ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 271

บทที่ 271 ท้าทายฆ้องเงิน

หญิงผู้นี้ดูแล้วอายุประมาณสามสิบกว่า รูปร่างธรรมดา หน้าตาก็งั้นๆ

สวี่ชีอันได้พบเจอสาวงามในช่วงวัยเท่ากับนางมามากมาย อาทิ เฉินกุ้ยเฟย ฮองเฮา และอาสะใภ้ของเขา ในแง่ของรูปร่างหน้าตา ทุกคนล้วนเอาชนะหญิงผู้นี้อย่างขาดลอย

แต่นางมีพลังบางอย่างที่สาวสวยเหล่านั้นไม่มี

ความซึน… ถูกต้อง มันคือนิสัยซึนเดเระ[1] นั่นเอง

นิสัยเช่นนี้ไม่ค่อยปรากฏในสาวแก่สักเท่าไร

สวี่ชีอันรู้อยู่แก่ใจ เพียงแต่ไม่อยากยอมรับ “ถุงหอมอะไร”

“ถุงหอมสีเขียวอ่อน ข้างในมีเงินยี่สิบตำลึงทอง” หญิงผู้นั้นกดมือสองข้างลงบนโต๊ะ ใช้สายตาเหยียดหยามมองสวี่ชีอันพร้อมกัดฟันพูด “เอาคืนมา”

ตะ ตำลึงทองหรือ?! สวี่ชีอันหัวใจกระตุก ทว่าแสร้งตีสีหน้าเรียบเฉยต่อไปแม้จะงงงวยก็ตาม “ท่านป้า ถุงหอมของเจ้าหายไป แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้า”

“ป้าหรือ?!” นางแผดเสียง

ยายป้าผู้นี้โมโหจนใบหน้าแดงก่ำลามไปถึงใบหู ดวงตาของนางเบิกกว้าง จ้องมองที่สวี่ชีอันอย่างโกรธเคือง

ปฏิกิริยานี่มันอะไรกัน ตัวเองอายุอานามตั้งเท่าไรก็รู้ดีอยู่แก่ใจ…สวี่ชีอันโบกมือ ไล่นางไปไกลๆ “ข้าไม่ได้ขโมยถุงหอมของเจ้า ไสหัวไปซะ”

หญิงผู้นั้นสูดหายใจเข้าลึก แล้วหันไปตะโกนลั่น “มานี่!”

บริเวณทางขึ้นบันได ปรากฏใบหน้าของเด็กน้อยที่ชะเง้อชะแง้ออกมา ที่แท้ก็เป็นเด็กที่สวี่ชีอันแกล้งจนตกใจหนีไปเมื่อครู่ และเป็นเด็กที่เห็นเขาหยิบถุงหอมไปด้วย

“เขานี่แหละที่หยิบถุงหอมไปและข่มขู่ข้า” เด็กน้อยชี้ไปที่สวี่ชีอันและพูดเสียงดังลั่น

นักดื่มที่อยู่โดยรอบหันมามองเป็นตาเดียว หญิงสาวทรงเสน่ห์ผู้นั้นก็มองดูฉากตรงหน้าพร้อมรอยยิ้มอย่างเพลิดเพลิน

“เด็กน้อย มานี่ซิ” สวี่ชีอันกวักมือเรียก

เด็กน้อยส่ายหน้าและจ้องไปที่สวี่ชีอันอย่างหวาดระแวง

สวี่ชีอันหยิบเศษเงินออกมาจากแขนเสื้อ พอดีดนิ้วเศษเงินก็ตกลงบนพื้นและกลิ้งไปหยุดต่อหน้าเด็กน้อย จากนั้นเขาจึงพูดด้วยรอยยิ้ม

“ไหนพูดอีกที ข้าได้ยินไม่ชัด”

เด็กน้อยหยิบเศษเงินแล้วเอ่ยเสียงดังฟังชัด “ข้าไม่รู้ ไม่เห็นอะไรเลย”

สวี่ชีอันหัวเราะชอบใจ “ไปซื้อถังหูลู่มากินนะ”

เด็กน้อยลงบันไดจากไปอย่างมีความสุข

ฆ้องทองแดงทั้งสองหัวเราะพร้อมกับพวกเขา มองดูหญิงสาวผู้แสนจืดชืดอย่างขำขัน

นักดื่มที่อยู่รอบๆ เบนสายตาไปทางอื่น ในเมื่อไม่มีอะไรน่าสนใจให้รับชม ก็หันกลับไปจดจ่อกับการต่อสู้บนสังเวียนต่อ

แม้แต่พวกหน้าใหม่ที่มาถึงเมืองหลวงเป็นครั้งแรกก็ยังรู้ว่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเป็นขาใหญ่ประจำเมืองหลวง ไม่สามารถยั่วยุได้ หญิงผู้นี้มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นพวกผมยาวแต่ไร้สมอง[2] ไม่รู้ถึงความร้ายกาจของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเสียแล้ว

อย่าว่าแต่ยึดถุงหอมเลย ต่อให้ให้จับยัดใส่กล่องเอาไปถวายตัวให้ฮ่องเต้ หากเจ้าไม่มีคนหนุนหลังดีๆ ก็หมดทางรอด

หญิงผู้นั้นจ้องมองสวี่ชีอันชั่วครู่ ทันใดนั้นก็คลี่ยิ้มเปี่ยมด้วยเสน่ห์สุดจะพรรณนา

นางนั่งลงอย่างสบายอารมณ์ หยิบชามและตะเกียบที่สวี่ชีอันยังไม่ได้ใช้ขึ้นมา และสวาปามอาหารเหมือนไม่มีใครอยู่ใกล้ ดูเหมือนคนที่หิวโซจริงๆ นางลงมือกินอาหารอย่างตะกละตะกลาม หลังจากอิ่มท้องแล้ว นางเปลี่ยนท่าทีวางตัวสง่างามทันที

หลังจากที่นางกระดกเหล้าจอกเล็กๆ ลงไป นางก็มองไปยังสวี่ชีอันและเย้ยหยัน “นี่ ใต้เท้าไม่คิดจะล่ามข้าน้อยไปขังที่ทำการปกครองหรือ”

สวี่ชีอันตอบกลับอย่างเรียบเฉย “ท่านป้า ข้าวแค่ไม่กี่คำ ไม่ต้องถึงขั้นนั้นหรอก”

คิดดูแล้วหญิงผู้นี้คงจะหิวเพราะถึงเวลาอาหารเย็นพอดี พอหาถุงหอมไม่พบ ก็ย้อนหาตามทางเดิม จนมาเจอกับเขาที่นี่

‘ป้าหรือ’…นางกัดฟันกรอดอีกครั้ง

“เหอะ สงสัยพึ่งบารมีผู้หลักผู้ใหญ่สิท่า ไม่อย่างนั้นมีหรือจะได้เป็นถึงฆ้องเงินตั้งแต่อายุยังน้อย” จอมยุทธ์หนุ่มที่อยู่ข้างๆ กดเสียงต่ำ เอ่ยด้วยน้ำเสียงชิงชัง

หญิงซึ่งอายุราวๆ อาสะใภ้ของเขา ได้ยินดังนั้นก็มองสวี่ชีอันอย่างยียวน

“ถูกต้อง แม้แต่ถุงหอมของป้าแก่ๆ คนหนึ่งก็ยังละโมบ ดูอย่างไรก็ไม่ใช่คนดี” จอมยุทธ์หนุ่มอีกรายกระซิบกระซาบ

เมื่อสาวเจ้าได้ยินเช่นนั้น นางก็พูดด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “เป็นถึงฆ้องเงินเสียเปล่า คนอื่นว่าร้ายลับหลัง ไม่โกรธเชียวหรือ”

หญิงผู้นี้น่าสังเวชเหลือเกิน… สวี่ชีอันถามยิ้มๆ “แล้วเจ้าว่าควรทำอย่างไรดีล่ะ”

หญิงผู้นั้นกล่าวอย่างโกรธแค้น “ก็จับเข้าคุกหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลให้หมดน่ะสิ”

จอมยุทธ์หนุ่มโต๊ะข้างๆ ได้ยินประโยคนี้เข้าแล้ว แต่พวกเขาไม่อยากหาเรื่อง จึงนิ่งเงียบไปโดยปริยาย เพราะถึงอย่างไร พวกเขาก็ไม่กล้ายั่วโมโหหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล

“แบบนั้นก็เกินไป ก็แค่คนปากมากนิดหน่อยเอง” หลังจากที่สวี่ชีอันพูดจบ เขาก็เสริมอีกประโยค “ท่าทางยาจกไม่มีปัญญาจ่ายค่าปรับสักตำลึง เปลืองแรงเปล่าๆ”

จอมยุทธ์หนุ่มโกรธจัดแต่ไม่กล้าตอบโต้

หญิงผู้นั้นเลิกสนใจสวี่ชีอันหันไปกินข้าวจิบสุรา ขณะชมการต่อสู้ของนักสู้บนสังเวียนอย่างเมามัน

ที่สวี่ชีอันไม่ไล่ยายป้าที่น่าสนใจผู้นี้ไป เป็นเพราะรู้สึกว่านางไม่ธรรมดาเหมือนหน้าตา

ย้ำอีกครั้งว่ารูปร่างหน้าตาของนางนั้นสุดแสนจะจืดชืด ไม่มีทั้งรูปร่างอวบอัดน่ามอง ไม่มีทั้งหน้าตาทรงเสน่ห์เย้ายวน

แต่ตัวตนของนางไม่น่าจะธรรมดา คนปกติไม่พกเงินติดตัวไปไหนมาไหนมากขนาดนั้น ครึ่งจินเท่ากับแปดตำลึง ถ้าสักยี่สิบตำลึงคงหนักประมาณหนึ่งจินนิดๆ

ก็ไม่ถือว่าหนักมาก ต่อให้เป็นเด็กก็ยังแบกน้ำหนักประมาณนี้ได้ แต่ว่ายี่สิบตำลึงเทียบเท่ากับเงินออมหนึ่งปีของคนปกติเชียวนะ

หากเป็นตำลึงทอง ก็เป็นเงินก้อนโตอย่างคาดไม่ถึง

ยายป้าคนนี้สวมเสื้อผ้าสตรีธรรมดา เรือนผมสีดำขลับเงางามปักด้วยปิ่นไม้เรียบๆ หากพรรณนาตามฉบับสวี่ชีอันในชาติก่อนคงต้องกล่าวว่า

‘ทั้งตัวมีแต่ของดาดๆ เต็มที่ให้แค่ร้อยหยวนขาดตัว’

แต่ทว่ายายป้าผู้สุดแสนจะธรรมดาผู้นั้นเพียงแต่เท้าเอวมองจิกหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลผู้ใจจืดใจดำ ที่ฉกฉวยเงินจำนวนมหาศาลที่นางทำหายไปเท่านั้น ความขุ่นเคืองต่อสวี่ชีอันที่ฉกฉวยของของตนไปแล้วไม่คืน ยังมีมากกว่าความขุ่นเคืองที่ตนสูญเงินก้อนใหญ่เสียอีก

นี่มันใช่นิสัยที่คนปกติทั่วไปพึงมีหรือ

เงินยี่สิบตำลึง หากเปลี่ยนเป็นสวี่ชีอัน ป่านนี้คงได้จัดการเอาชีวิตของไอ้เวรที่ฉกเงินไปไม่คืนเรียบร้อยโรงเรียนจีน

ถ้าเป็นยี่สิบตำลึงทอง แจ็กหม่าก็แจ็กหม่าเถอะ ป่านนี้แจ้งตำรวจไปแล้ว

“ใต้เท้า ข้าน้อยขอดื่มกับท่านสักจอกได้หรือไม่เจ้าคะ”

ในตอนนั้นเอง หญิงสาวหน้าตาสะสวยเย้ายวนผู้นั้นก็บิวเอวคอดกิ่วเยื้องย่างเข้ามาพร้อมกับจอกเหล้าในมือ

สวี่ชีอันเพิ่งสังเกตเห็นว่านางสวมกระโปรงยาวถึงเอว ผืนผ้าเส้นยาวคาดอยู่บนเอวบาง รูปร่างแบบนี้มันช่างโดนใจใช่เลย…

เขาเหลือบมองป้าข้างๆ โดยที่นางไม่รู้ตัว นางสวมเสื้อผ้าแสนเฉิ่มเชย เนื้อผ้าหนาเตอะ อายุอานามขนาดนี้แล้ว หุ่นก็คงจะไม่ได้ดีสักเท่าไร

“ได้สิ”

สวี่ชีอันรีบเชื้อเชิญคนงามให้นั่งลง แต่ติดปัญหาที่เก้าอี้ทั้งสี่ตัวมีคนนั่งเต็มหมดแล้ว สาวสวยผู้มีดวงตาดุจผลชิ่งได้แต่มองซ้ายมองขวา ไม่กล้านั่ง

นางไม่กล้าทำให้ฆ้องทองแดงทั้งสองหัวเสีย จึงค่อยๆ หันไปหาสตรีอีกนางหนึ่ง ส่งยิ้มหวานแล้วกล่าว “ท่านน้าเจ้าคะ…”

ยายป้าหันกลับมา จ้องมองหญิงสาวทรงเสน่ห์ด้วยสายตาดุดัน แต่หลังจากมองตั้งแต่หัวจรดเท้ารอบหนึ่ง ยายป้าวัยสามสิบก็ส่งเสียง ‘หึ’ เป็นเชิงเหยียดหยัน แล้วหันกลับไปชมการต่อสู้ต่อ

สายตาของนางเมื่อครู่มันอะไรกัน นางใช้สายตาดูหมิ่นดูแคลนมองข้าหรือ…หญิงสาวแสนสวยหรี่ตามอง นี่เป็นครั้งแรกที่หญิงอื่นมองตนด้วยสายตาเช่นนั้น

ในอดีตไม่ว่านางจะไปที่ใด ล้วนเป็นจุดสนใจของเหล่าบุรุษ

ในสายตาของบุรุษ ทุกอิริยาบถของนางช่างน่ารักน่าเอ็นดู ชวนให้หลงใหล เห็นแล้วเลือดลมสูบฉีด

เหล่าหญิงสาวก็จะพากันอิจฉา ริษยาและพากันให้ร้ายนาง

แต่ยายป้าสูงวัยผู้นี้กลับใช้สายตาเหยียดหยันมองนาง

สวี่ชีอันส่งสายตาให้ฆ้องทองแดงทางซ้าย ฆ้องทองแดงหัวไวจึงหยิบกระบี่ขึ้นและกล่าวด้วยความเคารพ “ใต้เท้า ข้าน้อยขอตัวออกไปลาดตระเวนก่อนนะขอรับ”

สวี่ชีอันส่งเสียง ‘อืม’ แล้วเชื้อเชิญด้วยรอยยิ้ม “แม่นางโปรดนั่งลงเถิด”

หญิงเจ้าเสน่ห์ยิ้มหวานและรวบกระโปรงนั่งลงไป

นางสังเกตสวี่ชีอันมาพักใหญ่แล้ว ชายผู้นี้เป็นเหยื่อชั้นดี อย่างแรกหน้าตาหล่อเหลา เครื่องหน้าประณีตราวกับงานแกะสลัก ดวงตาของเขาดุจดั่งดวงดาวที่ส่องประกายเจิดจ้า

จมูกโด่งเป็นสันและคิ้วสีดำหนารับกับโครงหน้าอันเข้มแข็ง ดูสมชายชายตรี

นอกจากนี้ สิ่งที่ทำให้สนใจมากขึ้นคือตำแหน่งฆ้องเงินของสวี่ชีอัน อายุยังน้อยแต่มาอยู่ในตำแหน่งนี้ได้ หากไม่ใช่เพราะความสามารถอันเยี่ยมยอด ก็ต้องมีผู้อาวุโสที่มากอำนาจในตระกูล

ไม่ว่าจะอย่างใดก็คู่ควรให้นางผูกมิตรชิดใกล้

“ข้ายังไม่ได้ถามชื่อเสียงเรียงนามของใต้เท้าสินะเจ้าคะ”

“สวี่ชีอัน…แล้วชื่อของแม่นางเล่า”

“หรงหรงเจ้าค่ะ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง