บทที่ 287 ยืมตัว
ศาสนาพุทธทรงพลังมากเพียงนั้น เหตุใดอยากผนึกคนทรยศในต้าฟ่งล่ะ บางทีซังผอแห่งต้าฟ่งอาจมีสิ่งพิเศษบางอย่าง หรือปัญหาอาจจะอยู่ที่ตัวไต้ซือเสินซูเองก็เป็นได้…
สวี่ชีอันลังเล แต่ก็อดไม่ได้ที่จะถามสิ่งที่ตนสงสัยออกไป
“ข้าเป็นเพียงคนธรรมดา ไม่ทราบเรื่องราวภายในเหล่านี้” เว่ยเยวียนส่ายหัวเป็นเชิงว่าตนก็ไม่ทราบเช่นกัน
“สวี่หนิงเยี่ยน ปีนี้เจ้าอายุยี่สิบแล้วสินะ” เว่ยเยวียนถามอย่างกะทันหัน
“ใช่ขอรับเว่ยกง” สวี่ชีอันผงะไปครู่หนึ่ง สงสัยว่าเหตุใดประโยคเปิดหัวข้อนี้จึงรู้สึกคุ้นเคยอย่างแรงกล้าราวกับเคยได้ยินมาก่อน
และแล้วก็ได้ยินประโยคต่อมาของเว่ยเยวียนตามที่คาด “เช่นนั้นก็ถึงเวลาออกเรือนแล้วสิ”
อายุขัยของมนุษย์ในโลกนี้ค่อนข้างยืนยาวทีเดียว หากมิได้ประสบกับภัยธรรมชาติและภัยจากน้ำมือมนุษย์ ก็อยู่ได้สบายๆ ไม่ต้องเดือดร้อนจนถึงอายุหกสิบปี แม้แต่วัยเจ็ดสิบหรือแปดสิบก็มีให้เห็นถมเถ
ดังนั้นจึงมีช่วงวัยในการแต่งงานที่กว้าง ผู้หญิงบางคนแต่งงานตั้งแต่อายุสิบสี่ปี ปทุมถันไม่ทันตั้งเต้า บั้นท้ายยังไม่งอนงาม ถ้าพูดให้จี้ใจดำดูแล้วช่างน่าขัน
ผู้หญิงบางคนอายุยี่สิบกว่าแล้วยังได้แต่เฝ้าคอยคู่ครอง ไม่เคยสัมผัสความรัก เมื่อใดยอดรักจะมาสอนเป่าปี่ให้เสียที น่าเสียดาย น่าเสียดาย
รอบกายสวี่ชีอันมีตัวอย่างให้เห็นอยู่มากมาย ทั้งอาสะใภ้ผู้ออกเรือนตั้งแต่อายุสิบหก และฮว๋ายชิ่งที่อายุยี่สิบห้าแล้วก็ยังไม่ประสาในความรัก
หากเป็นปัญหาเรื่องอายุขัย สวี่ชีอันก็อดไม่ได้ที่จะเกิดข้อสงสัยในใจ ปราชญ์ลัทธิขงจื๊ออายุเพียงแปดสิบสองปีก็ลาโลกเสียแล้ว ช่างไม่สมเหตุสมผลเสียเลย
อย่างไรก็ตามเว่ยเยวียนเป็นนกกระจอกที่ไร้กำลังแห่งชายชาตรี ช่างน่าเบื่อหน่าย และไม่มีความจำเป็นที่จะต้องถกประเด็นขั้นสูงเช่นนี้กับเขา
สวี่ชีอันกล่าวลองเชิง “เว่ยกง หมายความว่าอย่างไรหรือขอรับ”
“ผู้ตรวจการราชสำนักฝ่ายขวามีหลานสาวอยู่คนหนึ่ง ถึงวัยออกเรือนพอดี หน้าตางดงามหมดจด” เว่ยเยวียนกล่าว
“งดงามหมดจด เกรงว่าคงจะไม่คู่ควรกับข้าน้อยหรอกขอรับ” สวี่ชีอันส่ายหน้า
“นางเป็นบุตรสาวคนที่สี่ของตระกูลเหวยไห่ป๋อ ในปีนี้อายุสิบเจ็ดปี เหวยไห่ป๋อคิดจะหาคู่ครองให้กับนาง เจ้าเป็นจื่อ ย่อมคู่ควรอย่างแน่นอน” เว่ยเยวียนกล่าว
“ข้าน้อยมิได้โอ้อวดตนแต่อย่างใด แต่บุตรสาวตระกูลป๋อ ไม่คู่ควรกับข้าน้อยจริงๆ ขอรับ” สวี่ชีอันยังคงส่ายหน้า
“แล้วหลานสาวของผู้ว่าการสำนักขนส่งเล่า ข้ากำลังขาดทุนรอน หากเจ้าเกี่ยวดองกับตระกูลของเขาได้ ก็นับว่าช่วยแก้ปัญหาเร่งด่วนของข้าได้” เว่ยเยวียนจ้องมองที่เขา
ไม่ แม้ว่าข้าจะล้อเล่นว่าข้าเป็นขันทีรุ่นที่สอง แต่เจ้าไม่ใช่พ่อของข้าจริงๆ อีกทั้งความปรารถนาในการแต่งงานการเมืองก็ชัดเจนเกินไป…สวี่ชีอันครุ่นคิด แล้วเอ่ยถาม “สวยหรือไม่”
“น่ารักน่าเอ็นดูทีเดียว” เว่ยเยวียนกล่าว
ได้ยินคำว่า ‘น่ารักน่าเอ็นดู’ สวี่ชีอันก็กดปุ่มขอผ่านทันที ส่ายหน้ารัวๆ
“ด้วยความสัตย์จริง ตอนนี้ข้าน้อยเก็บหอมรอบริบได้เงินมาไม่น้อย วางแผนว่าจะไถ่ตัวเหล่าคณิกาในสำนักสังคีตออกมา หากภรรยาเอกของข้าหน้าตาแค่น่ารักน่าเอ็นดู เกรงว่าจะสู้สาวๆ สวยเผ็ดเด็ดสะระตี่เหล่านี้ไม่ได้หรอกขอรับ”
เว่ยเยวียนขมวดคิ้ว “เช่นนั้นเจ้าต้องการหญิงเช่นไรมาเป็นภรรยาเล่า หรือว่าเจ้ามีคนที่หมายปองต้องใจแล้ว”
คนที่หมายปองต้องใจ เกรงว่าคงจะมีมากเกินไป…สวี่ชีอันไตร่ครอง “ประการแรกคือต้องสวยปานนางสวรรค์ ประการที่สองต้องมีฐานะสูงส่ง และสุดท้ายต้องมีพรสวรรค์ล้นเหลือ ช่วยเหลือได้ทั้งงานนอกบ้านและในครัว”
เว่ยเยวียนยิ้ม “เช่นนั้นก็ให้ข้าทูลขอพระราชสาส์นอภิเษกสมรสกับองค์หญิงให้เจ้าไม่ดีกว่าหรือ”
สวี่ชีอันตื่นเต้นเล็กๆ “เว่ยกง ท่านพูดจริงหรือ”
เว่ยเยวียนพยักหน้าและชี้ไปที่ประตู
“เว่ยกงจะสั่งอะไรหรือขอรับ”
“ไสหัวไปซะ”
…
หลังจากถูกเว่ยเยวียนไล่ออกจากหอเฮ่าชี่ สวี่ชีอันไม่ได้กลับไปที่ห้องอี้เตาของตน แต่กลับไปที่ห้องชุนเฟิงที่เพิ่งซ่อมแซมใหม่แทน
หลี่อวี้ชุนกำลังจะพาซ่งถิงเฟิง จูกว่างเสี้ยวและฆ้องทองแดงอีกหลายนายออกลาดตระเวน เมื่อคืนภิกษุสมณศักดิ์สูงแห่งสำนักพุทธออกอาละวาดเสียวุ่นวายใหญ่โต พอรุ่งเช้า ชาวเมืองก็พากันเอ่ยถึงเรื่องนี้ไม่หยุดหย่อน
บ้างก็ประหลาดใจในพลังของภิกษุสมณศักดิ์สูงแห่งสำนักพุทธ บ้างก็กล่าวว่าสำนักพุทธเป็นพวกปลิ้นปล้อนหลอกลวง และหวังว่าราชสำนักจะยกทัพไปปราบปรามเสียที
เรื่องนี้เป็นหัวข้อสนทนาในเช้าวันนี้ ตั้งแต่เหล่าชนชั้นสูงจนถึงชาวบ้านร้านตลาด
ดีที่ยุคนี้ไม่มีอินเทอร์เน็ต มิเช่นนั้นชาวต้าฟ่งทั้งหลายคงพร้อมใจกันตะโกนลั่น ‘ไปเอาแป้นพิมพ์มา[1]!’
แล้วคงเปิดศึกกับสำนักพุทธแดนประจิมบนแป้นพิมพ์ได้ประมาณสามร้อยรอบ
เพื่อป้องกันไม่ให้ชาวยุทธ์ฉวยโอกาสก่อความวุ่นวายหรือเผยแพร่ข่าวลือ ที่ทำการปกครองจึงได้ยกระดับมาตรการลาดตระเวน
“ช้าก่อน ช้าก่อน!”
สวี่ชีอันหยุดหลี่อวี้ชุนและคนอื่นๆ ทันที และกลับไปยังห้องอี้เตาเพื่อไปเรียกฆ้องทองแดงใต้บังคับบัญชาของตนมาสมทบ ทหารสิบกว่านายเดินอาดๆ ลาดตระเวนไปตามถนนอย่างไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม
หลังจากลาดตระเวนมาเป็นเวลาครึ่งชั่วยาม ก็เดินผ่านหอคณิกา สวี่ชีอันจึงกล่าวขึ้นมา “หัวหน้า ท่านพาคนของข้าไปลาดตระเวนทางนั้นที ข้ากับถิงเฟิงและกว่างเสี้ยวจะไปทางนี้เอง”
หลี่อวี้ชุนถามกลับ “เหตุใดจึงจัดแจงให้มากความเช่นนี้เล่า เจ้าพาคนของเจ้าไป ข้าจะพาคนของข้ามา ไม่เห็นต้องทำให้วุ่นวาย”
สวี่ชีอันครุ่นคิดก่อนจะกล่าว “ถ้าเช่นนั้นหัวหน้า ท่านพาฆ้องทองแดงไปลาดตระเวนอีกทาง ส่วนข้าจะพาพี่น้องของข้าไปอีกทาง แค่นี้ก็ไม่วุ่นวายแล้วสินะ”
ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลี่อวี้ชุนก็รู้สึกดีขึ้น จึงพยักหน้าแล้วเอ่ย “เช่นนั้นก็ไปเถิด”
รอจนกระทั่งหลี่อวี้ชุนและคนอื่นๆ จากไปจนลับตาแล้ว สวี่ชีอันก็พาสหายร่วมหน่วยทั้งสองตรงสู่หอคณิกา
พวกเขาขอที่นั่งชั้นสองด้วยความคุ้นชิน เรียกสาวสวยมาปรนนิบัติสองสามคน สามสหายกินอาหารเคล้าเสียงเพลง และชมการร่ายรำ ราวกับย้อนวันวานกลับไปยังตอนที่ออกลาดตระเวนแรกๆ
“หนิงเยี่ยน”
ซ่งถิงเฟิงกล่าวอย่างละเหี่ยใจ “ข้าอุตส่าห์กลับตัวกลับใจแล้วแท้ๆ เหตุใดข้างกายจึงมีแต่เพื่อนสำมะเลเทเมาด้วยนะ”
เอาน่า พวกข้ารู้กันหมดแล้วว่าเจ้ายังเป็นไอ้หนุ่มคนดีคนเดิม! สวี่ชีอันเกียจคร้านเกินกว่าจะแดกดันเขา จึงฟังเพลงอย่างตั้งอกตั้งใจ พลางอ้าปากรอให้แม่สาวสวยข้างกายป้อนถั่วลิสงเข้าปาก
โบราณท่านว่า ความขยันเป็นอนิจจา ความเกียจคร้านสิคือนิรันดร์
ในระหว่างการปราบปรามกลุ่มโจรในอวิ๋นโจว เนื่องจากสถานการณ์บีบบังคับ ทำให้ซ่งถิงเฟิงต้องฝึกตนอย่างขันแข็งไม่หยุดไม่หย่อนแม้สักวัน แต่เมื่อกลับมายังเมืองหลวงที่ฟุ้งเฟ้อด้วยเงินตราและน้ำเมา ทำให้นิสัยเอื่อยเฉื่อยและสัญชาตญาณรักสนุกนั้นถูกกระตุ้นขึ้นมาอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับเมื่อก่อน ซ่งถิงเฟิงดูสงบและแน่วแน่ขึ้นมาก อีกทั้งยังขยันฝึกตนยิ่งกว่าเมื่อก่อน ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ดี
‘เพล้ง!’
เสียงแก้วแตกดังมาจากชั้นล่าง จอมยุทธ์ขี้เมาผู้หนึ่งเขวี้ยงจอกเหล้าทิ้งและยืนขึ้น สะอึกไปพลาง ชี้หน้าด่ากราดผู้คนโดยรอบไปพลาง
“ข้าได้ยินกิตติศัพท์มานานแล้วว่าคนเมืองหลวงใช้ชีวิตฟุ่มเฟือยกันจนเป็นปกติ ตั้งแต่เจ้าขุนมูลนายไปจนถึงรากหญ้า ล้วนแต่เห็นแก่ความสุขสบายทั้งนั้น ทีแรกข้าก็ไม่เชื่อ แต่คราวนี้ได้มาเยือนเมืองหลวง ในช่วงสิบวันมานี้ สิ่งที่เห็นผ่านตามากที่สุดก็คือนิสัยสำมะเลเทเมา”
“สังเวียนผู้กล้าตั้งแต่เหนือจรดใต้ พวกพระสารเลวมันแผลงฤทธิ์แสดงอำนาจไปทั่ว แต่ผ่านมาตั้งกี่วันแล้ว กลับไม่มียอดฝีมือหน้าไหนกล้าต่อกร ได้แต่มองดูอย่างขี้ขลาดตาขาว เมื่อคืนยอดฝีมือแห่งศาสนาพุทธอัญเชิญร่างธรรมออกมา เหยียบเมืองหลวงแห่งต้าฟ่งท้าทายท่านโหราจารย์แห่งสำนักโหราจารย์ของเรา เราทนได้หรือ”
สหายของเขากุลีกุจอเข้าไปลากตัว โยนเศษเงินเล็กน้อย แล้วลากเขาไปจากหอคณิกาอย่างทุลักทุเล
การขับลำนำยังคงดำเนินต่อไป แต่ทว่าหัวข้อสนทนาของเหล่าแขกเหรื่อ กลับกลายเป็นเรื่องของสมณทูต
“พวกศาสนาพุทธมันช่างเหิมเกริมเสียจริง ต้าฟ่งได้ทำลายศาสนาพุทธไปตั้งสี่ร้อยปีแล้ว พวกมันยังกล้ากลับเข้ามาจาริกในเมืองหลวงอีก ไม่รู้ว่าเมืองทางเหนือจะผู้คนกี่มากน้อยที่หลงเชื่อไปกับศาสนาพุทธพวกนี้ ข้าได้ยินมาว่าบางคนบริจาคทรัพย์สมบัติจนถึงขั้นหมดเนื้อหมดตัว ถึงกับจะสร้างอารามให้พวกภิกษุทีเดียว”
“ราชสำนักก็ไม่สนใจ สงสัยต้าฟ่งคงกลัวว่าจะล้มศาสนาพุทธไม่ได้กระมัง นึกถึงเมื่อยี่สิบปีก่อนเหลือเกิน ที่สงครามด่านซานไห่ ต้าฟ่งยิ่งใหญ่เกรียงไกรถึงเพียงใด”
“คงกลัวไปหักหน้าพันธมิตรเข้ากระมัง…เฮ้อ ทว่ามาบัดนี้ นับวันราชสำนักก็ยิ่งจะถดถอย”
“จุ๊ๆ อย่าไปเที่ยวพล่ามไร้สาระเช่นนี้ที่ไหนเชียว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง