยินดังนี้ จึงค่อยๆ ยืดตัวนั่งตรง พยักหน้าพร้อมกล่าว “ไม่เป็นไรลองว่ามาสิ”

สวี่ชีอันพินิจพิเคราะห์พร้อมเอ่ย “อันที่จริงวิธีการตรวจสอบถ่วงดุลท้องพระโรงของฝ่าบาทขาดความเหมาะสมอยู่บางประการ…”

เขาเห็นองค์หญิงฮว๋ายชิ่งหรี่ตา แต่ไม่ได้สั่งให้หยุด เพียงแต่จ้องมองเขาเขม็ง จากนั้นจึงเอ่ยต่อ

“หากต้องการถ่วงดุลอำนาจท้องพระโรง ไม่ต้องมีพรรคการเมืองมากมายขนาดนั้น ขอเพียงสามพรรคที่ดุลกำลังไล่เลี่ยกันก็พอ เพราะไม่ว่าจะอยู่ที่ใด สามเหลี่ยมก็มั่นคงที่สุด…เอ่อ การแต่งงานถือเป็นข้อยกเว้น”

“สามเหลี่ยมหรือ” ฮว๋ายชิ่งได้ยินคำศัพท์ที่ไม่คุ้นเคย

สวี่ชีอันใช้มือสร้างรูปสามเหลี่ยม นางตรัสขึ้นในทันใด “โครงสร้างเช่นนี้มักจะปรากฏอยู่ในการก่อสร้างของพระราชวัง”

องค์หญิงใหญ่ช่างปราดเปรื่องเกินมนุษย์จริงๆ…สวี่ชีอันส่งเสียง ‘อืม’ แล้วเอ่ย “หากมีเพียงสองพรรค พวกเขาอาจร่วมมือเป็นพันธมิตรกันอย่างลับๆ ภายนอกไม่ลงรอยกัน เบื้องหลังชั่วร้ายไม่ต่างกัน ทว่าหากยืนคุมเชิงกันสามขา ระหว่างพวกเขาจะบรรลุผลประโยชน์ร่วมกันได้ยาก สถานการณ์ในท้องพระโรงค่อนข้างจะคงที่ ง่ายแก่การถ่วงดุล”

องค์หญิงฮว๋ายชิ่งทรงครุ่นคิดอยู่นาน ราวกับคิดบางสิ่งออก จึงผุดยิ้มบางๆ ก่อนจะหุบยิ้มอย่างรวดเร็ว คืนสู่ท่าทีอันเยือกเย็น

“นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของสำนักอวิ๋นลู่บอกว่าเจ้าเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งการเล่าเรียน ข้าเข้าใจว่าเจ้าเก่งแต่เขียนบทกวี ใครเล่าจะคิดว่าเจ้าจะมีความเห็นระดับนี้ บัณฑิตในใต้หล้าที่เป็นเฉกเช่นเจ้า มีน้อยเสียจนนับนิ้วได้ นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของสำนักอวิ๋นลู่สายตากว้างไกล ข้าดูถูกเจ้าแล้ว”

ไม่ พวกเขาก็คิดแค่ว่าข้าเขียนบทกวีเก่ง เจ้าไม่ได้ดูถูกข้าเลย…ข้าเป็นนักเลงคีย์บอร์ด ชี้แม่น้ำขุนเขาปลุกใจประชาราษฎร์ด้วยถ้อยคำ หนึ่งเสียงทั่วหล้าไร้ผู้ต่อต้าน

สวี่ชีอันส่งยิ้มกลับอย่างสำรวม

“อันที่จริงนอกจากจะมีพรรคการเมืองหลายฝักหลายฝ่ายแล้ว ราชสำนักยังมีปัญหาร้ายแรงยิ่งอีกอย่าง…องค์หญิง ขอประทานอภัย ข้าน้อยใช้คำไม่เหมาะสม”

องค์หญิงฮว๋ายชิ่งยิ้มบางๆ พร้อมตรัส “คนกันเองปิดประตูคุยกัน ไม่จำเป็นต้องกังวลมากเกินไป”

นัยน์ตาอันเยือกเย็นสดใสราวกับสระน้ำลึกอันเย็นเฉียบของนาง จ้องมองอย่างช้าๆ แสดงถึงความปรารถนาที่อยากจะฟังอย่างเร่งรีบ ทว่าไม่ได้เอื้อนเอ่ยออกไป

สวี่ชีอันสงบใจในทันที แล้วเอ่ย “ฝ่าบาทควบคุมพวกท่านทั้งหลายที่อยู่เหนือท้องพระโรงได้อย่างง่ายดาย โดยปรับหรือปลดออกจากตำแหน่ง ทว่าพระองค์มิอาจควบคุมขุนนางระดับล่างและผู้ใต้บังคับบัญชาได้ โดยเฉพาะอย่างหลัง เป็นตัวการก่อความหายนะที่ทำให้ชีวิตของประชาชนลำบากแร้นแค้น”

ปัญหานี้ราวกับจี้จุดอ่อนขององค์หญิงฮว๋ายชิ่ง ทำให้นางเอาจริงเอาจังขึ้นมาทันที แล้วเอ่ยแทรก “ข้าก็กลัดกลุ้มกับปัญหานี้เช่นกัน”

“อันที่จริงมีสองเหตุผลที่การทุจริตของผู้ใต้บังคับบัญชาของต้าฟ่งสะสมมาจวบจนทุกวันนี้ ประการแรกคือสงครามฝักฝ่ายในท้องพระโรงดุเดือด ละเลยการบริหาร กล่าวให้ชัดเจนก็คือมัวแต่ทะเลาะกันไม่ทำงานทำการ ประการที่สอง ฝ่าบาททรงฝึกจิตมากว่า 21 ปีแล้ว อำนาจควบคุมของราชสำนักต่อระดับล่างลดลงอย่างมาก นำไปสู่ความไร้ระเบียบของผู้ใต้บังคับบัญชา”

องค์หญิงฮว๋ายชิ่งพยักหน้า “เจ้ากับข้าเห็นพ้องต้องกัน ข้าเคยใคร่ครวญถึงปัญหานี้มากกว่าหนึ่งครั้ง แต่คิดอย่างไรก็หาทางแก้ไม่ได้เลย”

องค์หญิงเช่นเจ้า จะคิดเรื่องเช่นนี้ไปทำไมกัน…สวี่ชีอันเอ่ย “เกี่ยวกับเรื่องของผู้ใต้บังคับบัญชา ข้อเสนอแนะของข้าน้อยคือการรวมอำนาจไว้ที่ศูนย์กลาง”

“รวมอำนาจไว้ที่ศูนย์กลาง” องค์หญิงฮว๋ายชิ่งมีน้ำเสียงขอความเห็นอย่างไม่รู้ตัว เพราะนี่ก็เป็นคำศัพท์ที่ไม่คุ้นอีกเช่นกัน

“แม้ในทุกวันนี้ฝ่าบาทจะทรงควบคุมสถานการณ์ในท้องพระโรงอยู่หมัด ทว่าฝ่าบาทจะทรงประคองสถานการณ์ตะลุมบอนระหว่างพรรคต่างๆ ก็ต้องพระราชทานอำนาจที่สอดคล้องกัน ตอนนี้อำนาจของฝ่าบาทกระจัดกระจายเกินไป…” สวี่ชีอันไม่ได้กล่าวต่อ เขาเชื่อว่าด้วยสติปัญญาขององค์หญิง จะเข้าใจความหมายได้

ในทำนองเดียวกัน จะเปลี่ยนแปลงสภาพที่เป็นอยู่อย่างไร ผู้ใดผูกผู้นั้นต้องแก้ จักรพรรดิหยวนจิ่งต้องกลับใจ มุมานะในงานบริหารราชการแผ่นดิน ไม่ก็สละราชสมบัติไปเสีย

เหตุผลที่สวี่ชีอันขัดจังหวะหัวข้อสนทนาก็ด้วยเหตุนี้ หากพูดคุยต่อก็เลี่ยงไม่พ้นต้องสนทนาในหัวข้อต้องห้ามนี้ต่อไป

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง