บทที่ 256 ถวายเกียรติแด่บรรพบุรุษ
“วันนี้ใต้เท้าสวี่พาข้ารับใช้ไปสอบถามรายชื่อผู้ที่เข้าออกห้องโอสถหลวง…”
ขันทีน้อยเล่าออกมาตรงๆ เขาเล่าไปเรื่อยๆ ตามรายชื่อ จักรพรรดิหยวนจิ่งนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา นัยน์ตาลุ่มลึก ไม่รู้ว่ากำลังตั้งใจฟังหรือคิดถึงอย่างอื่น
“คนสุดท้ายในรายชื่อคือนางข้าหลวงใหญ่ที่อยู่ข้างกายกุ้ยเฟยแห่งตำหนักจิ่งซิ่ว ใต้เท้าสวี่พาข้ารับใช้ไปสอบถาม แต่ถูกปฏิเสธการต้อนรับ”
เมื่อฟังถึงตรงนี้ นัยน์ตาที่แข็งทื่อของจักรพรรดิหยวนจิ่งก็ขยับราวกับถูกดึงความสนใจกลับมาเล็กน้อย
“ใต้เท้าสวี่จนปัญญาจึงไปที่ตำหนักเส้าอินเพื่อขอความช่วยเหลือจากองค์หญิงหลินอัน…”
คำพูดของสวี่ชีอันผุดขึ้นมาในหัวของขันทีน้อยและเขาก็พูดอย่างเป็นธรรมชาติ “หลังจากสอบถามหลางเอ๋อร์แห่งตำหนักจิ่งซิ่ว สีหน้าของใต้เท้าสวี่ก็ย่ำแย่อย่างมากราวกับว่าไม่อยากอยู่อีกต่อไป แม้แต่ชาก็ไม่ดื่มและพาข้ารับใช้จากไปอย่างรีบร้อน… แต่ยังไม่ได้ออกจากตำหนักจิ่งซิ่ว หลางเอ๋อร์ก็ย้อนกลับมาและบอกว่ากุ้ยเฟยเชิญใต้เท้าสวี่เข้าไปพูดคุยที่ลานเพื่อขอบคุณเขาที่คลี่คลายคดีพระสนมฝู เดิมทีใต้เท้าสวี่ไม่เต็มใจไปเข้าเฝ้า แต่หลางเอ๋อร์บังคับให้เขาอยู่” ขันทีน้อยหยุดไปครู่หนึ่งและพูดต่อ
“จากนั้นกุ้ยเฟยก็สั่งให้ทุกคนออกไป ข้ารับใช้ไม่อาจเข้าไปในห้องได้ จึงทำได้เพียงรออยู่ในลานบ้าน…”
“ช้าก่อน! ”
ดวงตาของจักรพรรดิหยวนจิ่งกลับมาปราดเปรียวโดยสมบูรณ์ เขาขัดจังหวะขันทีน้อย จ้องมองเขา บ่นพึมพำกับตัวเองสองสามวินาทีและเอ่ยอย่างช้าๆ “สั่งให้ทุกคนออกไปหรือ”
“ทูลฝ่าบาท ใช่พ่ะย่ะค่ะ”
“พวกเขาพูดอะไรกันที่ลานบ้าน”
ขันทีน้อยพูดว่า “ข้ารับใช้อยู่ไกลเกินไปจึงได้ยินไม่ชัด ทำได้เพียงมองดูใต้เท้าสวี่กับกุ้ยเฟยพูดคุยกันในห้องจากไกลๆ”
จักรพรรดิหยวนจิ่งทาบมือขวาที่ริมฝีปาก ทำท่าทางครุ่นคิดและพลันเอ่ยขึ้นว่า “เมื่อครู่นี้เจ้าพูดว่า หลังจากสวี่ชีอันสอบถามหลางเอ๋อร์ สีหน้าก็ย่ำแย่อย่างมากหรือ”
ก่อนที่ขันทีน้อยจะตอบ สีหน้าของขันทีชราก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยและตำหนิว่า “เจ้าบ้านี่ ปกติข้าสอนเจ้าว่าอย่างไร”
ตอนที่รายงาน อย่าเอาอารมณ์ส่วนตัวไปปะปน อย่าคิดทำให้ฝ่าบาทเข้าใจผิด ต้องยุติธรรมและเป็นกลาง
จักรพรรดิหยวนจิ่งยกมือขึ้นขัดจังหวะขันทีชราที่โกรธจัด
เมื่อเห็นเช่นนี้ ขันทีน้อยก็มีความมั่นใจเล็กน้อย “ย่ำแย่มากจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหยวนจิ่งพยักหน้า ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและตรัสถามว่า “สวี่ชีอันอยากไป แต่หลางเอ๋อร์บังคับให้อยู่หรือ”
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีน้อยสังเกตเห็นว่าความเปลี่ยนแปลงบางอย่างในท่าทีของจักรพรรดิหยวนจิ่งและเอ่ยอย่างระมัดระวัง “ใต้เท้าสวี่พูดว่า เขาสืบสวนคดีตามคำสั่งขององค์จักรพรรดิ เป็นภารกิจ กุ้ยเฟยไม่จำเป็นต้องของคุณ หลางเอ๋อร์พูดว่า หากใต้เท้าสวี่ไม่ไปเข้าเฝ้ากุ้ยเฟย เขาก็ไม่สามารถออกจากตำหนักจิ่งซิ่วได้”
เมื่อฟังถึงตรงนี้ ดวงตาของจักรพรรดิหยวนจิ่งก็ราวกับมีแสงเปล่งออกมา ครั้งนี้เขาครุ่นคิดนานมาก ในห้องบรรทมเงียบจนน่ากลัว ขันทีสองคนชราหนึ่งน้อยหนึ่งต่างกลั้นหายใจ เพราะกลัวว่าจะรบกวนจักรพรรดิที่คาดเดาไม่ได้
ในที่สุดจักรพรรดิหยวนจิ่งก็เอ่ยอย่างช้าๆ “ตอนสวี่ชีอันจากไป…อารมณ์เป็นอย่างไร”
คำพูดนี้สวี่ชีอันอธิบายไว้ก่อนที่จะจากไป แต่ขันทีน้อยไม่ได้ตอบในทันทีและแสร้งทำเป็นครุ่นคิด ก่อนจะกล่าวว่า
“ใต้เท้าสวี่ออกจากวังไปอย่างหนักอกหนักใจ”
เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ เขาจึงกล่าวเสริมว่า “ก่อนออกจากวัง ใต้เท้าสวี่มักจะคุยกับข้ารับใช้สองสามประโยคด้วยความอิ่มเอมใจ แต่วันนี้แตกต่างออกไปเป็นพิเศษ แม้แต่ครึ่งคำก็ไม่พูด”
จักรพรรดิหยวนจิ่งโบกมือ
“เจ้าไปได้” ขันทีชราพูดทันที
หลังขันทีน้อยออกจากห้องบรรทมไป จักรพรรดิหยวนจิ่งก็นั่งไม่พูดไม่จาเป็นเวลานาน ก่อนจะตรัสว่า “ไปนำตัวหลางเอ๋อร์แห่งตำหนักจิ่งซิ่วเข้ามาพบข้า”
ขันทีชราขานรับและออกจากที่ประทับไปอย่างช้าๆ
…
ในยามพลบค่ำที่พระอาทิตย์ตกดิน ขันทีชรานำหน่วยทหารรักษาพระองค์เดินผ่านกำแพงตำหนักชั้นต่างๆ จนมาถึงตำหนักจิ่งซิ่ว
ขันทีที่เฝ้าประตูจำได้แต่ไกลๆ ว่าเป็นคนสนิทที่อยู่ข้างกายฝ่าบาท จึงพุ่งเข้าไปและเอ่ยว่า “ท่านขันทีโปรดรอสักครู่ ข้ารับใช้จะไปแจ้งกุ้ยเฟย…”
“ข้ารีบ” ขันทีชราผลักเขาและนำทหารรักษาพระองค์เข้าไปในลานบ้าน เมื่อเดินผ่านลานด้านหน้าก็ได้ยินเสียงร้องไห้ดังมาจากลานด้านใน
ขันทีชรายืนอยู่ที่ลานด้านในและกล่าวเสียงดัง “กุ้ยเฟย บ่าวมาขอเข้าเฝ้า”
นางข้าหลวงที่ขอบตาแดงเล็กน้อยคนหนึ่งเดินออกมาจากในห้องของเฉินกุ้ยเฟยและเอ่ยเสียงเบา “กุ้ยเฟยเชิญท่านเข้าไปข้างใน”
ขันทีชราตามนางข้าหลวงเข้าไปในห้อง เห็นเฉินกุ้นเฟยนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ ในมือถือผ้าเช็ดหน้าเช็ดดวงตาเป็นพักๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าโศก
“กุ้ยเฟย ท่านเป็นอะไรไปหรือ” ขันทีชราถามด้วยความประหลาดใจ
“คนรับใช้ที่อยู่ข้างกายข้าเพิ่งล้มป่วยกะทันหันและตายจากไป หมอหลวงก็ช่วยกลับมาไม่ได้” เฉินกุ้ยเฟยเอ่ยอย่างเศร้าโศก
“นี่…” ขันทีชราปลอบว่า “กุ้ยเฟย ข้าเสียใจด้วย นางข้าหลวงคนนั้นชื่ออะไรหรือ”
“หลางเอ๋อร์”
“!!!” สีหน้าของขันทีชราแข็งทื่อ
“คนสนิทมาที่ตำหนักจิ่งซิ่วของข้ามีธุระอันใดหรือ” เฉินกุ้ยเฟยตรัสถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ขันทีชราฉีกยิ้ม “ฝ่าบาทส่งบ่าวมาปลอบขวัญกุ้ยเฟย ฝ่าบาททรงรู้ว่าในช่วงเวลานี้ กุ้ยเฟยเป็นกังวลและหวาดกลัว”
เฉินกุ้ยเฟยเบือนหน้าหนีและตรัสอย่างเศร้าโศก “แม้แต่มาพบข้าฝ่าบาทก็ทำไม่ได้เชียวหรือ”
ขันทีชราหัวเราะแห้งๆ และไม่ได้ประเมินคำตัดพ้อของกุ้ยเฟย
เขาพูดคุยกับกุ้ยเฟยสองสามประโยคและพลั้งปากว่า “หลางเอ๋อร์คนนั้นอายุยังไม่มากเลย”
แม้ว่าหลางเอ๋อร์จะเป็นคนเก่าคนแก่ของตำหนักจิ่งซิ่ว แต่จักรพรรดิหยวนจิ่งไม่ได้เสพสุขกับนางสนมมาสิบยี่สิบปีแล้ว ขันทีชราจึงไม่มีความประทับใจอะไรต่อนางข้าหลวงคนสนิทที่โชคร้ายตามก่อนวัยอันควรคนนี้
“เด็กน้อยผู้น่าสงสาร” เฉินกุ้ยเฟยเผยสีหน้าเศร้าโศก
ขันทีชราถือโอกาสเอ่ยว่า “บ่าวขอไปดูหน่อยเถิด”
เขายังมีอีกหนึ่งสถานะหนึ่งคือผู้ดูแลกิจการภายใน ซึ่งเป็นผู้นำของขันทีกับนางข้าหลวงในพระราชวัง แต่สถานะนี้ก็คือคนสนิทของจักรพรรดิหยวนจิ่ง
รองผู้ดูแลถึงจะเป็นผู้มีอำนาจที่แท้จริง
ท้ายที่สุดแล้วผู้ดูแลกิจการภายในก็ยุ่งมาก ไม่อาจรับใช้อยู่ข้างกายองค์จักรพรรดิตลอดเวลาได้
หลังจากกล่าวลาเฉินกุ้ยเฟย ขันทีชราก็เดินเข้าไปในห้องปีกทางทิศใต้ด้วยการนำของนางข้าหลวงและเห็นหลางเอ๋อร์ที่ใบหน้าซีดขาวนอนอยู่บนเตียง
“เชิญหมอหลวงมาตรวจแล้วใช่หรือไม่”
“ตรวจแล้วเจ้าค่ะท่านขันที หมอหลวงบอกว่าเป็นโรคทางสมอง ไม่มีวิธีรักษา”
ขันทีชราจ้องมองหลางเอ๋อร์อยู่นานและสั่งว่า “คนก็มอบให้ข้าจัดการเถอะ”
เขาสั่งให้ทหารรักษาพระองค์นำศพของหลางเอ๋อร์ไปและรีบกลับไปรายงาน
เมื่อกลับมาถึงที่ประทับของจักรพรรดิหยวนจิ่ง จักรพรรดิเฒ่ายังคงนั่งตัวตรงอยู่ด้านหลังโต๊ะขนาดใหญ่ที่ปูผ้าไหมสีเหลืองสดใสไว้และมองไปทางประตูด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์
เมื่อเห็นขันทีชราข้ามธรณีประตูเข้ามาในห้อง เขาก็ยังคงไม่มีปฏิกิริยาอะไร
“ฝ่าบาท หลางเอ๋อร์ตายแล้ว…” ขันทีชราเอ่ยเสียงเบา
หลังจากนั้นนานมาก จักรพรรดิหยวนจิ่งก็ส่งเสียง ‘อืม’ ออกมา จักรพรรดิที่เมินเฉยอยู่บนจุดสูงสุดของอำนาจมาสามสิบปีผู้นี้ไม่ยินดียินร้าย
…
วันต่อมา จักรพรรดิหยวนจิ่งเรียกประชุมอีกครั้งท่ามกลางท้องฟ้าที่มืดสลัวเจ้าหน้าที่พลเรือนและทหารเข้าไปในประตูอู่เหมินอย่างเป็นระเบียบ ส่วนหนึ่งอยู่ที่จัตุรัสด้านนอกพระตำหนักกระดิ่งทอง ส่วนหนึ่งยืนอยู่บนขั้นบันไดหินอ่อนด้านนอกพระตำหนักกระดิ่งทอง
มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่เข้าไปในห้องโถงใหญ่ คนส่วนนี้ถูกเรียกรวมๆ โดยนักเล่าเรื่องว่า ‘ข้าราชการในท้องพระโรง’
หลังจากกลุ่มขุนนางเข้าไปในห้องโถง จักรพรรดิหยวนจิ่งก็เดินออกมาจากด้านหลังห้องโถงช้าไปหนึ่งเค่อและนั่งบนบัลลังก์ของตัวเอง
หลังจากการถวายรายงานตามปกติระหว่างจักรพรรดิกับขุนนาง เจ้ากรมกรมอาญาก็เดินออกมาและกล่าวเสียงดังว่า “ฝ่าบาท สามสำนักตรวจสอบเสร็จแล้ว ฮองเฮาเป็นผู้บงการคดีพระสนมฝูจริงพ่ะย่ะค่ะ
“ตระกูลซ่างกวนไม่สมควรแก่ตำแหน่ง ปองร้ายพระสนม ใส่ร้ายองค์รัชทายาท ขอให้ฝ่าบาทโปรดลงโทษสถานหนักด้วย”
เจ้ากรมศาลต้าหลี่ก้าวมาข้างหน้าเพื่อสนับสนุนข้อเสนอนี้ทันที
ภายในห้องโถง ขุนนางบุ๋น ผู้บัญชาการทหารและขุนนางบางส่วนเห็นด้วย พวกเขาต่างก็ประสานเสียงเป็นหนึ่งเดียว
นี่หมายความว่า พวกเขาหารือกันเรียบร้อยแล้วเมื่อวานนี้ การปลดฮองเฮาไม่เหมือนการปลดองค์รัชทายาท ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับรากฐานของชาติ การปลดฮองเฮาเป็นเพียงเรื่องในครอบครัวของจักรพรรดิ ขอเพียงมีเหตุผลและหลักฐานพิสูจน์ว่าฮองเฮาสูญสิ้นคุณธรรมจริงและไม่ใช่เพราะจักรพรรดิหลงรักคนใหม่ เช่นนั้นเหล่าขุนนางก็ไม่มีเหตุผลและไม่จำเป็นต้องขัดขวาง
ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการปลดฮองเฮาเพียงอย่างเดียวคือตัวตนขององค์ชายสี่ ต้องรู้ว่าองค์ชายสี่เป็นทายาทตามกฎหมายเพียงคนเดียวของจักรพรรดิหยวนจิ่ง ผู้คนมากมายจึงมอบสมบัติให้เขา
ผู้คนที่ไม่เห็นด้วยส่วนนั้นก็คือพรรคพวกขององค์ชายสี่
ไม่รอจักรพรรดิหยวนจิ่งแสดงท่าที เว่ยเยวียนก้าวออกมา ภายในห้องโถงสงบลงทันที
“ฝ่าบาท คดีพระสนมฝูยังมีอีกเงื่อนงำ ฮองเฮาไม่ใช่ผู้บงการ ผู้บงการที่แท้จริงคือหวงเสี่ยวโหรว นางฆ่าพระสนมฝู หลอกองค์รัชทายาทไปที่ตำหนักชิงฟงและปลอมแปลงคดีนี้”
เว่ยเยวียนเพิ่งจะพูดจบ ขุนนางใกล้ชิดที่ชอบเถียงก็กระโดดออกมาโต้กลับ
“ไร้สาระ เพียงแค่นางข้าหลวงคนเดียวจะก่อคดีสะเทือนเลื่อนลั่นนี้ได้อย่างไร อีกอย่าง เหตุใดหวงเสี่ยวโหรวคนนั้นถึงต้องใส่ร้ายองค์รัชทายาท เว่ยเยวียน เจ้าเห็นฝ่าบาทเป็นอะไร เห็นข้าราชการในท้องพระโรงเป็นอะไร”
หลังพูดจบ เขาก็กล่าวเสริมอีกประโยคว่า “ขอฝ่าบาทโปรดตัดเสี้ยนหนามนี้ทิ้งด้วย”
ขุนนางชั้นผู้ใหญ่คนอื่นๆ ค่อยๆ ด่าทอเว่ยเยวียน ภายในห้องโถงเสียงดังอยู่ครู่หนึ่ง
ขันทีชราถือแส้ไว้ในมือและฟาดอย่างแรง พื้นส่งเสียง ‘เพี๊ยะ’ ออกมาดังสนั่นและเขาก็ตำหนิว่า “เงียบ!”
จากนั้นภายในห้องโถงก็สงบลง
เจ้ากรมกรมอาญาและเจ้ากรมศาลต้าหลี่มองเว่ยเยวียนอย่างเยาะเย้ย ขุนนางทุกคนก็มองเว่ยเยวียนเช่นกัน ทั้งยิ้มเยาะ ทั้งเย้ยหยัน ทั้งไม่เข้าใจและจนปัญญา ฝ่ายหลังมาจากพรรคพวกขององค์ชายสี่
ส่วนสายตารอบๆ กับเสียงด่าทอของขุนนางใกล้ชิด เว่ยเยวียนไม่สนใจเลยและพูดว่า “เมื่อวานนี้ ฆ้องทองแดงสวี่ชีอันที่รับผิดชอบคดีพระสนมฝูพบว่าหวงเสี่ยวโหรวเคยตั้งครรภ์…”
พูดยังไม่จบ ภายในห้องโถงก็เกิดความโกลาหลขึ้นอีกครั้ง
นางข้าหลวงหวงเสี่ยวโหรวเคยตั้งครรภ์หรือ?!
ในพระราชวังนอกจากทหารรักษาพระองค์แล้ว คนที่สามารถทำให้ผู้หญิงตั้งครรภ์ได้จริงๆ มีเพียงจักรพรรดิหยวนจิ่งเท่านั้น ทหารรักษาพระองค์เป็นไปไม่ได้แน่นอน คนที่สามารถคุ้มกันวังหลังได้ล้วนเป็นยอดฝีมือที่จงรักภักดีต่อราชวงศ์และถูกเลือกจากคนนับร้อยคน
และมักจะเป็นกลุ่มก้อนไม่กี่คนซึ่งคอยดูแลสอดส่องกันและกัน จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะแอบไปมีความสัมพันธ์กับนางข้าหลวง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง