ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 176

บทที่ 176 ปฏิบัติหน้าที่นอกสถานที่
อยู่ที่ตำหนักขององค์หญิงรองได้ไม่นานนัก ตอนบ่ายสวี่ชีอันยังต้องออกลาดตระเวนตามท้องถนน จึงได้ทูลลาองค์หญิง

ยายตัวร้ายยังอาลัยอาวรณ์ จึงเลิกคิ้วพลางกล่าวว่า “สวี่หนิงเยี่ยน ข้าสามารถทูลเสด็จพ่อ ให้เจ้าเข้ามารับตำแหน่งในวัง เป็นทหารรักษาพระองค์ของข้าได้นะ”

เป็นทหารรักษาพระองค์ของพระองค์จะไปมีอนาคตอะไร พระองค์คิดจะให้ข้าเป็นทาสรับใช้ของพระองค์จริงๆ หรือ… สวี่ชีอันพูดอย่างจนใจว่า “องค์หญิง กระหม่อมยังมีปณิธานอยู่พ่ะย่ะค่ะ”

เห็นๆ กันอยู่ว่าเป็นข้ารับใช้องค์หญิง มีอนาคตสู้รับใช้เว่ยเยวียนไม่ได้ จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงโปรดยายตัวร้าย เพราะนอกจากจะออดอ้อนเก่งแล้ว ยังน่ารักไร้เดียงสา ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมอีกด้วย

ส่วนองค์หญิงฮว๋ายชิ่ง ต้องการช่วยคนสนิทให้มีตำแหน่งสูงขึ้น จึงต้องหาโอกาส เช่นคดีทะเลสาบซังผอ พระราชโอรสคนอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน

ยายตัวร้ายขอร้องให้จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงยกเว้นโทษตายให้เขาแต่ไม่เป็นผล สวี่ชีอันก็มองจักรพรรดิหยวนจิ่งอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว

“องค์หญิงรอง จะทรงทำเช่นนั้นทำไม กระหม่อมเป็นเพียงหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลผู้ต่ำต้อยเท่านั้น” สวี่ชีอันคิดในใจ ‘เราไม่เหมาะสมกัน’

“คนอื่นไม่มีใครตลกเหมือนเจ้า ชอบพูดจากับข้าด้วยท่าทางระมัดระวังตัว” หลินอันเบ้ปาก พร้อมกับแกว่งเท้า “ข้าไม่ชอบเรียนหนังสือ ศิลปะการดนตรีข้าก็ไม่ถนัด อยู่แต่ในวังเบื่อจะตายอยู่แล้ว ตอนเด็กๆ เสด็จพี่องค์รัชทายาทยังเล่นเป็นเพื่อนข้า แต่ตอนนี้พอข้าไปหาพระองค์ พระองค์ก็จะขมวดคิ้ว และมักจะตรัสว่ามีงานสำคัญ มีงานสำคัญ”

ช่างเป็นองค์หญิงที่น่าสงสารจริงๆ นกคีรีบูนปกติจะถูกเลี้ยงอยู่ในกรงที่สวยงาม… แต่องค์หญิงฮว๋ายชิ่งก็มีอิสระในการเข้าออกพระราชวังมิใช่หรือ… สวี่ชีอันคิดอยู่ครู่หนึ่งก็คิดตก

ฮว๋ายชิ่งเป็นผู้หญิงเข้มแข็งประเภทที่มอบทหารและม้าสามพันตัวให้กับพระองค์ พระองค์ก็สามารถพิชิตชัยได้ด้วยตัวพระองค์เอง มีความรู้กว้างขวาง ความสามารถล้นเหลือ ในบรรดาพระราชโอรสและพระราชธิดาของจักรพรรดิหยวนจิ่งทั้งหมด แทบจะไม่มีใครที่มีความรู้ความสามารถและเล่ห์เหลี่ยมเทียบเท่าฮว๋ายชิ่งได้เลย

ส่วนหลินอันนั้นแตกต่างกัน พระองค์เป็นองค์หญิงน้อยที่ดื้อรั้นเอาแต่ใจ ไร้เล่ห์เหลี่ยม และถูกคนโฉดชั่วมักใหญ่ใฝ่สูงหลอกลวงได้ง่าย

สวี่ชีอันลบตัวเองออกจากบัญชี ‘คนโฉดชั่วมักใหญ่ใฝ่สูง’ โดยอัตโนมัติ

“ความจริงเรื่องนี้ง่ายมาก องค์หญิงทรงย้ายกลับไปที่ตำหนักของพระองค์เองก็หมดเรื่อง เขตพระราชฐานย่อมสนุกกว่ากำแพงพระราชวังอยู่แล้ว” สวี่ชีอันกล่าว

หลินอันเป็นองค์หญิงที่มีตำแหน่งบรรดาศักดิ์ มีตำหนักของพระองค์เองในเขตพระราชฐาน

“ถ้าเช่นนั้นพรุ่งนี้เจ้ามาเข้าเฝ้าข้าที่ตำหนักหลินอัน” ยายตัวร้ายกล่าว

องค์หญิงหลินอันทรงประทับเกี้ยวมาถึงตำหนักจิ่งซิ่วก่อนเวลาอาหารกลางวัน วันนี้เฉินกุ้ยเฟยได้ส่งคนไปแจ้งโอรสและธิดา เชิญทั้งสองพระองค์เสด็จมาเสวยพระกระยาหารที่ตำหนักจิ่งซิ่ว

ขณะเสวย องค์รัชทายาททรงเสวยพระกระยาหารที่เฉินกุ้ยเฟยเตรียมไว้ด้วยความตั้งใจ จู่ๆ ก็ตรัสขึ้นว่า “ได้ยินเหล่าขุนนางในวังลือกันว่า เว่ยเยวียนได้ถวายตำรับลับแก่ฮองเฮา จนรักษาพระอาการเบื่อพระกระยาหารของฮองเฮาหายเป็นปลิดทิ้ง”

เฉินกุ้ยเฟยแย้มพระสรวล “มีเรื่องเช่นนี้จริง ดูเหมือนว่าจะเรียกว่า…ผงปรุงรสไก่ละมั้ง ได้ยินมาว่าเติมลงไปเล็กน้อยตอนปรุงอาหาร รสชาติก็จะเปลี่ยนไปจนยากจะลืมเลือนเลยทีเดียว”

องค์รัชทายาททรงเห็นถึงความปรารถนาของเฉินกุ้ยเฟย “หากเสด็จแม่มีพระประสงค์ที่จะลองลิ้มรส ลูกจะไปทูลขอจากฮองเฮา”

เฉินกุ้ยเฟยยิ้มและตรัสว่า “ได้ยินมาว่าขนาดองค์หญิงฮว๋ายชิ่งไปทูลขอ ฮองเฮายังไม่ทรงประทานให้เลย”

สองแม่ลูกต่างรู้สึกจนใจ

องค์หญิงหลินอันมองพระมารดาและพระเชษฐา ก็เอ่ยถามเพื่อขอความแน่ใจ “เรียกว่าผงปรุงรสไก่หรือ”

องค์รัชทายาทมองมาที่พระองค์ “เจ้าก็เคยได้ยินด้วยหรือ?”

องค์หญิงหลินอันผู้ซึ่งไม่คิดอะไรมากนั้นไม่มีเวลาที่จะสนใจข่าวคราวของวังหลัง ทรงส่ายพระพักตร์ แล้วตรัสว่า “วันนี้สวี่หนิงเยี่ยนมอบของสิ่งหนึ่งให้แก่ข้า เรียกว่าผงปรุงรสไก่เช่นกัน”

พระองค์ทรงเรียกนางกำนัลแล้วรับสั่ง “กลับไปเอาที่ตำหนักมาให้ข้า”

เวลาผ่านไปหนึ่งเค่อ นางกำนัลกลับมาพร้อมอาการหายใจหอบ โดยนำขวดกระเบื้องที่วางไว้ที่ตำหนักกลับมาด้วย

องค์รัชทายาทรับขวดกระเบื้องมาก่อน จากนั้นทรงดึงจุกไม้ก๊อกออก แล้วดมกลิ่น ได้กลิ่นหอมแสบจมูกเล็กน้อย เพียงแค่ดมไม่สามารถรับรู้ถึงความมหัศจรรย์ของสิ่งนี้ได้

“ให้ห้องเครื่องนำอาหารเหล่านี้ไปอุ่น แล้วเติมสิ่งนี้ลงไปด้วย…ผงปรุงรสไก่ พวกเรามาลองชิมกัน”

ข้อเสนอขององค์รัชทายาทได้รับการสนับสนุนจากพระมารดาและพระขนิษฐา

ไม่นาน นางกำนัลก็ยกอาหารที่อุ่นเสร็จแล้วกลับมา แม่ลูกทั้งสามไม่ขยับตะเกียบ เอาแต่มองนางกำนัล

นางกำนัลใช้เข็มเงินทดสอบยาพิษก่อน จากนั้นจึงหยิบชามและตะเกียบมา ลองชิมทีละจาน หลังจากชิมอาหารครบทุกจานแล้ว องค์รัชทายาทเห็นว่าดวงตาของนางดูเหมือนยังอยากชิมต่อ แต่ก็ไม่กล้ากินเยอะ จ้องมองอาหารอย่างอาลัยอาวรณ์

หลังจากรอครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่านางกำนัลไม่เป็นอะไร องค์รัชทายาทจึงเร่งว่า “ตักน้ำแกงตะพาบน้ำให้เราชามหนึ่ง”

นางกำนัลตักน้ำแกง พร้อมกับพูดยิ้มๆ ว่า “พระองค์ทรงมีสายตาเฉียบแหลม รสชาติของน้ำแกงนี้ยากจะลืมเลือนเพคะ”

องค์รัชทายาททรงรับมาอย่างอดใจไม่ไหว ชิมหนึ่งคำ แล้วเอ่ยชมว่า “เป็นรสชาติที่แปลกใหม่ทีเดียว…เสด็จแม่ หลินอัน ลองชิมเร็ว”

เฉินกุ้ยเฟยไม่ได้เห็นองค์รัชทายาทสดชื่นแบบนี้มานานแล้ว เห็นดังนั้นก็มีความสุขไปด้วย

หลินอันลงมือตั้งนานแล้ว พระองค์ไม่ได้เสวยน้ำแกงตะพาบน้ำ แต่พระองค์ทรงคีบผัก เคี้ยวๆ ไป ก็คีบคำที่สองและสามโดยไม่รู้ตัว…

หลังเสวยพระกระยาหารกลางวันเรียบร้อยแล้ว เฉินกุ้ยเฟยซึ่งไม่ได้เห็นพระโอรสและพระธิดาเสวยพระกระยาหารอย่างมีความสุขมาเป็นเวลานาน ก็รู้สึกดีพระทัยเป็นอย่างยิ่ง

“ขวดเล็กๆ แค่นี้ ช่างเป็นของดีจริงๆ …พ่อครัวของห้องเครื่องต้องใช้ความพยายามมากเพียงใดจึงจะสามารถบรรลุถึงระดับนี้ได้” องค์รัชทายาทถอนใจ แล้วก็ทรงนำขวดกระเบื้องใส่ไปในแขนเสื้อ

ยายตัวร้ายเบิกตาโต กระโจนเข้าไป แล้วดึงแขนเสื้อขององค์รัชทายาทไว้ เลิกคิ้วแล้วตรัสว่า “ของหม่อมฉัน!”

“สวี่ชีอันเป็นคนของเจ้าไม่ใช่หรือ เจ้าไปเอาจากเขาอีกก็ได้” องค์รัชทายาทตรัสอย่างเคร่งขรึมว่า “ปล่อยมือ”

“หม่อมฉันไม่ปล่อย นี่เป็นของของหม่อมฉัน”

สองพี่น้องยื้อยุดกันไปมา แล้วจึงให้เฉินกุ้ยเฟยตัดสิน เฉินกุ้ยเฟยตรัสด้วยความรู้สึกทั้งขำทั้งโกรธว่า “อายุเท่าไหร่กันแล้ว ยังทำตัวเหมือนเด็กกันอีก ถ้าให้แม่ตัดสิน ก็เก็บไว้ที่แม่นี่แหละ ถึงจะยุติธรรม”

“…” องค์รัชทายาทและหลินอันหันศีรษะกลับไปยื้อยุดกันต่อ

…..

“ที่แท้ของที่สวี่หนิงเยี่ยนมอบให้ข้ามีค่ามากมายขนาดนี้เชียว” ยายตัวร้ายประทับบนเกี้ยว เล่นขวดกระเบื้องที่เหลือผงปรุงรสไก่เพียงหนึ่งในสามเท่านั้น

ความรู้สึกไม่พอใจที่มีต่อสวี่ชีอันของนางค่อยๆ จางหายไป นางไม่ได้ทรงโง่เขลาจริงๆ สวี่ชีอันเอาเปรียบนาง นางก็ทรงปิดตาข้างหนึ่ง เพราะถ้าหากไม่ดึงเขามาเป็นพวก ฆ้องทองแดงคนนี้ก็จะหันไปซบอกฮว๋ายชิ่ง แล้วเขาก็พูดจาน่าฟัง แถมขี้เล่น หลินอันจึงรู้สึกเสียดายตัวเขามาก ภาพวาดที่ไร้ประโยชน์และเงินบางส่วน ให้ไปแล้วก็แล้วกันไป

ฆ้องทองแดงผู้นี้ตีสองหน้าและกะล่อนเหลือเกิน ข้าจะต้องพิสูจน์ให้แน่ชัด… หลินอันตรัสขึ้นทันทีว่า “ไปที่ตำหนักของฮว๋ายชิ่ง”

เมื่อเสด็จมาถึงพระราชอุทยานขององค์หญิงฮว๋ายชิ่ง หลินอันเชิดหน้าที่ขาวราวกับหิมะ ไม่ใส่ใจทหารรักษาพระองค์ที่คอยกีดขวาง และพบกับองค์ฮว๋ายชิ่งที่จงเกลียดจงชังในห้องโถงด้านหน้า

องค์หญิงที่ทรงพระสิริโฉมทั้งสองพระองค์ส่องประกายแข่งกัน พระพักตร์งดงามของฮว๋ายชิ่งขมวดคิ้วแน่น “เจ้ามาทำอะไรที่นี่”

“ได้ยินมาว่าเว่ยเยวียนถวายตำรับลับให้เสด็จแม่ ช่วยรักษาอาการเบื่อพระกระยาหารของเสด็จแม่ได้ ในวังลือกันไปทั่ว” หลินอันทรงพระดำเนินไปที่ชั้นไม้ กระโปรงแดงลากพื้น ถือขวดกระเบื้องเล่นในมือ พร้อมตรัสอย่างสบายอารมณ์ว่า “พี่ฮว๋ายชิ่งมีหรือไม่”

“ไม่มี” ฮว๋ายชิ่งตรัสเสียงเรียบ

“ไม่มีจริงหรือ” หลินอันหันมามองทันที ดวงตาเป็นประกาย พระพักตร์รูปไข่งดงามนั้นเขียนคำว่า ‘เตรียมจู่โจม’เอาไว้

องค์หญิงฮว๋ายชิ่งจ้องที่นางและตรัสเบาๆ ว่า “จะโกหกเจ้าเพื่ออะไร”

“พระองค์ไม่มีหม่อมฉันก็สบายใจแล้ว” หลินอัน ไม่ใช่สิ ยายตัวร้ายหยิบขวดกระเบื้องออกมา แล้วเขย่าอย่างร่าเริง พร้อมกับยิ้มแย้ม “แต่หม่อมฉันมีนะ!”

“…”

เมื่อเห็นสีหน้าของฮว๋ายชิ่งผิดปกติ ก็รู้สึกดีใจยิ่งกว่าเดิม แต่เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกทุบตี เมื่อเห็นว่าได้ผลแล้วก็หยุด หันหลัง ลอยหน้าลอยตาแล้วเดินจากไป

“หม่อมฉันไปก่อนนะเพคะ ไม่ต้องส่ง อ้อ จริงสิ ของสิ่งนี้สวี่หนิงเยี่ยนเป็นคนมอบให้หม่อมฉันเอง”

สวี่หนิงเยี่ยน…หน้าผากเกลี้ยงเกลาขององค์หญิงฮว๋ายชิ่ง ปรากฏเส้นเลือดปูดขึ้นมา

…..

วันรุ่งขึ้น หลังจากกินอาหารกลางวันที่หอคณิกาแล้ว กลุ่มตะลอนหอคณิกาทั้งสามคนก็แคะฟัน เดินอาดๆ กลับที่ทำการ

กลางวันมีเวลาพักครึ่งชั่วยาม ทั้งสามคนวางแผนกลับไปฝึกลมหายใจที่ที่ทำการ วันนี้ยังคงเป็นสวี่ชีอันที่เป็นเจ้ามือ แต่ว่าครั้งนี้เป็นการกินข้าวฟังเพลงเท่านั้น ไม่ได้ทำอย่างอื่น ครอบครัวทหารไม่ได้เหลือกินเหลือใช้ขนาดนั้น

ซ่งถิงเฟิงรู้สึกเกรงใจเล็กน้อยหลังจากกินของฟรีของสวี่หนิงเยี่ยนมาหลายวัน เมื่อเขาเห็นร้านขายของข้างทางมีร้านขายส้ม เขาก็พูดว่า

“พวกเจ้าสองคนรออยู่ที่นี่ ข้าจะไปซื้อส้ม”

“ไม่ต้อง ข้าไปซื้อเอง เจ้ารออยู่ที่นี่แหละ” สวี่ชีอันดึงตัวเขาไว้

“หนิงเยี่ยน ข้าเกรงใจมากๆ เลย” ซ่งถิงเฟิงยืนยันที่จะไปซื้อ

“อย่างอื่นไม่เป็นไร แต่ส้มข้าต้องเป็นคนซื้อ หากเจ้ายังยืนยันที่จะซื้อให้ได้ ไปสำนักสังคีตครั้งหน้าเจ้าต้องเป็นเจ้ามือ” สวี่ชีอันพูดด้วยความโกรธเคือง

ซ่งถิงเฟิงจึงยอมหยุด

กลับมาถึงที่ทำการ สวี่ชีอันก็ถูกเว่ยเยวียนเรียกตัวอีกแล้ว

ท่านพ่อเว่ยรักข้ามากขึ้นทุกวัน… เขาวิ่งไปที่หอเฮ่าชี่อย่างมีความสุข หลังจากได้รับแจ้งจากทหารองครักษ์แล้ว เขาก็ได้พบเว่ยเยวียนที่สวมชุดคลุมสีเขียวในห้องน้ำชา

ขันทีอาวุโสผู้สง่างาม เคราขาวเล็กน้อย กำลังยกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่ม เขาได้ชี้ที่นั่งฝั่งตรงข้าม “รินชาเอง”

สวี่ชีอันผู้ซึ่งดื่มเหล้ามาเต็มท้องไม่อยากดื่มชา แต่ก็ยังรินให้ตัวเองถ้วยหนึ่ง ถือเสียว่าดื่มเป็นเพื่อนเว่ยเยวียน

“เวลาเข้าเวรห้ามดื่มเหล้า” เว่ยเยวียนกล่าวตักเตือน “คนอย่างเจ้า นอกจากมีความเป็นธรรมแล้ว ส่วนที่เหลือทั้งหมดล้วนเป็นข้อเสียทั้งหมด กะล่อน ไร้วินัย เข้าออกสำนักสังคีตเป็นประจำ หากข้าเป็นศัตรูทางการเมืองของเจ้า เจ้าคงได้ไปเกิดใหม่แล้ว”

“…ข้าน้อยผิดไปแล้ว” สวี่ชีอันปฏิบัติตัวเหมือนเป็นน้องชาย ไม่ใช่สิ ลูกชาย แบบนี้สภาพจิตใจก็ดีขึ้นมาก

“ช่างเถอะ สันดอนขุดง่าย สันดานขุดยาก หากคนคนหนึ่งเปลี่ยนแปลงได้ง่ายๆ ในโลกนี้ก็คงไม่มีคนมากมายเช่นนี้” เว่ยเยวียนนั้นเป็นผู้นำที่ยอมรับข้อบกพร่องของผู้ใต้บังคับบัญชาเสมอ จึงไม่ได้คิดจะเอาเรื่องเขาจริงๆ

เขาดื่มชาอย่างรวดเร็ว แล้วผลักสำนวนคดีให้ “เจ้าต้องเดินทางไปที่อวิ๋นโจว”

อวิ๋นโจว? สวี่ชีอันปรับสีหน้าจริงจัง แล้วเปิดสำนวนคดีดู

“ไม่กี่วันก่อน สายลับของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลได้ส่งจดหมายลับกลับมา ในจดหมายบอกว่าผู้บัญชาการหยางชวนหนานแห่งเมืองอวิ๋นโจว แอบสมรู้ร่วมคิดกับโจรภูเขา ลำเลียงยุทธปัจจัย เพื่อแสวงหาผลประโยชน์และเจตนาปล่อยศัตรูไปเพื่อยกสถานะตัวเอง” เว่ยเยวียนจิบชาอีกครั้งแล้วพูดว่า “วันรุ่งขึ้นหลังจากได้รับจดหมายลับ พรรคฉีรีบลงมือสร้าง ‘คดีทุจริต’ ขึ้นมา โดยใช้ฆ้องทองคำและฆ้องเงินทั้งหมดเป็นเครื่องต่อรอง เพื่อบีบบังคับให้ข้าประนีประนอม”

ผู้บัญชาการแห่งเมืองอวิ๋นโจวเป็นคนของพรรคฉีหรือ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมอยู่ดีๆ พรรคฉีจึงตัดสินใจว่าจะต้องจัดการกับหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ที่แท้ก็มีเบื้องหลังแอบแฝงอยู่นี่เอง

หากไม่ได้ดวงของข้า เว่ยเยวียนคงเตรียมจะใช้ฆ้องทองคำและฆ้องเงินหนึ่งพันนายเพื่อแลกกับผู้บัญชาการแห่งเมืองอวิ๋นโจวงั้นหรือ เว่ยเยวียนจิตใจเหี้ยมโหดยิ่งนัก… จริงสิ หมายเลข 2 เคยบอกว่าสาเหตุที่โจรเมืองอวิ๋นโจวกำจัดได้ยาก เป็นเพราะโจรภูเขายึดครองภูมิประเทศที่ได้เปรียบ และพวกมันยังมีอาวุธยุทโธปกรณ์และเสบียง ไม่ใช่โจรภูเขาธรรมดาๆ ดังนั้นจึงมีคนสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง

พรรคฉีอยู่ในเมืองหลวงย่อมไม่สามารถควบคุมจากระยะไกลได้อย่างแน่นอน จะต้องมีขุนนางชั้นสูงให้ความร่วมมือ… สวี่ชีอันเข้าใจในทันที

เว่ยเยวียนกล่าวต่อ “หลังจากที่จดหมายลับถูกส่งกลับมายังเมืองหลวง สายลับคนนั้นก็เสียชีวิตโดยไม่มีสาเหตุ ตายอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ฐานะที่แท้จริงของเขาก็คือผู้บัญชาการ เสมียนคนหนึ่งของกรมเสมียนตรา”

“คนตายไปแล้ว หลักฐานก็สูญหายไป ข้าได้ถวายรายงานเรื่องนี้ต่อฝ่าบาทแล้ว ฝ่าบาทจะส่งผู้ตรวจการของสำนักอัยการนครหลวงไปอวิ๋นโจว เพื่อตรวจสอบเรื่องนี้”

“สิ่งที่เจ้าต้องทำก็คือคุ้มกันผู้ตรวจการให้ดี และต้องหาหลักฐานให้พบ”

สวี่ชีอันพูดด้วยความลำบากใจว่า “ทำไมจึงต้องให้ข้าไปอวิ๋นโจวล่ะขอรับ”

ยังไม่ค่อยสมัครใจเท่าไหร่… เว่ยเยวียนกล่าวว่า “เจียงลวี่จงเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้ เจ้าตามไปเรียนรู้งานก็พอ”

สวี่ชีอันรู้สึกสบายใจขึ้นทันที และพูดว่า “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง… เว่ยกง ผงปรุงรสไก่กินมากไม่ดี จะทำให้หิวน้ำบ่อย เวลาปรุงอาหารให้พ่อครัวใส่น้อยๆ ก็พอ”

เมื่อครู่เว่ยเยวียนประณามตัวเอง แต่ตัวเขาเองไม่เพียงกลับไม่ผูกพยาบาท แต่กลับเตือนอีกฝ่ายด้วยความหวังดี สวี่ชีอันรู้สึกว่าตัวเองช่างเป็นคนดีจริงๆ

เว่ยเยวียนไม่ได้พูดอะไร แต่ชี้ไปที่ประตู

“ข้าน้อยขอลา” สวี่ชีอันจากไปทันที

…………………………………………………………

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง