ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 233

บทที่ 233-1 เหิงหย่วน ‘หมายเลขสาม ความจริงข้ารู้ตัวตนที่แท้จริงของเจ้ามานานแล้ว’

…จักรพรรดิหยวนจิ่งสะอึก ไม่คาดคิดว่าสวี่ชีอันจะตอบเช่นนี้

ทุกครั้งที่ถูกพระองค์หาเรื่อง ก็จะมีคนร่ำร้องว่า ‘ข้าขอกระดูก’ ตามวิถีของพวกปลิ้นปล้อนในแวดวงขุนนาง ใครเล่าจะคิดว่าฆ้องทองแดงตัวเล็กๆ คนนี้จะตรงไปตรงมาและร้องขอความตายเช่นนี้

สีหน้าของจักรพรรดิหยวนจิ่งหมองหม่น ผู้สูงศักดิ์ชอบพูดจารุนแรงเพื่อแสดงความน่าเกรงขาม ไล่ตั้งแต่จักรพรรดิยันนายอำเภอ ทุกคนเอาแต่พูดว่า ‘จงทำบลาๆๆ ให้ข้า มิฉะนั้นข้าจะบลาๆๆ กับเจ้า’

เดิมทีมันไม่มีอะไร สุดท้ายแล้วก็หนีไม่พ้นความต่างระหว่างเจ้านายกับขี้ข้า ไม่ว่าจะขุนน้ำขุนนางหรือบริวารก็ทำได้เพียงยอมรับและน้อมรับคำสั่งอย่างเชื่อฟัง

คิดไม่ถึงว่าฆ้องทองแดงคนนี้จะยอกย้อนกลับมา จักรพรรดิหยวนจิ่งรู้สึกแย่ไปครู่หนึ่ง

ยิ่งได้เห็นฆ้องทองแดงสวี่ที่เปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง ในใจของจักรพรรดิหยวนจิ่งก็ยิ่งเป็นทุกข์ พระองค์ถอนหายใจออกมา สมแล้วที่เป็นยาวิเศษหายากยิ่งในหนึ่งศตวรรษอย่างยาฟื้นคืนชีพ

ตลอดหกสิบปีท่านโหราจารย์สกัดออกมาได้เพียงแค่สามเม็ดเท่านั้น

จักรพรรดิหยวนจิ่งเอ่ยอย่างฉุนเฉียว “สวี่ชีอัน เจ้าคิดว่าข้าจะไม่ฆ่าเจ้าหรือ”

จักรพรรดิหยวนจิ่งครองราชย์มาสามสิบหกปี ความศักดิ์สิทธิ์ขององค์จักรพรรดินั้นมากล้น บรรยากาศภายในห้องทรงพระอักษรดูเหมือนจะหนักอึ้งเล็กน้อย ขันทีหลายคนก้มศีรษะลงทันที ไม่กล้ามองพระพักตร์มังกร

มีเพียงเว่ยเยวียนเท่านั้นที่ไม่สะทกสะท้านใดๆ ต่อหน้าจักรพรรดิ

แน่นอนว่าสวี่ชีอันไม่ต่อล้อต่อเถียงอีก ในใจของเขาไม่ได้ตื่นตระหนก เขาเปลี่ยนท่าทีจากที่มุทะลุพร้อมชนเมื่อสักครู่ เป็นท่าทีประจบสอพลอ พร้อมกล่าว

“ฝ่าบาทโปรดอภัยให้กระหม่อมเถิดพ่ะย่ะค่ะ ที่อวิ๋นโจวกระหม่อมปกป้องใต้เท้าผู้ตรวจการ ต่อสู้กับกองทัพกบฏและฆ่าฟันศัตรูไปถึงสองร้อยคน ที่อวิ๋นโจวข้าน้อยทุ่มเททั้งกายและใจคลี่คลายคดีที่สมุหเทศาภิบาลซ่งฉางฝู่สมรู้ร่วมคิดกับสำนักพ่อมด และยังพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของผู้บัญชาการหยางชวนหนานได้อีกด้วย ทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นนั้นเป็นเพียงเศษธุลี กระหม่อมมิบังอาจยกมาเป็นความดีความชอบของกระหม่อม ส่วนคดีซังผอกับคดีท่านหญิงผิงหยาง กระหม่อมก็ลืมไปเสียนานแล้ว ไม่คิดจะรื้อฟื้นเรื่องเก่านมนานอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ลมปราณในร่างกายของกระหม่อมได้รับบาดเจ็บ สภาพจิตใจบอบช้ำ หลังจากที่ตื่นนอนก็มักจะปวดหัว กระหม่อมไร้ซึ่งกำลังจะแบ่งเบาความทุกข์ยากของฝ่าบาทจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิหยวนจิ่งจ้องมองเขาและพูดไม่ออกไปพักใหญ่

ฆ้องทองแดงผู้ต่ำต้อยคนนี้จงใจยกคดีใหญ่ๆ ขึ้นมาเพื่อเน้นย้ำผลงานของตัวเอง เขาตอกย้ำสถานะผู้สร้างความดีความชอบของตนก่อน จากนั้นก็ใช้ข้ออ้างเรื่องสุขภาพที่อ่อนแอมาหลบเลี่ยง วาทศิลป์ในท้องพระโรงช่างชำนิชำนาญยิ่งนัก

เว่ยเยวียนกล่าวสมทบ “ฝ่าบาท สวี่ชีอันเป็นเพียงฆ้องทองแดง แม้ว่าความสามารถของเขาจะเก่งกาจ แต่ลมปราณและจิตวิญญาณก็เสียหายหนัก แน่นอนว่าความเป็นความตายของเขานั้นเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่หากทำให้คดีล่าช้าออกไป จนไม่อาจชำระความคับแค้นใจของพระสนมฝูได้ จะกลายเป็นเรื่องใหญ่พ่ะย่ะค่ะ”

หลังจากนิ่งงันไปพักหนึ่ง ก็มองไปทางสวี่ชีอันและพูดว่า “เจ้ากลับไปรักษาตัวให้สบายใจเถิด ฝ่าบาทไม่ส่งทหารผู้อ่อนเปลี้ยไปทำงานหรอก”

จักรพรรดิไม่ส่งทหารผู้อ่อนเปลี้ยไปทำงาน…

จักรพรรดิหยวนจิ่งเหลือบมองเว่ยเยวียนและครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวว่า “สวี่ชีอัน สำนักโหราจารย์มีโอสถที่ช่วยฟื้นฟูกี่ขนาน อารามรัตนะก็มีโอสถวิเศษไม่น้อยไปกว่ากัน หากเจ้ารู้สึกไม่สบายกาย ข้าก็ยินดีแบ่งปันโอสถให้เจ้าสักสองสาม ผลงานของเจ้าในอวิ๋นโจว ข้าจดจำไว้ขึ้นใจ และตั้งใจจะมอบบรรดาศักดิ์จื่อให้กับเจ้า บุญคุณของจักรพรรดินั้นยิ่งใหญ่ อย่าทำให้ข้าผิดหวังล่ะ”

สุดท้ายแล้ว สวี่ชีอันก็เป็นเพียงมนุษย์ตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ไม่คู่ควรให้จักรพรรดิหยวนจิ่งจงใจหาเรื่อง สำนักราชเลขาธิการแนะนำให้เพิกถอนการแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ จักรพรรดิหยวนจิ่งจึงพายเรือตามน้ำไป

แต่ตอนนี้พระองค์จำเป็นต้องใช้งานสวี่ชีอัน จักรพรรดิหยวนจิ่งก็ไม่ได้รังเกียจที่จะมอบผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ ให้ ทว่าในใจของพระองค์ร้อนรุ่มอยู่ไม่สุข เพราะรู้ดีว่าตนเองถูกปั่นหัวเข้าแล้ว

“ขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาท พระองค์ทรงเปี่ยมพระปรีชาสามารถและพระวิสัยทัศน์กว้างไกลพ่ะย่ะค่ะ” สวี่ชีอันเอ่ยเสียงดัง

จักรพรรดิหยวนจิ่งพยักหน้าเล็กน้อย “ข้าต้องการความจริงของคดีโดยเร็วที่สุด”

“กระหม่อมจะพยายามอย่างสุดความสามารถและทุ่มเททุกลมหายใจจนกว่าจะชีวิตหาไม่พ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อเห็นว่าฆ้องทองแดงตัวเล็กๆ รู้จักวางตัวดีเช่นนี้ จักรพรรดิหยวนจิ่งก็สบายใจขึ้นเล็กน้อยและเอ่ยเสียงเรียบ “ไปเถิด”

เขาออกมาจากห้องทรงพระอักษรพร้อมกับเว่ยเยวียน และเดินไปบนลานกว้างขวาง เว่ยเยวียนหรี่ตามองไปข้างหน้าและยิ้มบางๆ “เจ้าได้เรียนรู้แล้วใช่หรือไม่”

“ได้เรียนรู้แล้วขอรับ” สวี่ชีอันกล่าว

เขาได้เรียนรู้แล้วจริงๆ ไม่เหมือนสมัยเรียน ที่คุณครูยืนเคาะกระดานดำตรงแท่นบรรยายและถามว่า ‘พวกเธอเรียนรู้แล้วใช่ไหม’

เขาก็จะโกหกคำโตด้วยการตอบกลับเสียงดังฟังชัดว่า ‘รู้แล้วครับ!’

สิ่งที่เว่ยเยวียนต้องการจะสอนเขานั้นแสนเรียบง่าย จักรพรรดิก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง พระองค์ก็มีจุดอ่อน และถูกผูกมัดด้วยกฎเกณฑ์ จะประพฤติตนตามใจไม่ได้

ในเวลาเดียวกัน จักรพรรดิก็ไม่ได้มีอำนาจเบ็ดเสร็จ จักรพรรดิก็มีความต้องการเช่นกัน ขอเพียงเจ้ามีสิ่งที่พระองค์‘ต้องการ’ ก็มีจุดที่เป็นแต้มต่อให้เจ้าอีกมากมาย

ตัวอย่างเช่นครั้งนี้ ตุลาการทั้งสามฝ่ายปัดความรับผิดชอบ ทำให้คดีล่าช้า จักรพรรดิหยวนจิ่งจะทำอะไรได้ อย่างมากที่สุดก็แค่ลงโทษ แต่ไม่อาจไล่ออกจากตำแหน่งหรือตัดหัวได้

ในเมื่อเบื้องลึกเบื้องหลังเป็นเช่นนี้ แม้สวี่ชีอันจะคลี่คลายคดีใหญ่ๆ หลายคดี จนขุนนางหลายคนขุ่นเคือง ก็ยังเป็นตัวเลือกชั้นยอดในการสืบสวนคดี

ในเมื่อจักรพรรดิอยากใช้งานเจ้า ก็สมควรต้องดิ้นรนเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่พระองค์ต้องการ

ทันทีที่ได้รับบรรดาศักดิ์จื่อ สวี่ชีอันก็พยายามในเชิงสัญลักษณ์ แต่ถ้าไม่อาจคลี่คลายคดีได้เพราะ ‘ความสามารถไม่เพียงพอ’ ก็สมเหตุสมผลดี

อย่างไรเสียเขาก็ไม่ใช่เทพเซียน

ถึงเวลานั้น จักรพรรดิหยวนจิ่งจะบันดาลโทสะก็ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย แต่สวี่ชีอันที่ได้รับบรรดาศักดิ์จื่อในตอนนั้น อย่างมากก็แค่ถูกลงโทษเล็กน้อย ถูกโบย ถูกหักเงินเดือน หรือแม้แต่ถูกลดตำแหน่ง

แต่บรรดาศักดิ์ไม่ใช่สิ่งที่คิดจะเพิกถอนก็ทำได้ง่ายๆ บรรดาศักดิ์เป็นวิธีที่ราชสำนักใช้มัดใจผู้คน และต้องเป็นคนที่สร้างคุณูปการยิ่งใหญ่เท่านั้นจึงจะได้มา

เงื่อนไขในการเพิกถอนบรรดาศักดิ์ก็เข้มงวดเช่นกัน ใช่ว่าจักรพรรดิรับสั่งให้เพิกถอนก็จะเพิกถอนได้ มิเช่นนั้น บรรดาศักดิ์ก็จะสิ้นไร้ราคา ใครเล่าจะนับถือ

ส่วนจักรพรรดิหยวนจิ่งจะเบี้ยวหรือไม่ สวี่ชีอันและเว่ยเยวียนไม่ได้คิด จักรพรรดิของดินแดนที่ยิ่งใหญ่คงไม่ไร้สัจจะถึงขั้นนั้นหรอก ถึงจักรพรรดิหยวนจิ่งคิดจะเล่นลิ้นจริงๆ สวี่ชีอันก็สามารถยื้อคดีออกไปได้เช่นกัน

เบื้องบนมีแผนการ เบื้องล่างก็ต้องมีแผนรับมือ

“ใต้เท้าสวี่โปรดรอเดี๋ยว”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง