บทที่ 273 คนอีกคน
ขณะเดียวกัน ที่เมืองทางทิศใต้ ณ สังเวียนผู้กล้า
กลุ่มคนจากยุทธภพรีบออกันเข้ามา พวกเขาได้ยินข่าวว่ามีฆ้องเงินคนหนึ่งฟันจอมยุทธ์ระดับกระดูกเหล็กผิวทองแดงจนบาดเจ็บสาหัสได้ในดาบเดียว
คนจากยุทธภพล้วนสนใจเรื่องประเภทนี้เป็นพิเศษ และพวกเขาก็ยิ่งอยู่ในบริเวณใกล้ๆ ด้วย จึงต้องรีบพุ่งไปชมดูในทันที
แต่ว่าความขัดแย้งจบเสียแล้ว ฝูงชนแยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง เหลือเพียงคนเกียจคร้านไม่มีอะไรทำที่ยังคงอยู่
คนจากยุทธภพพวกนี้สังเกตการณ์ดูอยู่ที่สังเวียนผู้กล้าตั้งครึ่งค่อนวัน พวกเขาล้วนแต่เชื่อในข่าวลือ
เหตุผลก็คือ สภาพของสังเวียนนั้นสมบูรณ์เกินไป
ด้วยพลังของยอดฝีมือระดับกระดูกเหล็กผิวทองแดงและหากทั้งสองฝ่ายมีฝีมือเท่าเทียมกัน เช่นนั้นความเสียหายที่สร้างไว้บนสังเวียนก็ต้องชัดเจนและมองเห็นได้ง่ายสิ อย่างน้อยสังเวียนแห่งนี้ก็ไม่มีทางอยู่ดีได้หรอก
“พวกเจ้าดูตรงนี้ แล้วก็ด้านข้างด้วย…รูเล็กๆ เหล่านี้คืออะไร?” จอมยุทธ์หนุ่มคนหนึ่งกล่าว
“ดูเหมือนจะเป็นปราณกระบี่ ทั้งคมกริบและเล็กมาก ไม่เคยได้ยินว่ามีวิชากระบี่เช่นนี้มาก่อนเลย”
ผู้พูดคือหญิงงามผู้มีเสน่ห์นุ่มนวลคนหนึ่ง นางมีดวงตารูปผลซิ่งที่สดใสราวกับสายน้ำในฤดูใบไม้ร่วง ริมฝีปากถูกทาด้วยสีแดงสดงดงาม นางแต่งหน้าค่อนข้างหนา แต่กลับไม่ดูธรรมดาสามัญ เสริมความงามอันน่าหลงใหลของนางเป็นอย่างดี
จอมยุทธ์หนุ่มผู้เอ่ยถามพยักหน้า หากมันเกิดจากพลังปราณ เช่นนั้นก็ต้องเป็นรอยแตกขนาดใหญ่แล้ว
หญิงงามเปี่ยมเสน่ห์หันหน้าไปมองจอมยุทธ์หนุ่มอีกคนแล้วเอ่ยพร้อมยิ้มพราย “คุณชายหลิ่วว่าอย่างไรบ้างล่ะ”
คุณชายหลิ่วมีผิวที่ดีอย่างยิ่ง พร้อมกับคิ้วกระบี่และนัยน์ตาสุกสกาวราวกับดวงดาว ด้านหลังสะพายกระบี่เจ็ดดาราเอาไว้เล่มหนึ่ง
ในเมืองหลวงขณะนี้ ผู้ที่สามารถพกอาวุธติดตัวได้ล้วนเป็นบุคคลที่มีเบื้องหลังทั้งนั้น
คุณชายหลิ่วผู้นี้มาจากเจี้ยนโจว ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งวิชายุทธ์ของต้าฟ่ง ซึ่งคนท้องที่เรียกว่าสำนัก ‘โม่เก๋อ’ ในบรรดาคนจากยุทธภพทั้งหลาย พลังฝึกตนของคุณชายหลิ่วสูงที่สุด เขาเป็นหัวใจหลักของกลุ่ม
และที่สำคัญที่สุดคือ เขาเป็นผู้ใช้กระบี่
“ไม่จำเป็นต้องเป็นปราณกระบี่ รูเหล่านี้กระจัดกระจายไม่เท่ากัน ราวกับหมึกที่สาดกระเซ็น เหมือนเกิดขึ้นจากการที่ปราณกระบี่และปราณดาบปะทะกันแล้วแผ่กระจายไปทั่วทิศทาง”
หลังจากคุณชายหลิ่วเอ่ยจบ เขาก็กวักมือเรียกคนเกียจคร้านแถวนั้นคนหนึ่ง จากนั้นก็โยนเงินให้หนึ่งก้อนแล้วถามว่า “ได้ยินว่าเมื่อครู่มีฆ้องเงินคนหนึ่งที่เพียงใช้ดาบเดียวก็ฟันจนคู่ต่อสู้บาดเจ็บได้อย่างนั้นหรือ”
คนเกียจคร้านหักบิดก้อนเงิน หว่างคิ้วเผยความประจบประแจงและดีใจออกมา เขาพยักหน้าและโค้งตัว “จอมยุทธ์ทั้งหลายคงไม่ได้เห็น ดาบเล่มนั้นน่าทึ่งเหลือเกิน…รูบนพื้นเหล่านี้เกิดจากที่ใต้เท้าผู้นั้นชักดาบออกมาขอรับ เหมือนกับหยาดฝนที่ร่วงหล่นลงมาอย่างนั้นเลย”
เขาเล่าสิ่งที่ตนได้เห็นออกมาอย่างเป็นวรรคเป็นเวร
“เกิดขึ้นหลังจากปราณดาบเข้าปะทะแล้วค่อยแผ่ออกไป…ฝ่ายที่สู้ด้วยเป็นกระดูกเหล็กผิวทองแดงจริงๆ” หญิงงามพยักหน้า
มีเพียงกระดูกเหล็กผิวทองแดงเท่านั้นที่มีร่างกายเช่นนี้ ร่างกายที่มีเลือดมีเนื้อของผู้อยู่ต่ำกว่าระดับหกคงถูกปราณดาบฟันเป็นสองท่อนไปแล้ว
“เท่าที่ข้ารู้ ฆ้องเงินจากหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลจะอยู่ในระดับหลอมวิญญาณเป็นหลัก น้อยนักที่จะเป็นระดับกระดูกเหล็กผิวทองแดง” จอมยุทธ์หญิงอีกคนกล่าว
จอมยุทธ์หญิงผู้นี้คือคนที่มาจากสิบสามอำเภอของเมืองหลวง พอจะนับได้ว่าเป็นคนท้องที่ครึ่งหนึ่ง จึงมีความเข้าใจเกี่ยวกับหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลอันเลื่องลือของเมืองหลวงอยู่บ้าง
“นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ยอดฝีมือจากทางการเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์จากยุทธภพใช่หรือไม่ ใคร่เห็นกระบวนท่าของดาบเดียวนั้นเสียจริง” หญิงงามเปี่ยมเสน่ห์กล่าวพร้อมรอยยิ้ม
ตอนนี้เอง พวกเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้า ชายหนุ่มผู้สวมชุดเครื่องแบบของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลคนหนึ่งควบม้าพันธุ์ดีพุ่งเข้ามา
จอมยุทธ์หนุ่มสาวจากยุทธภพมองอยู่พักหนึ่งก็ถอนสายตากลับมา เดาว่าคงเป็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่มาตรวจตราสถานที่
แต่การกระทำของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลหนุ่มผู้นั้นกลับทำให้จอมยุทธ์จากยุทธภพทั้งหลายทั้งตื่นตกใจและโกรธเกรี้ยว
‘ชิ้ง!’
หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลผู้นั้นชักดาบออกมาแล้วควบม้าพุ่งมาทางพวกเขา
สีหน้าของคุณชายหลิ่วเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขายืนบังอยู่หน้าสหายของตนแล้วตบที่ด้านหลัง กระบี่เจ็ดดาราก็หลุดออกมาจากฝักแล้วพุ่งไปปะทะกับดาบของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลคนนั้น
หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลหนุ่มฟันเบาๆ กระบี่เจ็ดดาราก็หักเป็นสองท่อน แล้วตกลงกับพื้นอย่างไร้กำลัง จนเกิดเสียง ‘เคร้ง’ ดังขึ้นมา
“เจ้า…”
คุณชายหลิ่วทั้งตกใจและโกรธเคือง อาวุธเวทมนตร์ที่สำนักมอบให้ถูกทำลายไปเช่นนี้ เขาเจ็บปวดเสียจนแทบจะหายใจไม่ออก
สวี่ชีอันดึงบังเหียนม้าแล้วชี้ดาบไปยังสตรีผู้งามล้ำ ก่อนแสยะยิ้ม “เจ้ายังกล้ากลับมาด้วยหรือแม่นางหรงหรง ขโมยสมบัติของข้าไปกลับไม่ซ่อนตัวให้ดี ยังกล้าลอยหน้าลอยตากลับมาอีก ดูท่าจะไม่เคยโดนพิษสังคมสินะ ข้าจะให้ตัวเลือกสองอย่างกับเจ้า หนึ่ง เอาสมบัติคืนมาแล้วเป็นอนุของข้า หรือสอง เอาสมบัติคืนมา แล้วข้าจะขายเจ้าให้สำนักสังคีต”
ขโมยสมบัติของเขา?!
จอมยุทธ์ชายหญิงหันหน้าไปมองหญิงงามหยดย้อยอย่างงุนงง
แม่นางหรงหรงฉายาหัตถ์รื่นรมย์ยังคงใบหน้ายิ้มพรายอยู่ตลอดเวลา จากนั้นก็ขมวดคิ้ว แล้วส่ายหน้าให้สหายตนราวกับไม่รู้เรื่อง
คุณชายหลิ่วบังคับไม่ให้ตนมองดาบแสนรักของตัวเองแล้วกุมหมัดกล่าว “ใต้เท้าท่านนี้ ท่านเข้าใจอะไรผิดไปหรือไม่”
“ไสหัวไป!”
สวี่ชีอันมองพินิจดูแม่นางหรงหรง ทั้งทรงผม การแต่งกาย การแต่งหน้าล้วนแต่เป็นแบบเดียวกัน เป็นนางถูกแล้ว
“ความอดทนของข้ามีจำกัด ข้าจะให้เวลาเจ้าสามอึดใจ หากไม่มอบสมบัติของข้ามาละก็…” เขาหัวเราะหึๆ สามครั้ง
เหล่าจอมยุทธ์หนุ่มโกรธจัด
แม่นางหรงหรงก้าวไปข้างหน้า รับคมดาบของสวี่ชีอันอย่างไม่เกรงกลัวแล้วเอ่ยเสียงอ่อนหวานว่า
“ข้าน้อยไม่ได้รู้จักกับใต้เท้ามาก่อน ยิ่งไม่รู้ว่าสมบัติที่ว่านั่นคืออะไร ขอให้ใต้เท้ากล่าวให้ชัดเจนด้วย”
สวี่ชีอันนั่งอยู่บนหลังม้าแล้วมองลงมาที่นาง ก่อนเอ่ยเนิบๆ “เมื่อครู่นี้ เมื่อหนึ่งชั่วยามก่อนหน้านี้ เจ้าเจอกับข้าที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ดื่มกินพูดคุยเสียสนุกสนาน แต่ต่อมาก็อาศัยตอนที่ข้าลงไปต่อสู้ขโมยสมบัติของข้าโดยที่ไม่มีใครรู้เห็น”
เมื่อเอ่ยจบ แม่นางหรงหรงยังไม่ทันได้ตอบกลับ คุณชายหลิ่วก็เอ่ยอย่างโกรธเกรี้ยวขึ้นมาเสียก่อน “ไม่มีเรื่องเช่นนี้แน่นอน แม่นางหรงหรงอยู่กับข้าตลอด ไม่เคยมาที่นี่มาก่อน”
จอมยุทธ์ที่เหลือพากันเป็นพยาน
สวี่ชีอันขมวดคิ้ว คิดว่าตนเจอกับกลุ่มนักต้มตุ๋นเข้าแล้วอย่างนั้นหรือ?
แต่ดูจากน้ำเสียงและท่าทางแล้วเหมือนจะไม่ได้โกหก สวี่ชีอันผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาการแสดงสีหน้าในชั่วพริบตายังพอจะมองออก
เว้นแต่พวกเขาจะเป็นนักแสดงระดับแนวหน้า…น่าเสียดายที่หนังสือเวทมนตร์ของลัทธิขงจื๊ออยู่ในชิ้นส่วนหนังสือปฐพี ไม่อย่างนั้นก็ใช้วิชามองปราณดูได้แล้วว่าพวกเขาพูดโกหกหรือไม่…สวี่ชีอันครุ่นคิดพักหนึ่งแล้วกล่าว
“เจ้าตามข้ากลับไปที่หน่วยลาดตระเวนยามวิกาล พูดโกหกหรือไม่ เดี๋ยวข้าจะตัดสินเอง”
‘จะเป็นไปได้อย่างไร!’
ใบหน้าของเหล่าจอมยุทธ์หญิงทั้งหลายเปลี่ยนไปเล็กน้อย พวกนางเริ่มสงสัยในจุดประสงค์ที่แท้จริงของสวี่ชีอันแล้ว ในฐานะที่เป็นคนจากยุทธภพที่มีสำนักอยู่เบื้องหลัง พวกเขาย่อมมีประสบการณ์ได้เห็นได้ฟังมามากมาย และพอจะรู้ว่าเมื่อกล่าวถึงเส้นทางแห่งยุทธภพ พวกยอดฝีมือที่มีเบื้องหลังเป็นราชสำนักนั้นร้ายกาจและอันตรายเสียยิ่งกว่า
พวกเขาจะอาศัยอำนาจของตนมาทำเรื่องรังแกบุรุษข่มเหงสตรีได้อย่างง่ายดาย
แม่นางหรงหรงฉายาหัตถ์รื่นรมย์เป็นที่รู้จักในเมืองหลวงว่ามีใบหน้างดงาม ใครจะรู้ว่าฆ้องเงินหนุ่มผู้นี้โลภในความงามหรือไม่ จึงจงใจใช้เหตุผลว่าสมบัติของตนหายแล้วตั้งใจพาไปที่ที่ทำการ
พอเข้าไปในอาณาเขตของผู้นั้น จะตายหรือรอดก็รอดขึ้นอยู่กับคำพูดเดียว
“ท่านคิดว่าพวกเราเป็นปลาบนเขียงอย่างนั้นหรือ” คุณชายหลิ่วหรี่ตาแล้วยิ้มหยัน
จอมยุทธ์คนอื่นๆ ไม่ได้พูดอะไร แต่พากันจับดาบและกระบี่ของตนเอาไว้พร้อมกัน
แม้ว่าชาวยุทธภพจะเกรงกลัวราชสำนัก แต่ก็มีอุปนิสัยระแวดระวังเช่นกัน เมื่อเจอเรื่องด่วนเข้าจริงๆ แม้ว่าจะเป็นคนจากราชสำนัก พวกเขาก็กล้าสู้เป็นสู้ตาย อย่างมากก็แค่ถูกตามจับ แต่ก็ยังสามารถหนีเข้ายุทธภพได้
ไม่เช่นนั้นจะมีคำกล่าวว่า ‘นักบู๊ใช้วิชายุทธ์บ่อนทำลายความสงบ’ ได้อย่างไร
ตอนนี้เอง คนเกียจคร้านที่หลบอยู่ข้างๆ เพราะเห็นแก่เงินทางก็เอ่ยเตือนอย่างระมัดระวังว่า “เขาก็คือฆ้องเงินที่ทำร้ายคู่ต่อสู้บาดเจ็บด้วยดาบเดียวบนสังเวียนอย่างไรเล่า”
จอมยุทธ์หนุ่มสาวร่างกายแข็งขืน แล้วหันกลับไปมองคนเกียจคร้านผู้นั้นด้วยสีหน้าแข็งทื่อ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง
ขอเรื่องนี้อีกเรื่องได้ไหม "เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า" ยังอ่านไม่จบเลย...
ทุกเรื่องเลยครับที่อ่านไม่จบอ่านกำลังมันอยู่ดีๆก็หยุดขอให้เรื่องนี้ไม่หยุดได้ไหมครับ ถ้าเรื่องนี้ไม่จบเราก็จะไม่อ่านนิยายของ th.freechap.com แล้วครับ...