บทที่ 288 นี่คือลูกของญาติหรือ?
เมื่อฉู่ไฉ่เวยถูกเรียกตัว นางก็ออกจากวังทันที นางขี่ม้าตามทหารรักษาพระองค์ไปยังอารามรัตนะ โดยผ่านอุทยานแห่งแล้วแห่งเล่าและอารามจู่ซือของนิกายมนุษย์แต่ละหลัง จากนั้นก็มาถึงลานเล็กๆ ที่อยู่ลึกลงไปด้านในอารามเต๋า
“แม่นางไฉ่เวย เชิญ”
ขันทีเฒ่าสวมชุดหมางเผ่าผู้หนึ่งยืนอยู่ที่ประตูทางเข้าแล้วส่งยิ้มน้อยๆ พร้อมทำท่า ‘เชิญ’ มาให้
ฉู่ไฉ่เวยรับคำ ‘อืม’ แล้วก้าวเล็กๆ อย่างแผ่วเบาเข้าไปในห้องส่วนตัว ชายกระโปรงของนางแกว่งไกวเล็กน้อย
ภายในห้องส่วนตัว จักรพรรดิหยวนจิ่งและลั่วอวี้เหิงนั่งอยู่ตรงข้ามกันที่โต๊ะชา บนโต๊ะชามีคัมภีร์เต๋าหนึ่งเล่ม กระถางธูปหนึ่งใบซึ่งมีควันสีเขียวเรียวยาวลอยเอื่อยขึ้นมา
ฉู่ไฉ่เวยเหลือบตามองแวบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าบนโต๊ะไม่มีขนมน่าอร่อยวางอยู่ก็ถอนสายตากลับด้วยความผิดหวัง ก่อนจะกอบมือทำความเคารพ “ถวายบังคมฝ่าบาท ท่านราชครู”
จักรพรรดิหยวนจิ่งมองพินิจศิษย์น้องน้อยในสายตาของเหล่าโหรชุดขาวจากสำนักโหราจารย์ผู้นี้ ดวงตารูปผลซิ่งของนางกลมโตและสดใส ใบหน้ากลมเกลี้ยงซ่อนเร้นความอ่อนหวาน นางดูเป็นผู้หญิงร่าเริงที่สามารถทำให้คนคนหนึ่งมีความสุขได้โดยไม่รู้ตัว
“ท่านโหราจารย์ให้เจ้ามาพบเรา มีเรื่องอันใดหรือ”
“เป็นเช่นนี้เพคะ เมื่อวานศิษย์พี่สามหยางเชียนฮ่วนฝึกวิชา แล้วไม่ทันระวังทำให้ตกสู่ทางมาร ศิษย์พี่สามไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง ศิษย์พี่ซ่งกับหม่อมฉันก็ไม่เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้…”
ยังพูดไม่ทันจบ จักรพรรดิหยวนจิ่งก็ขมวดคิ้วตัดคำแล้วเอ่ยเสียงขรึม “อะไรนะ หยางเชียนฮ่วนฝึกวิชาแล้วตกสู่ทางมาร?”
จักรพรรดิเฒ่าโกรธที่เรื่องเลวร้ายต่างๆ พากันพัดเพประเดประดังเข้ามาไม่หยุดหย่อน
ลั่วอวี้เหิงเลิกคิ้วขึ้นและจ้องมองไปยังฉู่ไฉ่เวยด้วยดวงตาสุกใส ‘นี่ช่างไม่เหมือนกับท่าทีของท่านโหราจารย์เสียเลย’
ฉู่ไฉ่เวยไม่ร้อนรน นางกล่าว “ด้วยเหตุนั้น ท่านอาจารย์โหราจารย์จึงให้หม่อมฉันมาขอยืมคนจากฝ่าบาทเพคะ โดยจะให้เขาไปเป็นตัวแทนสำนักโหราจารย์เข้าประลองกับพวกลาหัวโล้นจากแดนประจิม”
ยืมคน?!
จักรพรรดิหยวนจิ่งจอมวางแผนไม่ตอบตกลงในทันที แต่ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะหนึ่ง เขายังไม่ได้ตัดสินใจเลือกตัวบุคคลที่คิดไว้ แต่ขมวดคิ้วเอ่ยถามว่า
“ท่านโหราจารย์ต้องการตัวผู้ใด?”
“หน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ฆ้องเงินสวี่ชีอันเพคะ” เสียงของฉู่ไฉ่เวยกระจ่างใสชัดเจน
จู่ๆ ทั่วทั้งห้องส่วนตัวก็เงียบลง
ผ่านไปนาน จักรพรรดิเฒ่าก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยมั่นใจราวกับต้องการยืนยัน “สวี่ชีอัน ฆ้องเงินสวี่ชีอันนั่นน่ะหรือ”
“เพคะ สวี่ชีอันผู้ไขคดีได้ยอดเยี่ยม คนที่กลับมาจากอวิ๋นโจวและเคยตายไปครั้งหนึ่งเพคะ” ฉู่ไฉ่เวยเอ่ยเสียงแผ่ว
จักรพรรดิหยวนจิ่งโบกมือ “เราย่อมรู้จักเขา แต่เราหมายความว่า เหตุใดต้องเป็นสวี่ชีอันด้วย”
ลูกศิษย์หญิงคนนี้ของท่านโหราจารย์มีความคิดบริสุทธิ์ตรงไปตรงมาเกินไป เมื่อพูดกับนาง ก็จะต้องพูดให้ชัดเจน นางถึงจะเข้าใจ
ฉู่ไฉ่เวยส่ายหน้าอย่างสัตย์ซื่อ “ไม่รู้เหมือนกันเพคะ”
จักรพรรดิหยวนจิ่งพ่นลมหายใจออกมาแล้วโบกมือ “เรารู้แล้ว เจ้าออกไปก่อนเถอะ”
“เพคะ”
ฉู่ไฉ่เวยเดินออกไปอย่างรวดเร็ว นางคิดจะไปที่สวนเต๋อซินขององค์หญิงฮว๋ายชิ่งต่อเพื่อดื่มชาและกินขนม พร้อมกับถือโอกาสแบ่งปันเรื่องที่ได้รู้เห็นไปด้วย
เมื่อฉู่ไฉ่เวยจากไปแล้ว จักรพรรดิหยวนจิ่งก็ถือถ้วยชาขึ้นมาแล้วนิ่งคิดอยู่นาน ก่อนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ราชครู ท่านเห็นว่าอย่างไร”
“สวี่ชีอันผู้นี้มีพรสวรรค์ไม่เลวจริงๆ แต่เขาเป็นจอมยุทธ์ผู้หนึ่ง หากให้ไปต่อสู้กับสำนักพุทธก็เกรงว่าจะไม่มีโอกาสชนะ” ลั่วอวี้เหิงมีใบหน้างดงามละเอียดอ่อน เวลาที่ทำหน้าไร้อารมณ์ก็เหมือนกับเทพธิดาหยกสลัก
“เพียงแต่แผ่นความลับสวรรค์นั้นเป็นอาวุธเวทมนตร์ประจำกายของท่านโหราจารย์ ไม่มีทางให้คนภายนอกยืมไปใช้แน่นอน บางทีเรื่องนี้อาจจะมีเหตุผลอื่นอยู่ก็ได้เพคะ”
จักรพรรดิหยวนจิ่งถอนหายใจ “ช่างเถอะๆ ไม่สนใจเขาแล้ว ตาเฒ่าผู้นี้มีความคิดอ่านล้ำลึก เรามองไม่ออกหรอก เรายังมีเรื่องต้องทำ ขอกลับวังก่อนแล้วกัน”
คนที่จักรพรรดิหยวนจิ่งไม่ชอบหน้ามากที่สุดก็คือท่านโหราจารย์ ทั่วทั้งต้าฟ่งแห่งนี้ เขามองเมินพวกขุนนางบุ๋นบู๊ หรือแม้แต่ลั่วอวี้เหิงผู้นำเต๋านิกายมนุษย์ที่เรียกกันว่าสหายเต๋าผู้นี้ ที่เขาให้ความรู้สึกเท่าเทียมกัน
มีเพียงท่านโหราจารย์เท่านั้นที่เป็นผู้ที่เขาต้องเงยหน้ามองขึ้นไป และจักรพรรดิหยวนจิ่งก็ไม่เคยมองเขาออกเลย
สำหรับจักรพรรดิผู้กุมอำนาจสูงสุดแล้ว สิ่งนี้เป็นเรื่องที่ทำให้ไม่สบายใจอย่างยิ่ง
เมื่อขึ้นมานั่งบนราชรถ จักรพรรดิหยวนจิ่งก็ตรัสสั่ง “เรียกตัวสวี่ชีอันเข้าวังมาพบข้า”
…
“ฝ่าบาทต้องการพบข้า?”
ตอนที่สวี่ชีอันได้รับข่าว เขากำลังกินแตงอยู่ที่นอกหอดูดาว แล้วมองดูพระอรหันต์ตู้เอ้อร์ที่เดินนำเหล่าภิกษุอยู่กลางฝูงชนอยู่
“ขอรับ ทหารรักษาพระองค์จากในวังกำลังรออยู่ที่ที่ทำการ ใต้เท้าสวี่รีบไปเถิดขอรับ” ฆ้องทองแดงผู้มาส่งข้อความเอ่ยเร่ง
ข้าอยากไปช้าหน่อยจริงๆ ถึงยังไงเงินเดือนวันนี้ต้องถูกหักออกแล้ว…สวี่ชีอันไม่พูดอะไร เขาขี่แม่ม้าน้อยแล้วตีก้นเล็กๆ ของมัน พร้อมกับรีบกลับที่ทำการโดยเร็ว
หลังจากมาพบกับทหารรักษาพระองค์ที่รออยู่ที่ทำการแล้ว สวี่ชีอันก็เข้าไปในวัง ผ่านประตูตะวันออกเงียบๆ แล้วมาที่ห้องทรงพระอักษร
เสาสีแดงแข็งแรงหกเสารองรับหลังคาโค้งทรงสูง ไม่มีใครนั่งอยู่หลังโต๊ะขนาดใหญ่ที่ปูด้วยผ้าไหมสีเหลือง
สวี่ชีอันรอจักรพรรดิหยวนจิ่งในห้องเงียบๆ ประมาณหนึ่งเค่อ จักรพรรดิหยวนจิ่งผู้สวมชุดเต๋าและปักปิ่นเต๋าเอาไว้ก็มาถึง แต่เขาไม่ได้เดินไปนั่งบนเก้าอี้มังกรของตน ทว่ากลับเดินไปยืนอยู่หน้าสวี่ชีอันแล้วหรี่ตามองพิจารณาเขา
สีหน้านี้ดูคล้ายกับชายแก่ที่มองพินิจพิเคราะห์ลูกเขยด้วยความสับสนและไม่เป็นมิตรเลยนะ!
จักรพรรดิหยวนจิ่งหยุดอยู่ตรงหน้าเขาแล้วเอ่ยพูดกับฆ้องเงินผู้ทำตัวนอบน้อมไม่มีปากมีเสียง “เรื่องที่ท่านโหราจารย์จะประลองกับตู้เอ้อร์นั่นน่ะ เจ้ารู้หรือไม่”
“ทูลฝ่าบาท เมื่อครู่ได้เห็นในพระราชโองการแล้วพ่ะย่ะค่ะ” สวี่ชีอันตอบกลับด้วยความเคารพ
“โดยปกติแล้ว การประลองจะแบ่งเป็นประลองความรู้และประลองยุทธ์ ตู้เอ้อร์และท่านโหราจารย์ล้วนเป็นยอดฝีมือหาตัวจับยากของโลกทั้งนั้น ย่อมไม่มีทางออกโรงเอง เรื่องนี้จึงมักจะเป็นเรื่องระหว่างศิษย์”
เรื่องนี้ก็พอจะอธิบายได้ พวกลูกพี่นั่งชี้นิ้วอยู่ด้านหลัง แล้วให้เหล่าศิษย์ไปสู้รบกันเอง…แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้าล่ะ
เขาสงสัยอยู่ในใจ จากนั้นก็ได้ยินเสียงเรียบของจักรพรรดิหยวนจิ่งเอ่ยว่า “ท่านโหราจารย์เพิ่งจะมาขอยืมคนจากข้า เขาต้องการให้เจ้าเข้าประลอง!”
“…?”
สวี่ชีอันเงยหน้าขึ้นทันทีและมองไปที่จักรพรรดิหยวนจิ่งด้วยความประหลาดใจ
จักรพรรดิหยวนจิ่งจ้องหน้าเขา “เจ้าว่าอย่างไร”
ท่านโหราจารย์ เจ้าเฒ่าสารเลวนั่น ที่แท้คิดอะไรในใจกันแน่ รู้อยู่ว่าไต้ซือเสินซูอยู่ในร่างของข้า แล้วเจ้ายังจะส่งข้าให้ไปเผชิญหน้ากับสำนักพุทธอีก…สวี่ชีอันพูดขึ้นทันที “กระหม่อมด้อยความสามารถ ขาดความรู้ เกรงว่าจะรับหน้าที่นี้มิได้ ขอฝ่าบาทโปรดทรงปฏิเสธให้กระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหยวนจิ่งแค่นเสียง “ในเมื่อท่านโหราจารย์ตัดสินใจแล้วก็ย่อมไม่เปลี่ยนใจ เราตามเจ้ามาไม่ใช่เพื่อจะฟังเรื่องพวกนี้ เราอยากจะบอกเจ้าว่าการประลองครั้งนี้เกี่ยวพันกับหน้าตาของต้าฟ่ง เจ้าต้องทำทุกวิถีทางเพื่อเอาชนะให้ได้”
แล้วเจ้าไม่คิดหน่อยล่ะว่าข้าจะเอาอะไรมาชนะ?
สวี่ชีอันคารวะด้วยใบหน้านิ่งเรียบ “รับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”
…
อารามรัตนะ
ไม่นานหลังจากที่จักรพรรดิหยวนจิ่งจากไป สตรีสวมชุดสีขาวหลายชั้นพร้อมประโคมเครื่องประดับประณีตงดงาม และคลุมหน้าด้วยผ้าไหมบางๆ ผู้หนึ่งก็เข้าไปในอารามรัตนะภายใต้การคุ้มกันทหารรักษาพระองค์
ไม่จำเป็นต้องให้ประกาศบอก นางเดินตรงเข้าไปในส่วนลึกของอารามเต๋าแล้วนั่งลงในศาลาตรงๆ
บนสระน้ำข้างศาลา ลั่วอวี้เหิง ราชครูประจำแผ่นดินคนงามกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่กลางอากาศ
สตรีผู้ปิดบังใบหน้าด้วยผ้าไหมหยิบหินก้อนหนึ่งขึ้นมาโยนไปที่ลั่วอวี้เหิงอย่างไร้สุ้มเสียง เมื่อหินเข้าใกล้ลั่วอวี้เหิงสามฉื่อ มันก็ถูกกำบังปราณดีดกลับไปกระแทกเข้าที่หน้าผากของสตรีผู้ปิดบังใบหน้าคนนั้นแทน
นางร้อง ‘โอ๊ย’ ออกมาแล้วกุมหน้าผากหมอบลง ก่อนเอ่ยอย่างโกรธเคือง “ยอดฝีมือระดับสามสู้ไม่ไหว ยอดฝีมือระดับสองจึงรังแกคนได้ตามใจชอบอย่างนั้นหรือ”
ลั่วอวี้เหิงลืมตาขึ้นแล้วเอ่ยอย่างจนใจ “เจ้ามาทำอะไร หากไม่มีธุระก็อย่ามารบกวนการฝึกตนของข้า”
สตรีผู้ปิดบังใบหน้ายกชายกระโปรงเดินไปอยู่ข้างสระน้ำแล้วกล่าวอย่างตื่นเต้น “สำนักพุทธจะประลองกับท่านโหราจารย์ พรุ่งนี้มีเรื่องน่าสนุกให้ดูน่ะสิ”
“ก็ไปดูเสียสิ”
“ข้าย่อมต้องไปดูอยู่แล้ว แต่จักรพรรดิหยวนจิ่งไม่อนุญาตให้ข้าออกจากตำหนัก ถึงตอนนั้นคงทำได้เพียงเปลี่ยนรูปลักษณ์แล้วแอบออกไปดู แต่ข้าอยากเข้าไปดูใกล้ๆ นี่นา” สตรีผู้ปิดบังใบหน้าเอ่ยบ่น
“หลังจากปลอมตัว เจ้าก็ให้คนอื่นพาเจ้าเข้าไปได้นี่” ลั่วอวี้เหิงกล่าวยิ้มๆ
“หลังจากที่ข้าปลอมตัว ใครจะไปจำข้าได้ แล้วจะพาข้าออกไปได้อย่างไร” นางกล่าวอย่างหัวเสียราวกับท้อแท้ใจ จากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อ
“ข้าจะบอกให้ สวี่ชีอันผู้นั้นน่ารังเกียจจริงๆ ข้าได้เจอเขาหลายครั้งแล้ว เป็นพวกลามกไปวันๆ ของแท้เลย”
“ด้วยใบหน้าอย่างเจ้าแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องปกติหรอกหรือ” ลั่วอวี้เหิงตอบ
“ดูเอาเถอะ เจ้าไม่ได้พูดกับข้าอย่างจริงใจเลยสักนิด พูดไม่คิดเลย…ข้าจะแสดงใบหน้าที่แท้จริงของข้าได้อย่างไรกันล่ะ หากเป็นเช่นนั้น เจ้าลามกนั่นคงได้ตกหลุมรักข้าแน่ๆ และข้าจะแปลงรูปลักษณ์ ถึงแม้ว่าข้าในสภาพที่ปลอมตัวแล้วจะมีหน้าตาธรรมดาสามัญ แต่ก็ยังเป็นสตรีผู้มีบุคลิกและท่วงท่าที่เลิศเลอที่สุดอยู่ดี…”
ลั่วอวี้เหิงขัดจังหวะอย่างอดรนทนไม่ไหว “บุคลิกและท่าทางยอดเยี่ยมน่ะ ข้าว่าการพูดได้ลื่นไหลแม้อยู่ต่อหน้าเจ้า น่าจะสอดคล้องกับประโยคนี้เหมือนกันนะ”
นางอึ้งไปครู่หนึ่ง ตะลึงลานอยู่นาน…
“ไม่ต้องพูดแล้ว!” สตรีผู้ปิดใบหน้าโมโหจนหันหน้าหนี
นางไม่เคยยอมรับตนเองในร่างปลอมแปลงที่เป็นเพียงสตรีบ้านๆ หน้าตาธรรมดาๆ
แต่สวี่ชีอันผู้นั้นกลับเกิดความรู้สึกล้ำลึกกับสตรีเช่นนี้เสียได้ บุรุษผู้นี้ช่างเป็นจอมลามกที่กินไม่เลือกเสียจริง
‘เจ้าคนต่ำต้อยสกปรก’
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้ที่เป็นตัวแทนสำนักโหราจารย์ไปประลองกับสำนักพุทธในวันพรุ่งนี้คือผู้ใด” จู่ๆ ลั่วอวี้เหิงก็พูดขึ้นมา
หญิงสาวผู้ปิดบังใบหน้าหูตั้งทันที
“สวี่ชีอัน” ลั่วอวี้เหิงทำท่ามีเลศนัย
“หือ?”
สตรีผู้ปกปิดใบหน้าหันมาทันที ดวงตาคู่งามเบิกกว้าง “เขาน่ะหรือ? เป็นตัวแทนสำนักโหราจารย์?”
ลั่วอวี้เหิงพยักหน้า
สตรีปิดหน้าโมโหขึ้นมาทันที นางเท้าเอวของตนอยู่ตรงนั้น “ทั้งต้าฟ่งของข้าไม่มีคนอื่นแล้วหรืออย่างไร กลับให้คนต่ำต้อยผู้หนึ่งเป็นตัวแทนสำนักโหราจารย์ไปประลองเสียอย่างนั้น”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง