บทที่ 254 สวี่ชีอัน ‘ข้าสร้างความดีความชอบอีกแล้ว’
“เจ้ากำลังล้อข้าเล่นหรือ”
ความ ‘เย็นเยือก’ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเฉินกุ้ยเฟยทีละน้อย สีหน้า อารมณ์ แววตา และน้ำเสียงของนางล้วนเย็นชา
ดูสิ…สวี่ชีอันยักไหล่ พร้อมเยาะเย้ยภายในใจ บุคคลหนึ่งไม่ว่าจะกล่าววาจาน่าฟังเพียงใด ตราบใดที่ถูกเรียกร้องข้อแลกเปลี่ยนเกินจริง ล้วนเกิดอาการเดือดดาลขึ้นมาทันที
ยังดีที่ท่านไม่ได้รับปาก มิเช่นนั้นต่อให้ข้าทำให้หลินอันเสียใจ ก็ต้องทำลายความน่าเชื่อถือของท่าน
เฉินกุ้ยเฟยประคองถ้วยชาขึ้นจิบ ยามที่วางถ้วยชาลง สีหน้าก็กลับคืนเป็นปกติ “ช่องโหว่ที่ใหญ่ที่สุดของข้าก็คือหลางเอ๋อร์ ขอเพียงนางไร้ลมหายใจ คนตายก็มิอาจขึ้นให้การได้ อีกทั้งตึกสูงเช่นตำหนักเฟิ่งฉีนี้ใกล้จะทลายลงในชั่วพริบตาแล้ว อันเรียกว่านกที่ดีย่อมเลือกไม้ทำรัง ใต้เท้าสวี่เป็นคนปราดเปรื่อง ต้องเลือกอย่างไรในใจเจ้าย่อมรู้ดี”
สวี่ชีอันพยักหน้าเห็นด้วย “องค์รัชทายาทยังคงเป็นองค์รัชทายาท ฮองเฮากำลังจะเปลี่ยนตำแหน่ง กุ้ยเฟยก็รับปากว่าจะให้หลินอันแต่งงานกับข้า…ดังนั้น ข้าขอเลือกเว่ยกง”
เฉินกุ้ยเฟยสีหน้าชะงัก มือที่จับถ้วยชาออกแรงน้อยๆ ใช้เวลาอยู่นานจึงจะสามารถข่มอารมณ์ร้อนระอุด้วยต้องการจะสาดน้ำชาอันร้อนผ่าวใส่หน้าเด็กเหลือขอผู้นี้ หรือไม่ก็ปาใส่หน้าเขาทั้งถ้วย
“กล่าวเช่นนี้ ใต้เท้าสวี่เตรียมการพาหลางเอ๋อร์ออกจากตำหนักจิ่งซิ่ว และต้องการกำจัดข้าทิ้งแล้วอย่างนั้นหรือ”
คู่นัยน์ตาสวยของเฉินกุ้ยเฟยจ้องสวี่ชีอันตาเขม็ง บรรยากาศภายในห้องลดลงถึงจุดเยือกแข็ง จิตสังหารเข้าปกคลุมสวี่ชีอันโดยปริยาย
สวี่ชีอันผู้บรรลุระดับหลอมวิญญาณไม่ได้จับภาพไปยังศัตรูที่เตรียมจะลงมือ ทว่าสัญชาตญาณของนักรบขั้นเจ็ดกำลังส่งสัญญาณหนึ่งบ่งบอกเขาว่า ‘อันตราย!’
หากยืนกรานที่จะพาหลางเอ๋อร์ไป เช่นนั้นก็ต้องเผาก้อนกรวดและหยกงามลงไปพร้อมกันกับเฉินกุ้ยเฟย เมื่อเป็นเช่นนี้นางจะกลายเป็นสุนัขจนตรอก ไม่เกรงกลัวว่าที่นี่คือวังหลังอีกต่อไป ชีวิตของข้ามิอาจได้รับหลักประกัน แม้จะมีใต้ซือเสินซูอยู่ ทว่าเสินซูก็เป็นไพ่ตายใบสุดท้ายของข้า…สวี่ชีอันเย้ยหยัน ยืดหลังตรง ใบหน้าแสดงความเหยียดหยาม
“ข้าสวี่ชีอัน เผชิญหน้ากับกองทัพกบฏนับหมื่นในวันนั้น ต่อสู้ห้าวหาญด้วยตัวคนเดียว โค่นศัตรูนับพันคน ตายก็แต่ไม่ล้ม กุ้ยเฟยคิดว่าการข่มขู่เพียงเท่านี้จะทำให้ข้ากลัวหรือ ข้าไม่กลัวตาย ข่มขู่ด้วยความตายแล้วจะได้อะไร”
ข้าไม่กลัวตาย ข่มขู่ด้วยความตายแล้วจะได้อะไร…นัยน์ตาของเฉินกุ้ยเฟยดูประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด แล้วพยักหน้าช้าๆ “พูดได้ดี ใต้เท้าสวี่ช่างเป็นวีรบุรุษจริงๆ เอาข้าเสียอยู่หมัด…”
กุ้ยเฟยบีบถ้วยชาในมือแน่นราวกับจะบีบแก้วให้แตก
ทันใดนั้นสวี่ชีอันก็เอ่ยขึ้นเสียงดัง “แต่ข้าซื่อสัตย์ต่อหลินอัน ไม่ยอมเห็นนางเสียใจ เรื่องในวันนี้ข้าจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ได้”
ต่อให้ต้องเปิดโปงกุ้ยเฟย ข้าก็ต้องออกจากตำหนักจิ่งซิ่วให้ได้…สวี่ชีอันคิดอย่างจนใจ
เฉินกุ้ยเฟยจ้องมองเขาอยู่สักพัก ก่อนจะวางถ้วยชาลงและพยักหน้าอย่างพอใจ “เจ้าไม่ได้โกหก ดูท่าว่าเจ้าจะจริงใจกับหลินอันจริงๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดใต้เท้าสวี่จึงไม่ยอมพึ่งใบบุญล่ะ”
เจ้าคิดว่าข้าโง่งั้นหรือ พึ่งใบบุญเจ้าข้าต้องตายแน่ๆ ในเมืองหลวงคนที่ข้าพึ่งพาได้มีเพียงเว่ยเยวียนเท่านั้น ฮว๋ายชิ่งก็ช่วยได้เพียงครึ่งเดียว ส่วนหลินอัน องค์หญิงที่ไม่มีสิทธิ์และอำนาจเช่นนางมิอาจปกป้องข้าได้อยู่แล้ว
“กุ้ยเฟย อุปถัมภ์คนใช่ว่าสักแต่จะพูด ทว่าต้องลงมือทำจริง ข้าน้อยสวามิภักดิ์ต่อเว่ยกง เพราะเว่ยกงปฏิบัติต่อข้าอย่างจริงใจ ข้าไว้ใจเขา” เมื่อพูดจบสวี่ชีอันก็หันหลังชำเลืองมองขันทีน้อยที่นอกลานแล้วเอ่ย “ข้าน้อยจนปัญญากับกุ้ยเฟยแล้ว ทว่าข้าก็คิดว่ากุ้ยเฟยไม่สามารถทำอะไรข้าได้”
หากไม่มีความคิดที่จะเผาก้อนกรวดกับหยกไปพร้อมกัน เช่นนั้นเฉินกุ้ยเฟยก็ไม่น่าจะทำให้เขาลำบากใจอีก
แม้ขันทีน้อยจะเป็นเพียงลูกน้องชั้นปลายแถว แต่ตอนนี้เขารับหน้าที่เป็นหูเป็นตาของจักรพรรดิหยวนจิ่ง ถือว่าเป็นผู้เฝ้าสังเกตก็ได้ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่เขาล้วนทูลรายงานให้จักรพรรดิหยวนจิ่งทราบโดยไม่ตกหล่นสักคำ
เว้นเสียแต่เฉินกุ้ยเฟยจะลอบสังหารเขาโดยตรง มิเช่นนั้นแผนร้ายและหลอกลวง หรือยัดเยียดของใส่ความก็ล้วนไม่มีประโยชน์ ขันทีน้อยเป็นพยานให้ข้าได้
นี่ก็เป็นเหตุผลที่สวี่ชีอันยืนกรานจะให้ขันทีน้อยอยู่
เฉินกุ้ยเฟยมองเขาอย่างลุ่มลึก นัยน์ตาคู่สวยหรี่ลงเล็กน้อย “ข้าเพลียแล้ว เจ้าออกไปเถอะ…ประตูของตำหนักจิ่งซิ่วจะเปิดให้เจ้าตลอด”
“ข้าน้อยขอตัว”
สวี่ชีอันประสานมือคารวะและออกจากห้องไป
เมื่อขันทีน้อยที่อยู่ในลานเห็นเขาออกมาก็พุ่งตัวเข้ามาทันทีพร้อมเอ่ยถาม “ใต้เท้าสวี่ กุ้ยเฟยกล่าวอะไรกับท่านบ้าง”
“อย่าถามเลย หากถามก็ไม่รับประกันหัว” สวี่ชีอันกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์
ขันทีน้อยสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย
เมื่อเดินไปถึงลานนอก หลินอันกำลังนั่งอยู่ในศาลา มือหนึ่งเท้าคางมือหนึ่งเล่นถ้วยชา เบื่อจวนใจจะขาด
ข้างกายมีสองสาวใช้คอยยืนรับใช้
เมื่อเห็นสวี่ชีอัน ใบหน้าอันอวบอิ่มคลี่ยิ้มกว้าง ยิ้มจนตาโค้งหยี นัยน์ตาดอกท้อกะพริบปริบ กวักมือเรียกพร้อมเอ่ยเสียงหวาน
“เจ้าสุนัขรับใช้ มานี่เร็ว”
คำว่าสุนัขรับใช้ที่ตะโกนออกมาไม่ทรงพลังเลยแม้แต่น้อย ฟังแล้วคล้ายกับกระเง้ากระงอด สะบัดสะบิ้ง
สวี่ชีอันทอดถอนใจ ข่มอารมณ์ที่โหมซัดสาดไว้ แล้วยิ้มราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “องค์หญิง ข้าน้อยมาแล้ว”
หลินอันเอ่ยถามทันที “เสด็จแม่พูดอะไรกับเจ้า”
“กุ้ยเฟยบอกว่าองค์หญิงใกล้จะถึงวัยออกเรือนแล้ว จึงถามกระหม่อมว่าได้เลือกคนที่เหมาะสมไว้แล้วหรือยัง แนะนำชายหนุ่มผู้มากพรสวรรค์ให้กับนางหน่อย อาจช่วยองค์หญิงเสาะหาพระสวามีในอนาคตได้”
หลินอันชะงักงัน แสงอัสดงค่อยๆ ไต่ขึ้นบนใบหน้า แล้วเอ่ยอย่างระแวง “เสด็จแม่น่ะหรือจะกล่าวเรื่องเช่นนี้กับเจ้า? ”
เอ๊ะ เหตุใดเจ้าถึงไม่ติดกับล่ะ เจ้าฉลาดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร ข้ายังคิดจะเสนอตัวเองต่อจากนี้อยู่เลย สวี่ชีอันได้แต่คิดในใจอย่างจนปัญญา
“กระหม่อมล้อเล่นพ่ะย่ะค่ะ”
ยายตัวร้ายขมวดคิ้วเรียว “สุนัขรับใช้ เจ้ากล้าแทะโลมข้าหรือ”
เอ่ยพลางเท้าเอวจ้องเขา
“กระหม่อมยังเยาว์วัย ไม่อาจเข้าใจคำว่าแทะโลม”
ยายตัวร้ายเปล่งเสียงจึกจักในลำคอ คิดว่าคำพูดของสวี่ชีอันน่าสนใจมาก แล้วหัวเราะคิกคัก ราวกับแม่ไก่น้อย
รอยยิ้มของนางทั้งบริสุทธิ์และงามหยาดเยิ้ม ประหนึ่งทัศนียภาพอันงดงาม
สวี่ชีอันหัวเราะตาม ในใจก็ทอดถอนใจ
ก่อนหน้านี้เขาคิดจะแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง แล้วออกจากตำหนักจิ่งซิ่วไปก่อน จากนั้นก็บอกสิ่งที่ตนค้นพบกับเว่ยเยวียน ให้เว่ยเยวียนเร่งรีบจับกุมหลางเอ๋อร์ เพื่อที่เฉินกุ้ยเฟยจะได้รับมือไม่ทัน
ทว่าเพราะความสัมพันธ์ของหลินอัน เขาลังเลสักพักอย่างเลี่ยงไม่ได้ แม้หลังจากใจเย็นลงก็ยังมั่นหมายว่าจะเปิดโปงเฉินกุ้ยเฟยอย่างไม่ลังเล
ระดับของเฉินกุ้ยเฟยไม่ได้ต่ำต้อย คาดเดาได้เลยว่าขณะที่ขาข้างหนึ่งของเขาเพิ่งจะก้าวออกไป หลางเอ๋อร์เองก็อาจลาลับจากโลกนี้ไปด้วยอาการเจ็บป่วยอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นแน่ เมื่อเป็นเช่นนี้ เฉินกุ้ยเฟยก็จะไม่มีช่องโหว่อีกต่อไป
เฉินกุ้ยเฟยนับว่าเป็นพระสนมที่ฉลาดเฉลียวยิ่งนัก…หญิงสาวผู้โง่เขลาเช่นหลินอันเติบโตขึ้นมาภายในรั้วพระราชวังไม่รู้ว่าเป็นพรหรือคำสาป
เมื่อย้อนนึกถึงการกระทำเมื่อครู่ของเฉินกุ้ยเฟยแล้ว นางช่างรอบคอบเสียจริง ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นก็เลือกเรียกเขาให้เข้าไปลองเชิงก่อน ผลสุดท้ายก็ถูกนางพบเบาะแสเข้าจริงๆ
คำกล่าวที่เปิดเผยตรงไปตรงมาเหล่านั้นดูเหมือนเป็นอะไรที่ชวนบีบคั้นหัวใจ แต่ในความเป็นจริงแล้วนางไม่หวาดกลัวอะไรทั้งสิ้นเนื่องจากมีคนคอยหนุนหลัง เพราะนางรู้ว่าตราบใดที่กำจัดหลางเอ๋อร์ได้ ตัวนางก็จะปราศจากช่องโหว่ ส่วนสวี่ชีอันก็ไม่สามารถพาตัวหลางเอ๋อร์ไปได้อยู่แล้ว เว้นเสียแต่ไม่อยากมีชีวิตอยู่
ในเมื่อถูกพบแล้วก็ไม่อ้อมค้อม เปิดใจบอกกล่าวกันตามตรง หวังจะได้รับความไว้วางใจจากข้า…จากนั้นก็โยนพระธิดาคนงามออกไปเป็นเหยื่อ หากข้าเป็นพวกมักมากในกามละก็ น่าจะติดกับไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว…
ข้ามีใต้ซือเสินซูโอบหุ้มอยู่ อาจจะไม่สิ้นลมตรงนั้น แต่ก็คงเปิดเผยร่างที่แท้จริง จักรพรรดิหยวนจิ่งคนสารเลวนั่นจะต้องผนึกข้าไว้ที่ซังผออย่างแน่นอน ผลลัพธ์สุดท้ายยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ต้องเผาก้อนกรวดและหยกงามไปพร้อมกัน
เมื่อออกจากตำหนักจิ่งซิ่ว สวี่ชีอันบอกว่ายังมีภารกิจสำคัญต้องจัดการ จึงปฏิเสธคำเชิญเล่นหมากเรียงห้าตัวของยายตัวร้าย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง