ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 293

บทที่ 293 แนวคิดนิกายใหม่

พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ประนมมือขึ้น เปล่งเสียงกังวานดั่งเสียงกลองยามค่ำ เสียงระฆังยามอรุณ[1] “ดับทุกข์ให้หมดไป พุทธจิตก็ผ่องใส”

ภิกษุผู้สติแตกกระเจิง ร่างกายแน่นิ่งราวกับถูกฟาดด้วยไม้หน้าสาม จากนั้นก็ค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งสมาธิโดยให้ขาทับกัน

สีหน้าของเขายังคงทุรนทุราย แต่ไม่ได้บ้าคลั่งอย่างเมื่อครู่

พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ละสายตา เงยหน้าขึ้น และมองไปยังแดนลับฝอซาน ใบหน้าอันสลับซับซ้อนดั่งหุบเขา ฉายแววโกรธแค้นที่ไม่ปรากฏให้เห็นบ่อยนัก

สมแล้วที่เป็นความลุ่มหลงของพระโพธิสัตว์ ข้าเพิ่งเสนอแนวคิดไป เขาก็ดูเหมือนจะเข้าใจในทันที!

สำนักพุทธแห่งจิ่วโจวดูเหมือนจะยึดเอาความแข็งแกร่งการบรรลุธรรมเป็นพื้นฐาน รองลงมาถึงจะเป็นพระธรรม…อาจจะแตกต่างจากศาสนาพุทธนิกายหินยานในภพของข้า แต่ด้อยกว่าศาสนาพุทธนิกายมหายานอย่างแน่นอน อย่างน้อยก็ไม่มีแนวความคิดเกี่ยวกับศาสนาพุทธนิกายมหายาน

เมื่อเห็นว่าภิกษุเฒ่าตกตะลึงและดูเหมือนจะรู้แจ้ง สวี่ชีอันก็ประเมินว่าด่านนี้น่าจะผ่านแล้ว

“เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น เหตุใดจู่ๆ ภิกษุรูปนั้นจึงเสียสติไป…”

“เป็นเพราะคำพูดของฆ้องเงินเมื่อครู่นี้เองหรือ”

“คำพูดไม่กี่คำทรงพลังขนาดนี้เชียวหรือ ไร้สาระน่า”

คนธรรมดาไม่มีแนวคิดเกี่ยวกับ ‘พุทธมหายาน’ และ ‘พุทธหินยาน’ ด้วยเหตุนี้จึงเกิดความสับสนเล็กน้อยเมื่อเห็นพระภิกษุเสียสติไปอย่างกะทันหัน

ไม่ใช่ทุกคนที่ได้ยินคำพูดก่อนที่ภิกษุรูปนั้นจะสติหลุด

ในตอนนี้เอง ภิกษุเฒ่าใต้ต้นโพธิ์ก็ลืมตาขึ้น ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มแห่งการเห็นธรรม พุทธวจนะไหลเวียนทั่วร่างไปโดยธรรมชาติ

“ขอบคุณประสกที่ชี้ทางสว่าง อาตมารู้แจ้งแล้ว” ภิกษุเฒ่ายิ้มพร้อมทั้งประนมมือ

เจ้าตื่นรู้แล้วจริงหรือ?! ไม่นึกไม่ฝันว่าวันที่ข้าพูดพล่ามไร้สาระ แล้วภิกษุชั้นสูงเกิดดวงตาเห็นธรรมจะมาถึง…ความรู้สึกของสวี่ชีอันซับซ้อน

ก่อนที่เขาจะได้อ้าปากตอบกลับ ภิกษุเฒ่าก็พูดต่อไปว่า “เมื่อพระมัญชุศรียังเป็นภิกษุระดับสี่ ก็เคยสงสัยว่าเหตุใด ตนจึงเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้

“ความลุ่มหลงนี้ติดอยู่ในใจมาเนิ่นนาน จนกระทั่งสิ้นอายุขัย ท่านก็ตระหนักได้ว่ามีพระพุทธเจ้าเพียงองค์เดียวในโลก และนั่นคือพระศากยมุนีพุทธเจ้า พระองค์จึงทรงตัดขาดจากอาตมาและบรรลุผลเป็นพระโพธิสัตว์

“อาตมาสถิตในแดนลับนี้มาหลายปีแล้ว จนแล้วจนรอดก็ยังนึกไม่ออกว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าได้อย่างไร ยังนึกไม่ออกว่าเหตุใดจึงเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้”

ภิกษุเฒ่าจ้องมองสวี่ชีอัน แต่ก็คล้ายกับจะมองผ่านเขาไป เห็นภาพตนเองในแดนประจิมอันไกลโพ้น ในที่สุดเขาก็ประนมมือขึ้น และกล่าวกับตนเอง

“ข้าคือพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็คือข้า อมิตาพุทธ!”

สิ่งที่พระมัญชุศรียึดติดคือการเป็นอิสระจากลำดับขั้น เพื่อเป็นบุคคลผู้เคียงข้างพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

แต่บัดนี้ ในที่สุดเขาก็ได้รู้แจ้งแล้วว่า พระพุทธเจ้าไม่เกี่ยวข้องกับลำดับขั้น

“ขอบใจประสกที่ชี้ทางสว่าง”

“ธรรมะของไต้ซือเป็นเลิศอยู่แล้ว หาใช่ความดีความชอบของข้า” สวี่ชีอันกล่าวด้วยความจริงใจ

คำพูดของเขาจุดประกายต่อการตื่นรู้ แต่การบรรลุธรรมได้นั้น เกิดจากการบำเพ็ญเพียรสั่งสมด้วยตัวของไต้ซือแห่งความลุ่มหลง จนรู้แจ้งปรุโปร่ง

เช่นเดียวกับคำสั้นๆ เมื่อครู่นี้ คนธรรมดารับฟังเข้าหูแต่ไม่เข้าใจ ทว่าสำหรับเหล่าภิกษุเสียงนั้นเป็นดั่งเสียงกลองยามค่ำ เสียงระฆังยามอรุณ เพราะพวกเขานั้นพร้อมด้วยความรู้ความเข้าใจ จนถึงขั้นต่อยอดความรู้นั้นในหัว จนเกิดการตื่นรู้

ทันใดนั้นก็บังเกิดสายลมในแดนลับ ภิกษุเฒ่ากลายเป็นควันสีน้ำเงินและสลายหายไป ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ใด

‘ซ่า ซ่า ซ่า…’

ต้นโพธิ์ไหวเอน มีผลโพธิ์สีเขียวสดงอกออกมาทีละผล แน่นขนัดอยู่บนกิ่งโพธิ์

ผลโพธิ์เปล่งแสงสีเขียวสุกใส มองก็รู้ว่าไม่ใช่ผลไม้ธรรมดา

ในแดนพุทธไร้ซึ่งสุรเสียง มีเพียงเสียงใบโพธิ์ส่งเสียง ‘ซ่าๆ’ เท่านั้น ขณะที่ข้างนอกแดนพุทธกำลังฮือฮากันยกใหญ่

บรรดาชาวเมืองผู้เฝ้ามองจนถึงตอนนี้ ไม่แม้แต่จะอึ้งหรือตกตะลึงอีกต่อไป เพราะพวกเขาคาดไม่ถึงเสียด้วยซ้ำ

หากมองไม่ผิดและหูไม่เพี้ยนแล้วล่ะก็ ใต้เท้าฆ้องเงินผู้นี้ชี้ทางสว่างให้กับภิกษุเฒ่า ทำให้ท่านได้บรรลุธรรม ด้วยเหตุนี้ภิกษุเฒ่าจึงกล่าวขอบคุณอย่างซาบซึ้ง

ทหารหนึ่งราย เบิกเนตรภิกษุสมณศักดิ์สูง ให้ท่านได้เห็นธรรมหรือ?!

ภาพแปลกประหลาดอัศจรรย์เช่นนี้ทำเอาชาวเมืองหลวงถึงกับลืมส่งเสียงโห่ร้องยินดี

“พูดอะไรน่ะ”

ณ ชั้นบนของร้านอาหาร ฉู่หยวนเจิ่นถามไต้ซือเหิงหย่วนที่อยู่ข้างๆ

“เห็นบุปผากลางม่านหมอก [2]เห็นบุปผากลางม่านหมอก…ใต้เท้าสวี่พูดได้ชัดแจ้งเหลือเกิน พูดได้ชัดแจ้งเหลือเกิน…”เหิงหย่วนไม่ได้ยิน เอาแต่พึมพำกับตัวเอง

คำพูดของสวี่หนิงเยี่ยนมีผลกระทบต่อชาวพุทธมากขนาดนี้เชียวหรือ ฉู่หยวนเจิ่นตกตะลึง

ด่านนี้ถือว่าผ่านแล้วสินะ… สวี่ชีอันปลื้มปริ่มใจ ตาจดจ้องผลโพธิ์อย่างไม่ละสายตา

ไปให้ถึงอารามบนยอดเขาก่อนแล้วค่อยว่ากัน! เขาเอ่ยในใจ

ขณะที่กำลังจะจากไป ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงดังที่ดังกึกก้องไปทั่วฝอซาน

“พุทธมหายานคืออะไรและพุทธหินยานคืออะไร ประสกสวี่โปรดแถลงไขก่อนจากไป”

ด้านนอก ทุกคนต่างมองไต้ซือตู้เอ้อร์ด้วยความประหลาดใจ พระอรหันต์ผู้สง่างามเข้ามาแทรกแซงการประลองระหว่างคนสองคน ช่างเป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย

แต่ในเวลานี้ ใบหน้าของพระอรหันต์ตู้เอ้อร์นั้นเคร่งขรึมมากเสียจนทำให้ผู้คนคิดว่ากำลังเผชิญกับเรื่องร้ายแรงราวกับท้องฟ้าถล่ม ไม่กล้าส่งเสียงสบถสาบานทีเดียว

พุทธมหายานคืออะไรและพุทธหินยานนี่มันเรื่องอะไรกัน

ฟังไม่เห็นจะเข้าใจเลย

คนทั่วไปไม่เข้าใจ แต่ในหมู่ผู้ที่อยู่บนจุดสุดของอำนาจเมืองหลวง มีบางคนเผยปฏิกิริยาออกมาเล็กน้อย

เช่นเว่ยเยวียนและสมุหราชเลขาธิการหวาง

นี่มันเสียงของพระอรหันต์ตู้เอ้อร์…โลกภายนอกได้ยินเสียงและมองเห็นการกระทำของข้าก็จริง แต่การเข้ามาแทรกแซงการประลองโดยตรงนี่มันอะไร

สวี่ชีอัน ขมวดคิ้วและพ่นลมหายใจเยือกเย็น “ขอถามไต้ซือ พระพุทธเจ้าคืออะไร”

“ก่อนสมัยพระศากยมุณีพุทธเจ้า เจ็ดหมื่นสองพันสามร้อยหกสิบแปดปี ไม่มีใครได้เป็นพระพุทธเจ้า หลังจากพระศากยมุณีพุทธเจ้า สามพันสี่ร้อยเก้าสิบเอ็ดปี ไม่มีใครได้เป็นพระพุทธเจ้า

“พระศากยมุณีพุทธเจ้าก็คือพระพุทธเจ้า ใครที่ไหนจะมาเป็นพระพุทธเจ้าได้!”

น้ำเสียงของไต้ซือตู้เอ้อร์เต็มไปด้วยคำถาม

ที่แท้ในโลกนี้ก็มีศาสนาพุทธมาแล้วสามพันสี่ร้อยเก้าสิบเอ็ดปี แล้วเหตุใดจึงไม่มีแนวคิดนิกายพุทธมหายานบ้าง

สวี่ชีอันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะได้ข้อสรุปว่าดินแดนจิ่วโจวแห่งนี้ยึดเอาความแข็งแกร่งเป็นที่ตั้ง และถือระดับขั้นเป็นรากฐาน ใครแข็งแกร่งกว่าก็ได้เป็นใหญ่ ดังนั้นจึงมีการปิดกั้นการแสดงความคิดเกิดขึ้น

ในโลกของเขา ทุกคนล้วนเป็นมนุษย์ปุถุชน ย่อมเกิดการปะทะกันทางความคิดตลอดเวลา

สิ่งแวดล้อมต่างกัน ทิศทางการพัฒนาย่อมต่างกัน

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ข้าจึงต้องคุยกับเจ้าว่าพุทธมหายานคืออะไร เอ่อ พุทธมหายานตามที่ข้าเข้าใจนะ… สวี่ชีอันกล่าวอย่างเคร่งขรึม

“ดังนั้น ในสายตาของชาวพุทธใต้หล้านี้พระพุทธเจ้าคือพระศากยมุณีพุทธเจ้า แต่พระศากยมุณีพุทธเจ้าหาได้เป็นพระพุทธเจ้าไม่ ในความคิดของข้า ความคิดนี้ช่างน่าขัน”

ประโยคนี้เป็นวาทกรรมที่ไม่มีใครเข้าใจยกเว้นภิกษุภายนอก

ภิกษุจิ้งเฉินอดไม่ไหวจึงพูดขึ้นว่า “น่าขันตรงไหน เจ้าจงไขให้กระจ่าง”

ไต้ซือตู้เอ้อร์เหลือบมองที่เขาโดยไม่พูดอะไร แล้วหันกลับไปมองสวี่ชีอันอีกครั้ง

“น่าขันจะตายไป ก็ลองดูโหรแห่งสำนักโหราจารย์เป็นตัวอย่างสิ ท่านโหราจารย์คือโหรอันดับหนึ่ง แต่โหรอันดับหนึ่งมิได้เป็นท่านโหราจารย์เสมอไป เรื่องนี้ควรตัดสินด้วยฉันทามติหรือ แต่ในสายตาชาวพุทธอย่างพวกท่าน พระพุทธเจ้าคือพระศากยมุณีพุทธเจ้า ไม่คิดว่ามันน่าขันหรือผิดแปลกบ้างหรือ

“พระพุทธควรจะเป็นตัวแทนของนิพพานสูงสุด มิใช่บุคคลใดบุคคลหนึ่งหรอกหรือ”

คำพูดนี้ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก พระศากยมุณีพุทธเจ้าทรงเป็นผู้ก่อตั้งพระพุทธศาสนา เป็นพระพุทธเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียว เป็นสิ่งที่พวกเขาต้องสักการบูชา

บุคคลผู้ประเสริฐระดับเทพเซียนผู้สูงส่งเช่นนี้ ก็ควรจะเป็นพระพุทธเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียวมิใช่หรือ

แต่สิ่งที่สวี่ชีอันพูดนั้นก็ฟังดูมีเหตุผลเหมือนกัน ด้วยเหตุนี้เหล่าภิกษุจึงไม่อาจโต้เถียงได้อยู่พักหนึ่ง

สวี่ชีอันกล่าวต่อ “ดังนั้นข้าจึงมีคำถามใคร่ถามไต้ซือว่า แท้จริงแล้วพุทธศาสนาคืออะไร คือหนทางให้ได้มาซึ่งพลัง หรือเป็นแนวคิดอย่างหนึ่ง”

ใบหน้าของไต้ซือตู้เอ้อร์ยังคงถมึงทึง แต่ในแววตานั้นปราศจากความโกรธแค้น เขาพินิจพิจารณาถึงเรื่องนี้อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าว “ถูกต้องทั้งสองประการ”

“ดังนั้นข้าจึงบอกว่า นี่คือความแตกต่างระหว่างพุทธมหายานและพุทธหินยาน” สวี่ชีอันพูดจาฉะฉาน

ภิกษุด้านล่างต่างมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง รู้สึกทรมานราวกับถูกรบกวนจิตใจ รู้สึกอยากฟังทฤษฎีของสวี่ชีอันให้จบในอึดใจเดียว

ณ หอดูดาว บนแท่นแปดทิศ

ท่านโหราจารย์เบิกตากว้างและกระซิบกระซาบ “ไอ้หนุ่มคนนี้นี่มันปากกล้าเสียจริง จบแล้ว จบแล้ว…”

จักรพรรดิหยวนจิ่งหันไปมองและตรัสถาม “ท่านโหราจารย์ ท่านว่าอะไรนะ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง