บทที่ 272 จอมโจรหญิง
สวี่ชีอันยืนขึ้นที่ระเบียง วางมือบนราวกั้น และเหล่มองชายที่อยู่บนสังเวียน
แน่เสียยิ่งกว่าแช่แป้ง เขาไม่รู้จักชายที่กำลังเอะอะเอ็ดตะโรผู้นี้ และเขาจำไม่ได้ว่ามีศัตรูระดับกระดูกเหล็กผิวทองแดงด้วย
ศัตรูไม่น่าจะปรากฏตัวขึ้นมาโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เพียงแต่ข้าคิดไม่ถึงเท่านั้น…สวี่ชีอันลูบคางของตน พลางครุ่นคิดถึงศัตรูที่อาจจะพุ่งเป้ามาที่เขา
ในด้านการใช้ชีวิต เขามีเจตนารมณ์ที่ยึดถือความเมตตาเป็นที่ตั้ง ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยคุณธรรมจะมาโดยตลอด
ในด้านงานราชการ เขายึดมั่นในความเที่ยงธรรม เห็นแก่ประโยชน์สุขของบ้านเมืองและประชาชนเป็นหลัก
คนดีๆ เช่นนี้ไม่ควรมีศัตรู
เฉินกุ้ยเฟยเป็นผู้หญิงที่ร้ายกาจ หากนางต้องการแก้แค้นข้า คงจะลอบสังหารมากกว่าจะทำอะไรเอิกเกริกเช่นนี้… หากเป็นพวกขุนนางในท้องพระโรง แม้ว่าหลายฝ่ายจะอยากให้ข้าตาย แต่สถานการณ์ตรงนี้ดูไม่ใช่วิถีของปัญญาชนแม้แต่น้อย…
“กลัวหัวหดแล้วนั่น”
“ไร้สาระ นั่นมันยอดฝีมือระดับกระดูกเหล็กผิวทองแดงเชียวนะ เจ้านั่นตัวก็แค่นี้ โดนหมัดเดียวก็หายวับไปแล้ว”
“ดังนั้น ไอ้พวกคุณชายเจ้าสำราญที่เกาะบารมีบรรพบุรุษเนี่ย ไม่ควรจะเที่ยววางก้ามเดินกร่างไปทั่วเมืองหลวงน่ะสิ พอเจอยอดฝีมือกับตัว ก็ไม่มีปัญญาสู้”
ในสายตาของเหล่าจอมยุทธ์หนุ่มโต๊ะตรงข้าม ความ ‘ลังเล’ ของสวี่ชีอันทำให้เขากลายเป็นพวกขี้ขลาดตาขาว
เหล่าจอมยุทธ์หนุ่มโล่งใจทันที ความคิดของพวกเขาในขณะนี้ เหมือนพาสาวสวยระดับตัวท็อปไปเที่ยวไนต์คลับ แต่ระหว่างทางคุณชายจ้าวก็ดันเข้ามาพอดี แล้วแหกปากลั่นว่า “คืนนี้คุณชายจ้าวเลี้ยงเอง!”[1]
แม่สาวตัวท็อปจึงประทับใจในความใจป้ำของคุณชายจ้าว และหันไปซบอกคุณชายจ้าวแทน…แต่ทันใดนั้น สวรรค์ก็ประทานพร ส่งลูกพี่ตัวจริงลงมา จัดการตบหลังแหวนใส่คุณชายจ้าวไปเลยหนึ่งดอก แล้วพูดว่า
‘แกมันไม่คู่ควร!’
ถึงจอมยุทธ์หนุ่มจะไม่ได้ตบด้วยตนเอง แต่ก็ยังสะใจอยู่ดี การได้เห็นคุณชายหอกเงินเคลือบขี้ผึ้ง[2]โดนสั่งสอนให้ขายขี้หน้า มันสะกิดต่อมความสุขของจอมยุทธ์หนุ่มเต็มๆ
คิดมาถึงตรงนี้ พวกเขาก็หันไปมองแม่นางหรงหรง คาดหวังว่าจะได้เห็นความผิดหวังในดวงตาของนาง เมื่อเห็นคุณชายบ้านรวยสูญเสียภาพลักษณ์สูงส่งนั้นไป
จากนั้นนางก็จะคิดได้ว่าพวกเขาต่างหากที่เก่งกล้าสามารถอย่างแท้จริง และหันมาซบอกพวกเขาแทน
แต่เห็นได้ชัดว่าแม่นางหรงหรงหาได้มีความคิดตื้นเขินอย่างที่จอมยุทธ์หนุ่มคาด สาวเจ้าส่งสายตาห่วงใย แม้ว่าฆ้องเงินผู้หล่อเหลาเอาแต่หันหลังให้นางก็ตาม
ตอนนั้นเอง สวี่ชีอันก็หันกลับมา ใช้มือหนึ่งจับด้ามดาบที่คาบเอวไปด้านหลัง แล้วเอ่ย “ข้าขอตัวสักครู่”
“อ๊ะ!”
จู่ๆ แม่นางหรงหรงก็เข้ามาประชิด แล้วรั้งแขนสวี่ชีอันไว้ ก่อนจะปล่อยมือเมื่อเห็นเขาขมวดคิ้ว นางยิ้มเป็นเชิงขอโทษแล้วกล่าว “เหตุใดต้องไปเกลือกกลั้วกับพวกจอมยุทธ์ชั้นต่ำด้วยล่ะเจ้าคะ”
สวี่ชีอันไม่ตอบ เพียงแต่ส่ายหัวแล้วเดินลงไปข้างล่างแทน
“ต่อให้พื้นเพยิ่งใหญ่มาจากไหน ก็น่าจะหาตัวช่วยไว้ก่อนสิ ขืนไปทั้งแบบนั้น ก็เท่ากับไปตายเปล่าไม่ใช่หรือไร” แม่นางหรงหรงบ่นพึมพำ
เมื่อออกมาจากร้านอาหาร สวี่ชีอันตรงไปยังสังเวียน ดีดนิ้วโป้งเบาๆ พลังปราณก็เอ่อล้นออกมา
ชายผู้มีกระดูกเหล็กผิวทองแดง รวมถึงชาวยุทธ์ในฝูงชนก็สังเกตเห็น และค่อยๆ หันมามองทีละคนๆ พอได้เห็นเครื่องแบบฆ้องเงินของสวี่ชีอัน ก็เข้าใจแจ่มแจ้ง
ตัวจริงเสียงจริงมาถึงแล้ว
จึงหลีกทางให้แต่โดยดี
คนทั่วไปที่มาชมการแสดงหาได้ตระหนักเช่นชาวยุทธ์ไม่ จึงยังคงห้อมล้อมอยู่รอบด้าน
“ไสหัวไป!”
สวี่ชีอันจับชายในชุดผ้าป่านคนหนึ่งแล้วเตะเขาอย่างแรงจนอีกฝ่ายวิ่งหนีไปด้วยความอับอาย บรรดาผู้คนที่เห็นก็ถอยกรูดด้วยหวาดกลัว พากันหลีกทางให้โดยดี
“ไป ไสหัวไปให้หมด!”
สวี่ชีอันชักดาบออกจากฝักและไล่ฟันทุกคน ไม่สนหญิงชายหัวหงอกหัวดำ
“ทุกคนถอยห่างออกไปสิบจั้ง ห้ามเข้าใกล้…เอ้า ไอ้เฒ่า อย่าเพิ่งมาขายของเก่าของแก่แถวนี้ อยากชิมฝ่ามือเด็กหรือไรกัน”
“เด็กเวรบ้านไหนไม่มีคนพาออกไป พ่อจะจับไปขายให้หมด…ร้องหาพระแสงอะไร อยากโดนเตะหรือไง…อ้าวป้า ข้าวปลาทำเสร็จหรือยัง จานชามน่ะล้างหมดแล้วหรือ ถึงมาเสนอหน้ามาดูคนเขาตีกันแถวนี้…เป็นอะไรไปอีก ถ้าเจ้าเด็กกว่านี้สักยี่สิบปี พ่อจะจับขายให้หอนางโลมซะเลย”
บนระเบียงร้านอาหาร
จอมยุทธ์หนุ่มเกาะราวกั้น มองดูสวี่ชีอันรังแกประชาชนตาดำๆ ก็รู้สึกโมโหในความอยุติธรรมนั้น
“ไอ้ชาติหมานี่ มันระบายอารมณ์ใส่ชาวบ้านไปทั่วเลย”
“เก่งนักก็ขึ้นไปตีกันบนสังเวียนสิ ดีแต่รังแกประชาชน หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลประสาอะไร”
“ก็แค่ไอ้กระจอกคนหนึ่งละว้า”
เมื่อสวี่ชีอันไม่อยู่ตรงนั้น พวกเขาก็ด่าไม่ยั้ง
จอมยุทธ์หนุ่มหน้าตาดีกลับหลังหันเดินมาหยุดข้างกายหรงหรงแล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยน “แม่นางหรงหรง พวกเรากลับไปที่โรงสุรากันเถิด เดี๋ยวข้าจะเล่าเรื่องที่ท่านอาจารย์ของข้าขึ้นเหนือ สังหารชนเผ่าเถื่อนด้วยคมดาบให้เจ้าฟังเอง”
“ใช่แล้ว ดื่มกับลูกเศรษฐีกระจอกนี่มันจะสนุกอย่างไร เจ้าดูสิแม่นางหรงหรง เขาเก่งแต่รังแกชาวบ้านเท่านั้น” จอมยุทธ์หนุ่มอีกคนเห็นด้วย
แม่นางหรงหรงนั่งตัวตรง กวาดสายตามองจอมยุทธ์หนุ่มพวกนี้ แล้วเอ่ยยิ้มๆ “พวกท่านคิดว่าเขารังแกชาวบ้านจริงๆ หรือ”
“แล้วไม่ใช่งั้นหรือ” จอมยุทธ์หนุ่มถามกลับ
แม่นางหรงหรงกะพริบตาปริบ แล้วเอ่ยถามอย่างสงสัย “ในยุทธภพมีคำกล่าวว่า ‘ยอดฝีมือปะทะกัน คนไม่เกี่ยวข้องจงถอยห่าง!’ ว่ากันว่าความผันผวนของพลังปราณในนักรบตำแหน่งระดับสูงสามารถทำให้คนธรรมดาตกใจตายได้ไม่ยาก เรื่องแค่นี้พวกท่านก็ไม่รู้งั้นหรือ ไม่จริงน่า คงไม่กระมัง”
เหล่าจอมยุทธ์หนุ่มหน้าแดงทันที
“เช่นนั้นก็สามารถอธิบายสถานการณ์นี้ได้ว่า เขาไม่ได้ฉวยโอกาสรังแกประชาชน ระบายอารมณ์ใส่ชาวบ้านสินะ” จอมยุทธ์หนุ่มที่เชื้อเชิญหรงหรงยอมแพ้โดยไม่เต็มใจ
แม่นางหรงหรงก้มศีรษะดื่มสุรา เพื่อซ่อนความรังเกียจในดวงตาของนาง
ชาวบ้านร้านตลาดงี่เง่าจะตายชัก อธิบายดีๆ มีหรือพวกเขาจะฟัง พวกเขาเข้าใจคำพูดที่ว่า ‘ยอดฝีมือปะทะกัน คนไม่เกี่ยวข้องจงถอยห่าง’ หรือ
ชาวบ้านพวกนี้โง่เง่าไม่พอ พวกอันธพาลยังมีมากอีกด้วย พวกเขากลัวแต่เจ้าหน้าที่ทางการ จะรับมือกับพวกเขาควรคุยด้วยไม้หน้าสามจะดีกว่าคุยด้วยสันติวิธี
จอมยุทธ์หนุ่มเหล่านี้ล้วนมาจากครอบครัวที่ดีมีอาจารย์ที่ยอดเยี่ยม ปากบอกคนอื่นเป็นแมลงเม่าเกาะกินบุญเก่าของบรรพบุรุษ แต่ตนก็ยังสู้ฆ้องเงินสวี่ไม่ได้ด้วยซ้ำ
…
หลังจากเดินวนไปรอบๆ สังเวียน ในที่สุดสวี่ชีอันก็กระโดดขึ้นไปบนสนามประลอง ยืนถือดาบไว้มั่น จ้องมองชายฉกรรจ์ที่สูงกว่าเขาไปหนึ่งช่วงศีรษะ และเอ่ยถาม
“เจ้าเป็นคนของใคร”
“คนของมารดาเจ้าอย่างไรเล่า” ชายสูงแปดฟุตหัวเราะเยาะ
ด่าพ่อล่อแม่กับข้าเชียวหรือ ได้ พ่อจะไว้ชีวิตเจ้า แล้วลากกลับไปสั่งสอนวิถีความเป็นชายที่แท้จริงให้ในคุกใต้ดินหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ไม่ต้องกลัวมันเล่นไม่ซื่อ…สวี่ชีอันเก็บกระบี่กลับเข้าฝักที่เอวของเขา กระชับด้ามดาบในมือแล้วพูดว่า
“จัดการกับมดปลวกระดับหกเช่นเจ้า ใช้เพียงดาบเดียวก็พอแล้ว”
หยิ่งผยองถึงเพียงนี้เชียว?!
ชาวยุทธ์โดยรอบต่างตกตะลึง นักรบระดับหกถือเป็นบุคคลสำคัญของยุทธภพในระดับหนึ่ง ในบางมณฑลเป็นถึงหัวหน้ากลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ มีอำนาจเบ็ดเสร็จ
แม้ว่าจะมียอดฝีมือมากมายในเมืองหลวง แม้กระทั่งโหรระดับหนึ่งในตำนาน แต่นักรบระดับหกก็ยังไม่ใช่หัวกะหล่ำที่ใครก็สามารถล้มได้ง่ายๆ
“ฮ่าๆๆ”
ชายผู้สูงแปดฟุต ร่างกายบึกบึนเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อกล่าวพร้อมรอยยิ้มชั่วร้าย “ข้าจะบี้หัวเจ้าให้แหลก ไม่พอจะตัดลิ้นมากินแกล้มเหล้าด้วย”
บนระเบียง แม่นางหรงหรงหันไปมองฆ้องทองแดงที่ดื่มกินอาหารอย่างสบายใจ แล้วขมวดคิ้ว “ใต้เท้า ท่านไม่ไปเรียกคนมาช่วยหรือ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง