ยายตัวร้ายยังอาลัยอาวรณ์ จึงเลิกคิ้วพลางกล่าวว่า “สวี่หนิงเยี่ยน ข้าสามารถทูลเสด็จพ่อ ให้เจ้าเข้ามารับตำแหน่งในวัง เป็นทหารรักษาพระองค์ของข้าได้นะ”
เป็นทหารรักษาพระองค์ของพระองค์จะไปมีอนาคตอะไร พระองค์คิดจะให้ข้าเป็นทาสรับใช้ของพระองค์จริงๆ หรือ… สวี่ชีอันพูดอย่างจนใจว่า “องค์หญิง กระหม่อมยังมีปณิธานอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
เห็นๆ กันอยู่ว่าเป็นข้ารับใช้องค์หญิง มีอนาคตสู้รับใช้เว่ยเยวียนไม่ได้ จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงโปรดยายตัวร้าย เพราะนอกจากจะออดอ้อนเก่งแล้ว ยังน่ารักไร้เดียงสา ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมอีกด้วย
ส่วนองค์หญิงฮว๋ายชิ่ง ต้องการช่วยคนสนิทให้มีตำแหน่งสูงขึ้น จึงต้องหาโอกาส เช่นคดีทะเลสาบซังผอ พระราชโอรสคนอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน
ยายตัวร้ายขอร้องให้จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงยกเว้นโทษตายให้เขาแต่ไม่เป็นผล สวี่ชีอันก็มองจักรพรรดิหยวนจิ่งอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว
“องค์หญิงรอง จะทรงทำเช่นนั้นทำไม กระหม่อมเป็นเพียงหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลผู้ต่ำต้อยเท่านั้น” สวี่ชีอันคิดในใจ ‘เราไม่เหมาะสมกัน’
“คนอื่นไม่มีใครตลกเหมือนเจ้า ชอบพูดจากับข้าด้วยท่าทางระมัดระวังตัว” หลินอันเบ้ปาก พร้อมกับแกว่งเท้า “ข้าไม่ชอบเรียนหนังสือ ศิลปะการดนตรีข้าก็ไม่ถนัด อยู่แต่ในวังเบื่อจะตายอยู่แล้ว ตอนเด็กๆ เสด็จพี่องค์รัชทายาทยังเล่นเป็นเพื่อนข้า แต่ตอนนี้พอข้าไปหาพระองค์ พระองค์ก็จะขมวดคิ้ว และมักจะตรัสว่ามีงานสำคัญ มีงานสำคัญ”
ช่างเป็นองค์หญิงที่น่าสงสารจริงๆ นกคีรีบูนปกติจะถูกเลี้ยงอยู่ในกรงที่สวยงาม… แต่องค์หญิงฮว๋ายชิ่งก็มีอิสระในการเข้าออกพระราชวังมิใช่หรือ… สวี่ชีอันคิดอยู่ครู่หนึ่งก็คิดตก
ฮว๋ายชิ่งเป็นผู้หญิงเข้มแข็งประเภทที่มอบทหารและม้าสามพันตัวให้กับพระองค์ พระองค์ก็สามารถพิชิตชัยได้ด้วยตัวพระองค์เอง มีความรู้กว้างขวาง ความสามารถล้นเหลือ ในบรรดาพระราชโอรสและพระราชธิดาของจักรพรรดิหยวนจิ่งทั้งหมด แทบจะไม่มีใครที่มีความรู้ความสามารถและเล่ห์เหลี่ยมเทียบเท่าฮว๋ายชิ่งได้เลย
ส่วนหลินอันนั้นแตกต่างกัน พระองค์เป็นองค์หญิงน้อยที่ดื้อรั้นเอาแต่ใจ ไร้เล่ห์เหลี่ยม และถูกคนโฉดชั่วมักใหญ่ใฝ่สูงหลอกลวงได้ง่าย
สวี่ชีอันลบตัวเองออกจากบัญชี ‘คนโฉดชั่วมักใหญ่ใฝ่สูง’ โดยอัตโนมัติ
“ความจริงเรื่องนี้ง่ายมาก องค์หญิงทรงย้ายกลับไปที่ตำหนักของพระองค์เองก็หมดเรื่อง เขตพระราชฐานย่อมสนุกกว่ากำแพงพระราชวังอยู่แล้ว” สวี่ชีอันกล่าว
หลินอันเป็นองค์หญิงที่มีตำแหน่งบรรดาศักดิ์ มีตำหนักของพระองค์เองในเขตพระราชฐาน
“ถ้าเช่นนั้นพรุ่งนี้เจ้ามาเข้าเฝ้าข้าที่ตำหนักหลินอัน” ยายตัวร้ายกล่าว
องค์หญิงหลินอันทรงประทับเกี้ยวมาถึงตำหนักจิ่งซิ่วก่อนเวลาอาหารกลางวัน วันนี้เฉินกุ้ยเฟยได้ส่งคนไปแจ้งโอรสและธิดา เชิญทั้งสองพระองค์เสด็จมาเสวยพระกระยาหารที่ตำหนักจิ่งซิ่ว
ขณะเสวย องค์รัชทายาททรงเสวยพระกระยาหารที่เฉินกุ้ยเฟยเตรียมไว้ด้วยความตั้งใจ จู่ๆ ก็ตรัสขึ้นว่า “ได้ยินเหล่าขุนนางในวังลือกันว่า เว่ยเยวียนได้ถวายตำรับลับแก่ฮองเฮา จนรักษาพระอาการเบื่อพระกระยาหารของฮองเฮาหายเป็นปลิดทิ้ง”
เฉินกุ้ยเฟยแย้มพระสรวล “มีเรื่องเช่นนี้จริง ดูเหมือนว่าจะเรียกว่า…ผงปรุงรสไก่ละมั้ง ได้ยินมาว่าเติมลงไปเล็กน้อยตอนปรุงอาหาร รสชาติก็จะเปลี่ยนไปจนยากจะลืมเลือนเลยทีเดียว”
องค์รัชทายาททรงเห็นถึงความปรารถนาของเฉินกุ้ยเฟย “หากเสด็จแม่มีพระประสงค์ที่จะลองลิ้มรส ลูกจะไปทูลขอจากฮองเฮา”
เฉินกุ้ยเฟยยิ้มและตรัสว่า “ได้ยินมาว่าขนาดองค์หญิงฮว๋ายชิ่งไปทูลขอ ฮองเฮายังไม่ทรงประทานให้เลย”
สองแม่ลูกต่างรู้สึกจนใจ
องค์หญิงหลินอันมองพระมารดาและพระเชษฐา ก็เอ่ยถามเพื่อขอความแน่ใจ “เรียกว่าผงปรุงรสไก่หรือ”
องค์รัชทายาทมองมาที่พระองค์ “เจ้าก็เคยได้ยินด้วยหรือ?”
องค์หญิงหลินอันผู้ซึ่งไม่คิดอะไรมากนั้นไม่มีเวลาที่จะสนใจข่าวคราวของวังหลัง ทรงส่ายพระพักตร์ แล้วตรัสว่า “วันนี้สวี่หนิงเยี่ยนมอบของสิ่งหนึ่งให้แก่ข้า เรียกว่าผงปรุงรสไก่เช่นกัน”
พระองค์ทรงเรียกนางกำนัลแล้วรับสั่ง “กลับไปเอาที่ตำหนักมาให้ข้า”
เวลาผ่านไปหนึ่งเค่อ นางกำนัลกลับมาพร้อมอาการหายใจหอบ โดยนำขวดกระเบื้องที่วางไว้ที่ตำหนักกลับมาด้วย
องค์รัชทายาทรับขวดกระเบื้องมาก่อน จากนั้นทรงดึงจุกไม้ก๊อกออก แล้วดมกลิ่น ได้กลิ่นหอมแสบจมูกเล็กน้อย เพียงแค่ดมไม่สามารถรับรู้ถึงความมหัศจรรย์ของสิ่งนี้ได้
“ให้ห้องเครื่องนำอาหารเหล่านี้ไปอุ่น แล้วเติมสิ่งนี้ลงไปด้วย…ผงปรุงรสไก่ พวกเรามาลองชิมกัน”
ข้อเสนอขององค์รัชทายาทได้รับการสนับสนุนจากพระมารดาและพระขนิษฐา
ไม่นาน นางกำนัลก็ยกอาหารที่อุ่นเสร็จแล้วกลับมา แม่ลูกทั้งสามไม่ขยับตะเกียบ เอาแต่มองนางกำนัล
นางกำนัลใช้เข็มเงินทดสอบยาพิษก่อน จากนั้นจึงหยิบชามและตะเกียบมา ลองชิมทีละจาน หลังจากชิมอาหารครบทุกจานแล้ว องค์รัชทายาทเห็นว่าดวงตาของนางดูเหมือนยังอยากชิมต่อ แต่ก็ไม่กล้ากินเยอะ จ้องมองอาหารอย่างอาลัยอาวรณ์
หลังจากรอครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่านางกำนัลไม่เป็นอะไร องค์รัชทายาทจึงเร่งว่า “ตักน้ำแกงตะพาบน้ำให้เราชามหนึ่ง”
นางกำนัลตักน้ำแกง พร้อมกับพูดยิ้มๆ ว่า “พระองค์ทรงมีสายตาเฉียบแหลม รสชาติของน้ำแกงนี้ยากจะลืมเลือนเพคะ”
องค์รัชทายาททรงรับมาอย่างอดใจไม่ไหว ชิมหนึ่งคำ แล้วเอ่ยชมว่า “เป็นรสชาติที่แปลกใหม่ทีเดียว…เสด็จแม่ หลินอัน ลองชิมเร็ว”
เฉินกุ้ยเฟยไม่ได้เห็นองค์รัชทายาทสดชื่นแบบนี้มานานแล้ว เห็นดังนั้นก็มีความสุขไปด้วย
หลินอันลงมือตั้งนานแล้ว พระองค์ไม่ได้เสวยน้ำแกงตะพาบน้ำ แต่พระองค์ทรงคีบผัก เคี้ยวๆ ไป ก็คีบคำที่สองและสามโดยไม่รู้ตัว…
หลังเสวยพระกระยาหารกลางวันเรียบร้อยแล้ว เฉินกุ้ยเฟยซึ่งไม่ได้เห็นพระโอรสและพระธิดาเสวยพระกระยาหารอย่างมีความสุขมาเป็นเวลานาน ก็รู้สึกดีพระทัยเป็นอย่างยิ่ง
“ขวดเล็กๆ แค่นี้ ช่างเป็นของดีจริงๆ …พ่อครัวของห้องเครื่องต้องใช้ความพยายามมากเพียงใดจึงจะสามารถบรรลุถึงระดับนี้ได้” องค์รัชทายาทถอนใจ แล้วก็ทรงนำขวดกระเบื้องใส่ไปในแขนเสื้อ
ยายตัวร้ายเบิกตาโต กระโจนเข้าไป แล้วดึงแขนเสื้อขององค์รัชทายาทไว้ เลิกคิ้วแล้วตรัสว่า “ของหม่อมฉัน!”
“สวี่ชีอันเป็นคนของเจ้าไม่ใช่หรือ เจ้าไปเอาจากเขาอีกก็ได้” องค์รัชทายาทตรัสอย่างเคร่งขรึมว่า “ปล่อยมือ”
“หม่อมฉันไม่ปล่อย นี่เป็นของของหม่อมฉัน”
สองพี่น้องยื้อยุดกันไปมา แล้วจึงให้เฉินกุ้ยเฟยตัดสิน เฉินกุ้ยเฟยตรัสด้วยความรู้สึกทั้งขำทั้งโกรธว่า “อายุเท่าไหร่กันแล้ว ยังทำตัวเหมือนเด็กกันอีก ถ้าให้แม่ตัดสิน ก็เก็บไว้ที่แม่นี่แหละ ถึงจะยุติธรรม”
“…” องค์รัชทายาทและหลินอันหันศีรษะกลับไปยื้อยุดกันต่อ
…..
“ที่แท้ของที่สวี่หนิงเยี่ยนมอบให้ข้ามีค่ามากมายขนาดนี้เชียว” ยายตัวร้ายประทับบนเกี้ยว เล่นขวดกระเบื้องที่เหลือผงปรุงรสไก่เพียงหนึ่งในสามเท่านั้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง