บทที่ 249 ความรู้ทางการแพทย์
ฮว๋ายชิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย นางมองตามการเคลื่อนไหวของสวี่ชีอันไปที่ผ้าไหมสีเหลืองหม่น เสียงไพเราะแจ่มชัดปะปนกับความร้อนใจ “เจ้าพบอะไร”
สวี่ชีอันยักไหล่ “กระหม่อมเดาว่าความลับอยู่ในผ้าผืนนี้ แต่ไม่รู้ว่ามันซ่อนอะไรไว้กันแน่”
ดวงตางดงามของฮว๋ายชิ่งส่องประกาย ‘?’ ไม่เข้าใจว่าทำไมเมื่อกี้เขาต้องพูดเสียงดังด้วย
สายตาของเว่ยเยวียนตกอยู่บนผืนผ้าไหมเหลืองแล้วเอ่ย “นี่คือวัสดุที่มีแต่ผินเฟยขั้นสามในวังเท่านั้นที่จะใช้ได้”
พระสนมในวังก็มียศถาบรรดาศักดิ์เช่นกัน ผู้อยู่สูงสุดก็คือฮองเฮา รองลงมาเป็นหวงกุ้ยเฟย แล้วก็กุ้ยเฟย คำเรียกเฉพาะแบบพระสนมฝูเช่นนี้อยู่ระดับชั้นเอกขั้นหนึ่ง
ต่อจากนั้นก็เป็นฟูเหริน กุ้ยจี เจาอี๋ และอื่นๆ ล้วนอยู่ในชั้นเอกขั้นสาม
การจำระดับของคนงามในวังหลังเป็นจุดบอดความรู้ของสวี่ชีอัน แต่เรื่องนี้ไม่เป็นปัญหาใหญ่ เขาเอ่ยถาม “แล้วนางข้าหลวงจะมีวัสดุเช่นนี้ได้อย่างไรกัน”
องค์ชายสี่ตอบกลับ “ถ้าไม่ใช่ของพระราชทานจากผู้สูงส่ง ก็ต้องขโมยมา”
สวี่ชีอันพยักหน้า
เว่ยเยวียนรับผ้าไหมสีเหลือเก่าๆ หม่นๆ มาแล้วพิจารณาดู “วสันต์ ปีหยวนจิ่งที่สามสิบเอ็ด…”
“ปีนั้นมีเรื่องใหญ่อะไรเกิดขึ้นหรือไม่ ข้าหมายถึงเรื่องในวัง” สวี่ชีอันตื่นเต้น เขาถามตรงๆ เลยว่าปีนั้นเคยเกิดเรื่องใหญ่อะไรหรือไม่
นี่เป็นแรงบันดาลใจที่เขาได้รับมาจากเรื่องที่ฮองเฮาถูกปลดคราวก่อน
ปีหยวนจิ่งที่สามสิบเอ็ด ฮองเฮาถูกส่งเข้าตำหนักเย็น
ปีต่อมาเว่ยเยวียนก็ออกรบ เมื่อได้รับชัยจากการรบโจมตีกับเผ่าป่าเถื่อนทางเหนือ ฮองเฮาก็ได้ออกจากตำหนักเย็น หากไม่ใช่เพราะรู้เรื่องนี้ ถึงสวี่ชีอันจะคิดสมองแตกอย่างไร ก็ทำได้แค่เดาว่าจักรพรรดิหยวนจิ่งนึกถึงความรู้สึกเก่าๆ จึงอภัยโทษให้ฮองเฮา
ดังนั้น ผ้าที่นางข้าหลวงหวงเสี่ยวโหรวทิ้งไว้และปักว่าปีหยวนจิ่งที่สามสิบเอ็ดนี้ บางทีอาจสามารถตามหาเบาะแสพบได้จากเหตุการณ์ในปีนั้นๆ ก็เป็นได้
เว่ยเยวียนและฮว๋ายชิ่งส่ายหน้าพร้อมกัน
“ลองคิดดีๆ สิ” สวี่ชีอันไม่ยินยอม
ทั้งสองยังคงส่ายหน้า
ก็ได้ นักเรียนหัวกะทิทั้งสองคนพร้อมใจกันปฏิเสธ กว่าครึ่งคงไม่มีความหวังแล้ว…ก็จริง แค่นางกำนัลตัวเล็กตัวน้อยคนหนึ่ง จะไปเกี่ยวข้องกับเรื่องใหญ่ๆ ได้อย่างไร
สวี่ชีอันเลียริมฝีปาก รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย
สืบคดีพระสนมฝูมาจนถึงตอนนี้ก็นับว่าเข้าสู่โหมดยากแล้ว เบาะแสก่อนหน้านี้ล้วนเป็นสิ่งที่มือบงการเบื้องหลังโยนมาให้ ทำให้ความยากของรูปคดีไม่มากนัก
หากพูดอีกอย่าง แม้ว่าจะไม่ใช่เขาทำคดี แต่คนอื่นๆ ก็สามารถสืบได้เช่นกัน ความแตกต่างจะอยู่ที่เวลาเท่านั้น
แต่ตอนนี้เมื่อกระโดดออกมาจากการชี้นำของมือบงการเบื้องหลังได้ ในที่สุดก็วนมาถึงคราวที่เจ้าแซ่สวี่ผู้ชอบของฟรีจะได้อวดฝีมือสักที
ช้าก่อน…
ทันใดนั้น สายฟ้าก็ฟาดเข้าที่จิตใจของสวี่ชีอัน เขานึกถึงรายละเอียดที่ตนมองข้ามได้แล้ว
เขายืดหลังตรง สีหน้าเคร่งเครียดแล้วเอ่ยว่า “เว่ยกง ข้าน้อยมีเรื่องที่อยากจะขอคำชี้แนะขอรับ”
เมื่อเห็นฆ้องทองแดงที่ตนชื่นชมมีท่าทางจริงจัง เว่ยเยวียนก็วางถ้วยชาลงแล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ว่ามา”
“ก่อนที่ข้าน้อยจะกลับเมืองหลวง คดีของพระสนมฝูถูกเลื่อนออกไปเรื่อยๆ ทั้งสามสำนักหลบเลี่ยงที่จะทำคดี หากว่าข้าน้อยตายไปจริงๆ คดีนี้ก็จะถูกตัดสินว่าองค์รัชทายาทเป็นผู้กระทำผิดอย่างนั้นหรือขอรับ”
ตอนแรกเริ่ม สวี่ชีอันคิดว่าคดีนี้มีลับลมคมในมาก สามสำนักไม่อยากข้องเกี่ยว จนกระทั่งเขาฟื้นคืนชีพขึ้นมาก็ได้รับเผือกร้อนลูกนี้เข้าพอดี
วันนั้นตอนที่พบกับองค์รัชทายาท ศาลต้าหลี่ยังบอกเป็นนัยว่าเขามาเป็นแรงงานแทนผู้อื่น
เว่ยเยวียนหยิบถ้วยชาขึ้นมาอีกครั้ง แล้วดื่มไปอึกหนึ่งอย่างไม่ช้าไม่เร็ว “วันนี้ฝ่าบาทประสงค์ที่จะปลดฮองเฮา สามสำนักและขุนนางทั้งหลายไม่เห็นด้วย คิดว่าควรจะให้มีการยืนยันให้แน่ชัดเสียก่อนแล้วค่อยปรึกษาเรื่องนี้อีกครั้ง ไม่ควรจะเป็นสิ่งที่ฝ่าบาทกล่าวว่าจะปลดก็ปลดได้
“ความคิดของขุนนางมีอยู่สามอย่าง หนึ่งคือ การปลดฮองเฮาเป็นเรื่องใหญ่ ต้องมีขั้นตอน ไม่อาจทำได้ง่ายๆ สอง ขุนนางเกลียดชังเหตุการณ์ที่ปรากฏขึ้นกะทันหันเช่นนี้ มันจะทำให้พวกเขาคิดว่าตนมีอำนาจควบคุมท้องพระโรงไม่เพียงพอ และสาม พวกเขาจำเป็นต้องมีเวลาคิดคำนวณผลประโยชน์หลังจากปลดฮองเฮา”
หมายความว่า เจ้าและขุนนางเป็นพวกวางหมากเก่งกันมาตั้งแต่โบราณเลยสินะ…สวี่ชีอันเข้าใจแล้ว “เช่นนั้น เรื่องขององค์รัชทายาทก็คงจะใช้หลักการนี้ตัดสินเช่นกัน”
เว่ยเยวียนพยักหน้า “เรื่องขององค์รัชทายาทเกี่ยวพันกับบ้านเมือง ไม่ใช่สิ่งที่ฝ่าบาทกล่าวว่าให้เวลาสามวันก็จะเป็นสามวัน มิใช่ว่าสามสำนักไม่สืบสวน เพียงแต่บอกฝ่าบาทว่าพวกเขาต้องการเวลา”
“ดังนั้น ความจริงแล้วเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องมีข้าเลย แม้ว่าข้าจะไม่กลับมา แต่เมื่อผ่านไปหลายวันก็จะมีคนมารับคดีต่อเอง จากนั้นก็ตามเบาะแสที่ผู้อยู่เบื้องหลังมอบมาให้ ก็จะเดินไปตามเส้นทางที่วางไว้แล้วสืบรู้เรื่องของฮองเฮาทีละนิดๆ”
คำพูดของสวี่ชีอันทำให้องค์ชายสี่ตกตะลึงจนต้องเบิกตาโต
ส่วนเว่ยเยวียนตกอยู่ในการครุ่นคิด
“ดังนั้น เรื่องที่เจ้าพบการลอบสังหารเมื่อคืน ก็เป็นเพราะผู้อยู่เบื้องหลังไม่อยากให้เจ้าสืบต่อไปแล้วใช่หรือไม่ เขากลัวเข้าแล้ว” องค์หญิงฮว๋ายชิ่งเห็นจุดสำคัญในทันที นางเอ่ยการคาดเดาในใจของสวี่ชีอันออกมา
“กลัว?” องค์ชายสี่ไม่เข้าใจ
“การฟื้นคืนชีพของสวี่ชีอันอยู่เหนือความคาดหมายของผู้อยู่เบื้องหลัง และชื่อเสียงของเขาก็โด่งดังเกินไป ผู้อยู่เบื้องหลังไม่กล้าให้เขาสืบสวนต่อ ดังนั้น เมื่อเบาะแสชี้ไปยังเสด็จแม่ ผู้อยู่เบื้องหลังจึงต้องรีบส่งมือสังหารออกไป หวังจะกำจัดใต้เท้าสวี่”
ฮว๋ายชิ่งอธิบายให้พี่ชายฟัง
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”
องค์ชายสี่เอ่ยถาม “เช่นนั้นตอนนี้พวกเราจะสืบอย่างไร”
เว่ยเยวียนและฮว๋ายชิ่งไม่พูดจา ต่างมองไปที่สวี่ชีอัน
พวกเขาล้วนเป็นคนฉลาด แต่การสืบคดียังคงต้องพึ่งผู้เชี่ยวชาญ
เหมือนกับที่สวี่ชีอันมักจะคิดว่าไอคิวของตนเทียบได้กับไอน์สไตน์ แต่เขาก็ต้องยอมรับว่าหากต้องการสร้างระเบิดปรมาณู เขายังขาดความรู้เรื่องนี้อยู่มาก ต้องพึ่งพานักวิทยาศาสตร์มืออาชีพ
สายตาของทั้งสามมองมา นักสืบชื่อดังสวี่หนิงเยี่ยนกล่าวเสียงขรึม “ข้า…ต้องการชันสูตรศพ”
…
พระราชวัง
องค์ชายสี่และองค์หญิงฮว๋ายชิ่งนำสวี่ชีอันเข้าวังมา รถม้าเพิ่งจะเข้าสู่ประตูวัง สวี่ชีอันก็เลิกผ้าม่านขึ้นแล้วเอ่ยเสนอ
“ต้องแจ้งแก่ขันทีผู้นั้นเสียหน่อยพ่ะย่ะค่ะ ถึงอย่างไรนี่ก็คือกฎที่ฝ่าบาทกำหนดให้กระหม่อม”
องค์ชายสี่ครุ่นคิดแล้วพยักหน้า “ไม่เลวเลย ใต้เท้าสวี่เป็นผู้มีกฎมีระเบียบ มีจิตใจซื่อสัตย์ภักดีต่อต้าฟ่งและเสด็จพ่อ”
เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าแค่ทำตามใจ…สวี่ชีอันกล่าวอย่างซาบซึ้ง “องค์ชายสี่มองคนเก่งกาจนักพ่ะย่ะค่ะ”
ฮว๋ายชิ่งอยู่ในรถม้าอีกคัน องค์หญิงที่ยังไม่ได้อภิเษกไม่มีทางได้รับอนุญาตให้นั่งร่วมรถม้าเดียวกับชายหนุ่มแน่นอน
หากไม่มีพี่ชายที่เป็นก้างขวางคอคนนี้อยู่ บางทีสวี่ชีอันอาจจะขอทำหน้าหนาแล้วนั่งร่วมรถคันเดียวกับองค์หญิงสักหน่อย
องค์ชายสี่รีบส่งคนไปแจ้งทันที หนึ่งเค่อต่อมา ขันทีสวมชุดคลุมลายปลาบินสีฟ้าอ่อนก็รีบวิ่งเข้ามา
เขามองสวี่ชีอันอย่างงุนงง “ใต้เท้าสวี่ มิใช่ว่าคดีจบลงแล้วหรือขอรับ”
สวี่ชีอันตอบกลับ “ฝ่าบาทยังมิได้เก็บป้ายทองกลับไป ข้าก็จะสืบต่อ”
“ได้ ได้เลย…”
ความจริงขันทีน้อยไม่คิดจะรับดูแลเรื่องนี้ต่ออีกแล้ว เขายังอยากมีชีวิตอยู่อีกหลายปีนะ
แต่ฮว๋ายชิ่งและองค์ชายสี่ล้วนอยู่ตรงนี้ด้วย เขาไม่กล้าปฏิเสธ จึงเดินตามอยู่ด้านหลังสวี่ชีอันอย่างจนใจ แล้วไปที่ห้องเย็นด้วยกันกับเขา
เมื่อเข้าใกล้ห้องเย็น จู่ๆ สวี่ชีอันก็สั่งว่า “เจ้าไปเชิญหมัวมัวสักคนมา”
เมื่อไล่ขันทีน้อยไปแล้ว สวี่ชีอัน องค์หญิงฮว๋ายชิ่ง และองค์ชายสี่ก็เข้าไปในห้องเย็น เพื่อพบเห็นศพของนางข้าหลวงหวงเสี่ยวโหรว
รอยผ่าที่อกและคอถูกเย็บเรียบร้อย
“เราต้องตรวจศพอีกรอบแล้ว” สวี่ชีอันจ้องไปที่ศพของหวงเสี่ยวโหรว
เมื่อเห็นศพบวมอืดขาวซีด องค์ชายสี่ก็ขมวดคิ้วไม่หยุด แล้วเบือนหน้าไปทางอื่น
“เจ้าจะตรวจอะไรอีก” ฮว๋ายชิ่งเอ่ยถามด้วยหน้าไม่เปลี่ยนสี
“พระองค์ยังจำ ‘กฎเกณฑ์’ ที่กระหม่อมเคยกล่าวตอนตรวจสอบศพเมื่อวานได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” สวี่ชีอันเรียกขันทีประจำห้องเย็นเข้ามาแล้วกล่าว “ยกนางไปที่ลาน ตรงนี้มีแสงไม่พอ”
ฮว๋ายชิ่งตะลึง จากนั้นก็เข้าใจความหมายของสวี่ชีอัน ใบหน้าขาวสล้างจึงมีรอยฝาดแดงปรากฏขึ้นที่แก้ม
นางรู้ว่าสวี่ชีอันจะทำอะไร
ขันทีสองคนเข้ามาจากข้างนอก แล้วยกแผ่นกระดานเรียบๆ ออกไปจากห้องเย็น จากนั้นวางศพไว้ที่ลานกลางแสงอาทิตย์
สวี่ชีอันปล่อยให้ศพตั้งอยู่กลางแดดพักหนึ่ง จนกระทั่งขันทีน้องเดินนำหมัวมัวคนหนึ่งเข้ามา สวี่ชีอันเห็นก็ดีใจทันที
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง