ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 226

บทที่ 226 คืนชีพในวันไหว้วสันต์ (2)

“หยางเชียนฮ่วนล่ะ” ผู้ตรวจการจางเอ่ยถาม

“ไปแล้ว ข้ารั้งเขาไว้ไม่ได้” เจียงลวี่จงกล่าว

เขาโกรธหยางเชียนฮ่วนอยู่นิดหน่อย ตราบใดที่เขาจดจำการเสียสละตนของผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสามได้ เจียงลวี่จงก็จะรู้สึกโมโหเพราะไร้สามารถและโกรธเกลียดตัวเอง ทั้งยังพาลไปโกรธหยางเชียนฮ่วนด้วย

แม้ว่าหยางเชียนฮ่วนจะอธิบายให้ฟังคร่าวๆ แล้วก็ตาม

การตำหนิตนเองและความเศร้าเสียใจจะติดตามเขาไปอีกนาน จนกระทั่งกาลเวลาผันผ่านและได้คลี่คลายปมในใจ เขาถึงจะ ‘แย้มยิ้ม’ ให้กับตัวเองและปล่อยวางอดีตได้ในที่สุด

“เขามาที่อวิ๋นโจวด้วยเหตุใด” ผู้ตรวจการจางขมวดคิ้ว

เจียงลวี่จงส่ายหน้า

ทันใดนั้น หูของเจียงลวี่จงก็ขยับ เขาหันไปมองบรรยากาศค่ำคืนมืดมิดทันที หลี่เมี่ยวเจินช้ากว่าหนึ่งจังหวะ ทว่านางก็หันหน้าไปมองเช่นกัน

“มาแล้ว!” เจียงลวี่จงพูดเสียงขรึม

ทุกคนพุ่งออกไปจากป้อมแล้วไปยังกำแพงเมืองทันที ดวงตาเพ่งมองไปไกลๆ และได้เห็นแสงไฟสว่างติดต่อกันเป็นทอดๆ ปรากฏขึ้นกลางความมืดมิดที่อยู่ห่างไกล ลอยอยู่เอื่อยๆ ราวกับแม่น้ำที่กำลังไหลบ่า

‘กุบกับๆๆ…ตึงๆๆ…’

เสียงแตรและเสียงกลองศึกดึงขึ้นพร้อมกัน สะเทือนก้องค่ำคืนหนาวเหน็บอันเงียบสงัด

ทหารที่นอนหลับพิงอยู่กับกำแพงพากันตื่นขึ้นมาแล้วคว้าอาวุธ หอก ธนู และโล่ที่อยู่ข้างตัว ก่อนเข้าสู่ภาวะพร้อมรบ

หลี่เมี่ยวเจินยืนอยู่บนกำแพงเมืองและหรี่ตามองไปที่ไกลๆ ทันใดนั้นก็ตะโกนออกมาด้วยความตื่นตระหนก “ระวัง!”

เสียงตะโกนเพิ่งจะดังขึ้น แสงสีเงินก็ทะลวงอากาศเข้ามา ปลายหอกส่งเสียงหวีดแหลมอยู่กลางอากาศ

‘ทหารระดับสี่!’

‘ทั้งยังเป็นทหารระดับสี่ขั้นสูงสุดด้วย!’

หลี่เมี่ยวเจินตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี ร่างกายตึงเครียดขึ้นมา อวิ๋นโจวมียอดฝีมือขั้นสูงเช่นนี้ด้วยหรือ โจรภูเขามีจอมพลังระดับสี่เช่นนี้ด้วยหรือ?

ภาพต่อจากนั้นกลับทำให้นางตื่นตะลึงขึ้นมาจริงๆ เพราะเจียงลวี่จงเป็นฝ่ายบุกเข้าไปก่อน แล้วยื่นมือไปจับหอกเงินเอาไว้อย่างไม่ช้าไม่เร็ว ไม่มีความตึงเครียดและระมัดระวังอย่างที่ควรมีเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูเลยแม้แต่นิด

และที่ทำให้นางคาดไม่ถึงยิ่งกว่าก็คือ หอกเงินที่คล้ายจะดุร้ายหาใดเปรียบกลับอ่อนยวบไร้กำลัง เป็นฝ่ายส่งตัวเองไปให้กับเจียงลวี่จง

หลี่เมี่ยวเจินเพ่งสายตามองไป นี่คือหอกเงินหนาหนักเล่มหนึ่ง สีเงินบนหัวหอกมีคราบสนิม บ่งบอกถึงความโชกโชนตามกาลเวลาของมัน แต่ประกายแสงเย็นเยียบที่ปลายหอกกลับน่าเกรงขาม ซ้ำยังมีรอยเลือดที่ยังไม่แห้งกรังติดอยู่

เมื่อเทียบกับหอกธรรมดาๆ ในมือของนางแล้ว หอกเล่มนี้ต่างหากที่เป็นอาวุธรบของจริง

อาวุธเจ้าชะตาของหลี่เมี่ยวเจินคือกระบี่บิน สาเหตุที่นางใช้หอกนั้น หลักๆ เป็นเพราะหลังจากเข้าร่วมกับกองทัพแล้ว จะต้องมีอาวุธที่เหมาะสมกับฐานะ

เสียง ‘ปัง’ ดังขึ้นจากที่ไกลๆ ร่างร่างหนึ่งพุ่งทะยานขึ้นมาจากพื้นหลายร้อยเมตรแล้วแล่นตัดผ่านอากาศสูง ก่อนพุ่งมาอยู่บนกำแพงเมือง

คนผู้นี้สวมใส่ชุดเครื่องแบบหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลสีดำ ปักลายฆ้องทองคำที่หน้าอก ใบหน้าเย็นชาแข็งกระด้างราวกับรูปสลัก

“เจ้ามาได้อย่างไร” เจียงลวี่จงทั้งดีใจทั้งคาดไม่ถึง เขาโยนหอกเงินคืนให้

“ท่านพ่อบุญธรรมสั่งให้มาปราบโจรที่อวิ๋นโจว” หยางเยี่ยนรับหอกยาวมาแล้วตอบนิ่งๆ

ผู้ตรวจการจางตะลึง คล้ายกับมั่นใจอะไรบางอย่างจึงเอ่ยถาม “เว่ยกงพูดอะไรกับเจ้าบ้าง”

“ท่านพ่อบุญธรรมกล่าวว่าโจรภูเขาอวิ๋นโจวอาจก่อความวุ่นวาย จึงสั่งให้ข้ามาที่นี่อย่างลับๆ” หยางเยี่ยนกล่าว

“เมื่อหลายวันก่อนข้าได้ลอบสืบดูกำลังทหารของหน่วยกองแต่ละแห่งของอวิ๋นโจวแล้ว เดิมทีตั้งใจจะจัดการพวกโจรภูเขาสักพัก นึกไม่ถึงว่าเช้าวันนี้จะมีโจรภูเขาสิบกว่าแห่งก่อความวุ่นวาย ข้าเพิ่งนำกองกำลังไปทำลายล้างเสร็จสิ้น และเดาได้ว่าเมืองไป๋ตี้อาจเกิดเรื่องจึงรีบเดินทางมา ข้าพบกองทัพทหารสองพันคนอยู่ที่นอกเมืองไป๋ตี้หกสิบลี้ เพิ่งจะสังหารเสร็จสิ้น”

หลี่เมี่ยวเจินกวาดตามองปลายหอก ลอบเอ่ยในใจว่า ‘มิน่าเล่า บนนั้นถึงยังมีรอยเลือดอยู่’

ผู้ตรวจการจางโล่งอก ‘ที่แท้พวกเราก็เป็นแค่หมากด้านสว่างนี่เอง เว่ยกงยังมีแผนในมุมลับอยู่’

หยางเยี่ยนกวาดสายตามองทุกคน เมื่อมองคนในกลุ่มดีแล้วก็ขมวดคิ้วกล่าวว่า “สวี่ชีอันล่ะ”

สีหน้าของผู้ตรวจการจางพลันแข็งทื่อทันใด ความปีติยินดีในแววตาของเจียงลวี่จงค่อยๆ เลือนหาย

หยางเยี่ยนใจจมดิ่ง ใบหน้าที่เดิมเป็นอัมพาตยิ่งเย็นชามากขึ้น

“เขา…” แววตาของผู้ตรวจการจางเผยความโศกเศร้า กล่าว “เขา สู้จนตัวตายแล้ว”

หลี่เมี่ยวเจินก้มหน้าเล็กน้อยแล้วถอนหายใจ

‘กึก…’ ก้อนอิฐที่อยู่ใต้เท้าของหยางเยี่ยนแตกออกทันใด พลังปราณสายหนึ่งแผ่ออกมาอย่างไม่อาจควบคุมได้ แสดงให้เห็นว่าฆ้องทองคำผู้นี้เสียการควบคุมอารมณ์แล้ว

แววตาของเขาคมกริบดุจใบมีด ใบหน้าที่แข็งกระด้างมาตลอดปีบิดเบี้ยวขึ้นมาทันใด เขากัดฟันเอ่ยถาม “ตายได้อย่างไร”

ผู้ตรวจการจางเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้หยางเยี่ยนฟังอย่างละเอียด สุดท้ายเมื่อกล่าวว่าสวี่ชีอันปกป้องทุกคน ต่อให้ตายก็ไม่ถอยออกมา ขอบตาของใต้เท้าผู้ตรวจการก็แดงก่ำ

“ร่างเขาถูกธนูยิงเข้าสามสิบเอ็ดดอก โดนดาบฟันหกสิบกว่าที่…ถึงตายเขาก็ยังยืนอยู่ บอกให้ถอยก็ไม่ยอม…หนึ่งสัญญามีค่าหนักเท่าทองพันชั่ง”

เจียงลวี่จงค่อยๆ ถอนหายใจออกมา เขามองท่าทางทุกข์ใจของผู้ตรวจการจางแล้วก็ทนไม่ได้ จึงเอ่ยเสียงขรึม

“เป็นเพราะข้าละเลยหน้าที่ ขออภัยขอรับ…”

หอกยาวในมือของหยางเยี่ยนกวาดเข้ามาโดยไม่มีการเตือน ตัวหอกบิดงอ ด้ามหอกคดโค้งแล้วกระแทกเข้ากับทรวงอกของเจียงลวี่จงอย่างแรง

‘ปัง!’

เสียงอึกทึกกึกก้องดังสนั่นฟ้าดิน

ร่างเจียงลวี่จงกระแทกเข้ากับกำแพงป้อมแล้วกระเด็นออกไป

หยางเยี่ยนทำลายป้อมบนกำแพงเมืองไปเสียครึ่งหนึ่งแล้วพุ่งขึ้นฟ้า เสียงร้องคำรามสะท้อนก้อง “เจียงลวี่จง เจ้าตัวสารเลว วันนี้ข้าจะฆ่าเจ้า”

จุดพักม้า ห้องโถงใหญ่

ร่างสวี่ชีอัน ศพของฆ้องเงินสามคน และฆ้องทองแดงหนึ่งคนถูกวางไว้กลางโถงใหญ่ บนร่างคลุมไว้ด้วยผ้าขาว

ลูกศรบนร่างของสวี่ชีอันถูกดึงออกไปแล้ว ใบหน้าที่เปื้อนเลือดก็ถูกเช็ดจนสะอาด ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวที่นอนไม่หลับพากันลงมาชั้นล่างเงียบๆ แล้วทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ซ้ายขวาข้างกายสวี่ชีอัน

พวกเขาไม่พูดอะไร เพียงนั่งอยู่เงียบๆ เป็นเพื่อนกัน

ความโศกเศร้าของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความเงียบงัน

ระหว่างนั้น ซ่งถิงเฟิงเอ่ยอยู่สองประโยค “คิดเสียว่าเป็นการปกป้องวิญญาณของเจ้าแล้วกัน” และ “ชาติหน้าค่อยมาเป็นพี่น้องกันอีกนะ”

จูกว่างเสี้ยวเอ่ยหนึ่งประโยค “สุดท้ายแล้วก็เหลือแต่พวกเราสองคน”

เทียนค่อยๆ มอดไหม้จนสุดปลาย น้ำตาเทียนไหลลงมาหยดแล้วหยดเล่าแล้วแข็งตัว ท่ามกลางบรรยากาศโศกเศร้านี้ ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวไม่ได้พูดอะไรออกมาทั้งนั้น

จนกระทั่งเสียงฝีเท้าเงียบๆ ดังมาจากด้านนอกจุดพักม้า หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลกลุ่มหนึ่งมาถึงที่นี่ ผู้นำคือหยางเยี่ยน ฆ้องทองคำหยางคล้ายผ่านสมรภูมิหนักหน่วงมารอบหนึ่ง สภาพของเขากระเซอะกระเซิงยิ่งนัก

ด้านหลังมีฆ้องเงินสองสามคนที่ตามเขามายังอวิ๋นโจวด้วย ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวต่างก็รู้จัก

สวี่ชีอันก็รู้จักเขาเช่นกัน ตัวอย่างเช่นหมิ่นซานและหยางเฟิงที่เคยสืบคดีซังผอด้วยกัน ตัวอย่างเช่น…หัวหน้าของพวกเขาทั้งสาม หลี่อวี้ชุน

หลี่อวี้ชุนในขณะนี้เหมือนกับศพเดินได้ เขาเดินไปหาสวี่ชีอันทีละก้าวๆ เดินได้ช้ายิ่งนัก เพียงก้าวสั้นๆ สิบก้าวก็ราวกับเต็มไปด้วยขวากหนาม เมื่อเหยียบลงไปก็เจ็บทรมานที่ใจทุกครา

หลี่อวี้ชุนยื่นมือไปเปิดผ้าคลุมศพ…ร่างกายซวนเซ

“หัวหน้า”

ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวรีบเข้าไปพยุง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง