ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 227

บทที่ 227 จดหมายตอบกลับของเหล่าตัวสำรอง (1)

มืดมาก…ข้าอยู่ที่ไหน…ข้าเป็นใคร

เขาครุ่นคิดอย่างงุนงง เขาจำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใครและอยู่ที่ใด

‘กุบกับๆๆ…’

‘ตึงๆๆ…’

สวี่ชีอันได้ยินเสียงแตรและเสียงกลองศึก จากนั้นเขาก็ค่อยๆ ได้ยินเสียงอื่นๆ เสียงตะโกนแห่งการเข่นฆ่าอันท่วมท้น เสียงเกือกม้าที่ทั้งดังสนั่นทั้งวุ่นวาย เสียงระเบิดและเสียงคมดาบปะทะกัน

เสียงต่างๆ ปะปนกัน ประกอบเป็นภาพที่ชัดเจนขึ้นในหัวของสวี่ชีอัน

สนามรบ!

ทันทีที่เขาคิดเช่นนี้ ความมืดเบื้องหน้าก็แยกออก แสงสว่างสาดส่องเข้ามา ในสายตาของเขามันเป็นสนามรบจริงๆ

กองทัพดำทะมึนพุ่งเข้าโจมตีราวกับมดที่อัดแน่น ทหารระดับสูงโหมกระหน่ำอยู่ในสนามรบเหมือนกับมนุษย์เหยียบย่ำรังมด

ในสนามรบแห่งนี้ไม่ได้มีแค่มนุษย์เท่านั้น แต่ยังมีสัตว์ยักษ์ที่สูงเท่าตึกสองชั้น งูยักษ์ที่ยาวหลายสิบเมตร และนกล่าเหยื่อที่ม้วนตัวอยู่บนท้องฟ้า…

มีภิกษุชั้นสูงที่นั่งขัดสมาธิท่องพระสูตรอยู่บนท้องฟ้า มีชนเผ่าป่าเถื่อนที่ทรงพลัง มีกองทัพซากศพที่ไม่กลัวความตาย มีกองทัพปืนใหญ่ที่เรียงเป็นแถว มีทหารม้าผู้กล้าหาญที่ขี่สัตว์ร้าย…

“นี่มันสนามรบแบบไหนกัน เกินจริงเกินไปแล้ว คนที่เสียชีวิตก็เยอะเกินไป” สวี่ชีอันครุ่นคิดอย่างมึนงง

สายตาของเขากวาดผ่านสนามรบ กวาดผ่านกองทัพซากศพ กวาดผ่านกองทัพปืนใหญ่และมองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้านหลังสนามรบ ซึ่งมีอสูรเวหาบินอยู่กลางอากาศฝูงหนึ่งตรงนั้น

ขันทีชุดดำคนหนึ่งยืนอย่างทระนงอยู่บนหัวของอสูร มือทั้งสองข้างไพล่หลังและทอดมองสนามรบที่สู้รบกันอย่างดุเดือดด้วยความเฉยเมย

“เว่ยเยวียน?!”

จิตใจของสวี่ชีอันสั่นคลอน ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองเป็นใคร ในชั่วพริบตานี้เอง ภาพสนามรบก็พังทลายลง กลับสู่ความมืดมิดที่ไร้ขอบเขต

สวี่ชีอันลืมตาขึ้น สิ่งที่เขาเห็นยังคงเป็นความมืด

บ้าเอ๊ย หดหู่ชะมัด…เขาไม่ได้ลุกขึ้นในทันที แต่ตั้งใจตอบสนองอย่างใจจดใจจ่อ จากนั้นเขาก็ ‘เห็น’ ท้องเรือที่มืดมิด เห็นโลงศพห้าโลงที่วางเรียงอย่างเป็นระเบียบ เห็นเรือหลวงที่แล่นไปอย่างช้าๆ และเห็นคลองที่สะท้อนแสงเป็นระลอก

นี่คือความอัศจรรย์ที่เขาได้รับหลังจากก้าวเข้าสู่ระดับหลอมวิญญาณ

ไม่รู้ว่าทหารระดับหลอมวิญญาณคนอื่นเป็นอย่างไร แต่อย่างไรเสียพลังวิญญาณของสวี่ชีอันก็สามารถทำหน้าที่เป็นดวงตาได้ในระดับหนึ่ง

วันใดวันหนึ่งแม้ว่าดวงตาสุนัขไทเทเนียมอัลลอยของเขาจะบอด เขาก็ไม่กลัวแม้แต่น้อย

“ความฝันที่ข้าเห็นเมื่อสักครู่นี้…ไม่ มันไม่น่าจะใช่ความฝันธรรมดา ความฝันที่ชัดเจนขนาดนี้มีที่ไหนกัน กองทัพซากศพ ภิกษุชั้นสูงแห่งพุทธศาสนา…สิ่งเหล่านี้ข้าไม่เคยสัมผัสจะฝันถึงได้อย่างไร เหตุใดในความฝันถึงมีเว่ยเยวียน เขาดูยังเด็กมาก…อย่างน้อยจอนผมสองข้างก็ไม่หงอก ตอนพ่อของข้ายังหนุ่มช่างหล่อเหลาเสียจริง หล่อเหมือนกับข้า…”

สวี่ชีอันนอนในโลงศพและหวนนึกถึงภาพที่เห็นในความฝัน ทั่วทั้งภูเขาและท้องทุ่งเต็มไปด้วยกองทัพดำทะมึน จำนวนคนที่เข้าร่วมสงครามก็มหาศาล

กองกำลังหลายฝ่ายปะทะกัน

ผนวกกับการปรากฏตัวของเว่ยเยวียนและผลงานในอดีตของเขา สวี่ชีอันคาดเดาในใจได้ทันที ‘สงครามด่านซานไห่’

ในบรรดาผลงานในอดีตของเว่ยเยวียน ผลงานที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือสงครามซานไห่…ประเทศต่างๆ ปะทะกันอย่างยิ่งใหญ่ ซึ่งเข้ากันได้กับสงครามด่านซานไห่ที่บันทึกไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์อย่างลงตัว…แต่เพราะเหตุใดข้าจึงฝันถึงสงครามด่านซานไห่ อารองผู้อ่อนแอสามารถรอดมาได้ เขาต้องนอนอยู่ในกองซากศพและแสร้งตายเป็นแน่…สวี่ชีอันคิดในใจและผลักฝาโลงออก

อากาศบริสุทธิ์ไหลเข้ามา เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และพลิกตัวลุกขึ้นนั่ง ทันใดนั้นก็มีเสียงประหลาดใจดังขึ้นจากในท้องเรือที่มืดสลัว

“เจ้าตื่นแล้ว”

สวี่ชีอันตกใจจนสะดุ้งโหยง ก่อนจะพบว่าห่างออกไปสามเมตรทางด้านซ้ายมีชายชุดขาวนั่งขัดสมาธิหันหลังให้เขาอยู่…เอาล่ะ ตัวตนเปิดเผย หยางเชียนฮ่วน

นี่เป็นผู้ชายเพียงคนเดียวที่สวี่ชีอันเห็นเพียงแค่แผ่นหลังก็จำได้

เขาไม่ได้ตอบกลับในทันทีและครุ่นคิดคำพูดสองสามวินาทีก่อนจะถามว่า “พวกเราอยู่ที่ไหน”

น้ำเสียงของหยางเชียนฮ่วนค่อนข้างกระฉับกระเฉง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาอารมณ์ดีมาก “ระหว่างทางที่จะกลับเมืองหลวง อ้อ ไม่สิ บนน้ำ”

“คดีที่อวิ๋นโจวจบลงแล้วหรือ” ใบหน้าของสวี่ชีอันล่องลอยด้วยความปีติยินดี “เฮ้อ ในที่สุดคดีนี้ก็จบ ในที่สุดข้าก็ไม่ต้องอดหลับอดนอน ข้าตายไปแล้วครั้งหนึ่ง ไม่รู้ว่าซ่งถิงเฟิงกับจูกว่างเสี้ยวจะทุกข์ใจเพราะข้าหรือไม่ อาจจะทุกข์ใจที่โอกาสกินฟรีห้าครั้งไม่มีแล้ว…เฮ้อ สุดท้ายข้าก็ไม่ได้หลอกให้ซูซูกลับบ้านเพื่อไปเป็นภรรยากระดาษของข้า บางทีหลี่เมี่ยวเจินอาจจะอยากฟันหัวใจของข้า โชคดีที่ข้าตายเร็วกว่าหนึ่งก้าว ไม่อย่างนั้นคงน่าอายมาก…”

หยางเชียนฮ่วนฟังเขาพูดเล่นอย่างอดทน

“จริงสิ ทำไมเจ้าถึงมาอยู่บนเรือได้” สวี่ชีอันถาม

หยางเชียนฮ่วนครุ่นคิดและตอบว่า “ข้ามาทำงานที่อวิ๋นโจวตามคำสั่งของท่านอาจารย์ ตอนนี้งานเสร็จแล้ว ข้าจึงจะกลับ บังเอิญหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลจะส่งศพของพวกเจ้ากลับเมืองหลวง ข้าจึงแอบขึ้นมา จากนั้นข้าก็พบว่าบาดแผลจากดาบและรูจากลูกศรบนร่างของเจ้าฟื้นฟูอย่างน่าประหลาด ข้าจึงแน่ใจว่าเจ้ายังไม่ตาย หลังจากรอมาสิบวัน เฮ้ เจ้าฟื้นขึ้นมาจริงๆ ด้วย”

คำพูดของหยางเชียนฮ่วนนั้นเรียบง่ายมาก แต่ในความเป็นจริงแล้วกระบวนการทางความคิดมีขึ้นมีลงกว่าน้ำเสียงมาก หลังจากรู้ข่าวการตายของสวี่ชีอัน เขาก็คิดในใจว่า ‘จบสิ้นแล้วๆ หลังจากกลับไปที่เมืองหลวงท่านอาจารย์ต้องขังข้าไว้ใต้หอเก็บดวงดาว ไม่มีวันได้เห็นแสงตะวันไปชั่วชีวิตแน่’

เขาแทบจะแยกตัวออกจากสำนักและหลบหนีไปด้วยความตื่นตระหนก

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง