ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 289

บทที่ 289 เข้าสู่สนามอย่างยิ่งใหญ่ (1)

“นี่คือบุตรสาวของข้า!”

อาสะใภ้ขมวดคิ้วพลางอุ้มหลิงอินขึ้นมาวางบนตัก

“หรือว่านางหน้าตาไม่เหมือนข้ากัน” อาสะใภ้ทำหน้าไม่พอใจเล็กน้อย

ตรงไหนที่เหมือน นางไม่เหมือนเจ้าเลยสักนิด…ใบหน้าแต้มรอยยิ้มบางๆ ของป้าแก่แข็งทื่อ แต่ก็กลับมาเป็นปกติในชั่วพริบตา ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน

“ดูดีๆ คิ้วกับตาก็คล้ายกันอยู่บ้าง เป็นข้าที่เลอะเลือนเอง”

อืม คิ้วกับตาเหมือนคนขับรถม้าข้างนอกเลย

เงียบกริบตลอดทาง

สวี่ผิงจื้อขับรถม้ามาถึงบริเวณใกล้ๆ หอดูดาวก็ได้ยินเสียงจ๊อกแจ๊กจอแจดังสะท้อนมาเป็นอย่างแรก เมื่อหันมองข้ามถนนไปก็เจอกับคลื่นมนุษย์จำนวนมหาศาล

เขากวาดตามองฝูงชนนั้น อย่างน้อยก็หนึ่งถึงสองพันคน ทว่านี่เป็นเพียงชาวบ้านกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งเท่านั้น จินตนาการได้เลยว่าที่บริเวณกลางหอดูดาวจะมีฝูงชนห้อมล้อมมากแค่ไหน ต้องเป็นตัวเลขที่น่าสยดสยองแน่

“คึกคักกว่างานเทศกาลไหว้วสันต์เสียอีก…” สวี่ผิงจื้อควบคุมบังเหียนให้รถม้าจอดไว้ด้านนอก

“หยุดทำไมกัน” เสียงอาสะใภ้ดังมาจากในรถม้า

“ข้างหน้าไม่มีทางแล้ว มีแต่คน” สวี่ผิงจื้ออธิบาย “เราลงจากรถตรงนี้กันเถอะ”

อาสะใภ้เลิกม่านหน้าต่างก่อนจะก้าวลงจากรถม้าด้วยความช่วยเหลือของสามี สวี่หลิงเยวี่ยก็มีบิดาคอยประคองลงจากรถม้า ส่วนเสี่ยวโต้วติงนั้นถูกสวี่ผิงจื้ออุ้มลงไป

ป้าแก่ขมวดคิ้ว ปกตินางจะมีสาวใช้นำตั่งพักเท้ามาคอยรับเวลาขึ้นลงรถม้า ยามนี้จึงรู้สึกไม่ชินเล็กน้อย

โชคดีที่เป็นรถม้าธรรมดา ส่วนล่างของรถสูงจากพื้นไม่มาก ต่างจากรถม้าหรูทำจากไม้สนแต่งลวดลายสีทองของนางที่ส่วนล่างของรถสูงเท่าเอวคน

นางกระโดดลงจากรถม้าอย่างสบายๆ

สวี่ผิงจื้อกวักมือเรียกกองดาบข้างถนนมาคนหนึ่งแล้วสั่งว่า “ดูรถม้าด้วย”

ขณะที่พูดก็แสดงตรากองดาบที่เอวของตน

องครักษ์กองดาบวัยเยาว์ตอบรับด้วยความเคารพ

สวี่ผิงจื้อพาภรรยาและลูกๆ เดินอ้อมฝูงชนไปทางที่องครักษ์หลวงจัดให้ซึ่งมีองครักษ์หลวงยืนขนาบสองฝั่งตลอดเส้น กันชาวบ้านออกไปเพื่อสร้าง ‘ทางที่ปลอดภัย’ สำหรับบุคคลสำคัญโดยเฉพาะ

ตรงปากทางมีองครักษ์หลวงถือหอกไขว้กันขวางทางกลุ่มของสวี่ผิงจื้อไว้

สวี่ผิงจื้อหยิบตราที่สวี่ชีอันมอบให้ออกมา องครักษ์หลวงเหลือบมองก่อนจะปล่อยพวกเขา

“สถานะของหนิงเยี่ยนสูงขึ้นเรื่อยๆ” อาสะใภ้กล่าวอย่างมีความสุข “นายท่าน ข้าไม่เคยคิดฝันเลยว่าจะได้นั่งกับเหล่าชนชั้นสูงของเมืองหลวง”

สวี่ซินเหนียนอดอิจฉาไม่ได้จึงแค่นเสียงกล่าว “ท่านแม่ ต่อไปท่านก็จะได้เป็นเก้ามิ่งฮูหยินแล้ว”

สวี่ผิงจื้อสวนกลับ “เจ้าเอาเวลาไปคิดว่าจะรั้งอยู่ในเมืองหลวงได้อย่างไรก่อนเถอะ”

สวี่ซินเหนียนห่อเหี่ยวลงทันควัน

ตามความตั้งใจของสำนักคือคิดหาวิธีส่งเขาไปชิงโจว ไปไกลจากเมืองหลวง วางแผนการอย่างดี

แต่สวี่ซินเหนียนไม่ค่อยอยากไปนัก ไปเมืองชิงโจว ลิ้มรสการอยู่ห่างไกลบิดามารดา ไหนจะพี่ใหญ่และเหล่าน้องสาวอีก หากครบกำหนดสามปีแล้วไม่สามารถกลับเมืองหลวงได้ เขาก็ต้องรับตำแหน่งต่อไปอีกสามปี

สามปีแล้วก็อีกสามปี สามารถมาหาครอบครัวได้แค่ยามกลับมารายงานที่เมืองหลวงเท่านั้น

แน่นอนว่ายังมีอีกเหตุผลหนึ่ง หากไม่สามารถเข้าสำนักบัณฑิตฮั่นหลินได้ เขาก็จะถูกตัดออกจากคณะรัฐมนตรี

‘บุตรชายข้ามีสิทธิ์ในสำนักสมุหราชเลขาธิการ’ ของท่านพ่อก็จะกลายเป็นคำพูดที่ไร้ความหมายจริงๆ

หลังเดินผ่าน ‘ทางที่ปลอดภัย’ มาแล้ว ทั้งครอบครัวก็มองเห็นจัตุรัสขนาดใหญ่ ซุ้มไม้ตั้งเรียงราย เหล่าขุนนาง แม่ทัพและชนชั้นสูงต่างนั่งอยู่ในพื้นที่ของตนอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยและแบ่งอาณาเขตกันชัดเจน

นอกจากนี้ยังมีสตรีสูงศักดิ์และสตรีรุ่นเยาว์มากมายที่มาชมพิธีต้าวฮวด[1]พร้อมครอบครัว

สำหรับสตรีสูงศักดิ์เหล่านี้ หน้าตาของต้าฟ่งเป็นรอง การดูเรื่องสนุกสิที่สำคัญที่สุด

สวี่ผิงจื้อกวาดตามองโดยรอบ พลางพาภรรยาและลูกๆ ไปยังพื้นที่ของที่ทำการปกครองหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ตรงที่นั่งตำแหน่งสูงสุดมีชายชราผมขาวสวมชุดดำนั่งอยู่

ทั้งสองข้างของเขาคือฆ้องทอง ด้านหลังฆ้องทองคือฆ้องเงิน ส่วนฆ้องทองแดงถูกส่งไปปฏิบัติหน้าที่ ไม่ได้รับสิทธิ์อยู่ชมการแสดงในซุ้มไม้

สวี่ผิงจื้อพาภรรยาและลูกๆ เข้าไปใกล้และประสานมือระดับอก ก่อนจะพาภรรยาและลูกๆ เข้าไปนั่งกับสตรีแปลกหน้าอย่างรวดเร็ว

เว่ยเยวียนและฆ้องทองผู้โด่งดังไม่สนใจเขาซึ่งก็ทำให้อารองสวี่โล่งใจ เป็นคนไร้ตัวตนนี่ก็ดีนะ

ป้าแก่เองก็โล่งใจ เป็นคนไร้ตัวตนนี่ดีจริงๆ

ในบรรดาซุ้มไม้ทั้งหมด ซุ้มไม้หลังที่หรูหราที่สุดคือแท่นพักผ่อนหุ้มผ้าไหมสีเหลือง ด้านล่างแท่นจัดวางโต๊ะเรียงราย สมาชิกจากราชวงศ์นั่งอยู่ด้านข้างโต๊ะเหล่านั้น

ฮองเฮาและสนมเฉินที่เป็นมันสมองแห่งวังหลังก็มากันแล้ว ทุกคนพูดคุยกันอย่างอารมณ์ดีราวกับเป็นพี่น้องที่รักใคร่กันเสมอมาและไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกัน

องค์หญิงทั้งสี่มากันพร้อมหน้า ฮว๋ายชิ่งนั่งอยู่ตำแหน่งแรกสุด ส่วนยายตัวร้ายก็นั่งอยู่ข้างๆ นาง

ส่วนเหล่าองค์ชาย องค์รัชทายาทยังถูกกักตัวจึงไม่สามารถออกมาได้ องค์ชายองค์อื่นๆ ล้วนมากันหมด

สำหรับราชวงศ์ พิธีต้าวฮวดครั้งนี้ไม่ใช่แค่การแสดงรื่นเริง แต่เกี่ยวพันถึงหน้าตาของราชสำนักและราชวงศ์

“สวี่ชีอันไปไหนเสียเล่า เหตุใดจึงไม่ออกมา เขาสู้กับเหล่านักบวชได้หรือเปล่า นักบวชคิดจะสู้อย่างไร…”

หลินอันพูดฉอดๆ ไม่พูด ดวงตาลูกท้อฉ่ำน้ำสอดส่ายสายตาไปทั่ว เมื่อมองไม่เห็นสุนัขรับใช้ของตนก็ผิดหวังเล็กน้อย

“เหลวไหล!”

องค์ชายเจ็ดส่ายหน้า “สวี่ชีอันผู้นั้นเป็นทหาร เกี่ยวอะไรกับพิธีต้าวฮวดของสำนักพุทธ จากพลังตบะอันน้อยนิดของเขา เขาจะรับมือได้จริงหรือ”

องค์ชายสามยิ้มเป็นเชิงเห็นด้วย “เว้นแต่สำนักพุทธจะแข่งกวีกับเขา”

องค์หญิงทั้งสองและองค์ชายทุกคนหลุดพระสรวล

หลินอันโกรธจัดจึงตวัดสายตามองพี่ชายพี่สาวแล้วพูดอย่างดุเดือด “เขาแพ้แล้วพวกท่านดีใจมากงั้นหรือ ต้องให้ข้าหล่อพระพุทธรูปให้พวกท่านทุกคนเลยหรือไม่”

องค์หญิงสามขมวดคิ้ว “เราก็แค่พูด หลินอันเจ้าทำเกินไปแล้วนะ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง