ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 294

สรุปบท บทที่ 294 ไม่คุกเข่า (1): ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 294 ไม่คุกเข่า (1) – ตอนที่ต้องอ่านของ ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ตอนนี้ของ ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 294 ไม่คุกเข่า (1) จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

บทที่ 294 ไม่คุกเข่า (1)

หลังจากเสียงฟ้าผ่าดังขึ้นบนท้องฟ้าก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ อีก เมฆหมอกที่พลุ่งพล่านสลายไปพร้อมกับแสงพุทธบนร่างของพระอรหันต์ตู้เอ้อร์ที่จางหายไป

เขาลืมตาขึ้น ดวงตาสาดแสงแห่งปัญญาออกมา ก่อนจะจางหายไปหลังจากนั้นในพริบตา

พระอรหันต์ตู้เอ้อร์เห็นเหล่าสาวกของสำนักพุทธยังคงครุ่นคิดและเข้าสู่สภาวะวิเศษ ในสำนักพุทธ นี่คือกระบวนการการตรัสรู้

สิ่งที่ตามองเห็น สิ่งที่หูได้ยิน จิตจะเกิดการรู้แจ้ง

แน่นอนว่า นี่ต่างจากการตรัสรู้ทันใดของไต้ซือตู้เอ้อร์อย่างมาก

พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ไม่ได้ไปรบกวนการตระหนักรู้ของเหล่าสาวก เขาพนมมือและกล่าวเสียงดัง “ปราชญ์กล่าวไว้ว่า การเรียนรู้ไม่เกี่ยวกับอายุ ผู้บรรลุเข้าใจก็เป็นเซียนได้ คำกล่าวนี้สมเหตุสมผล ถึงแม้ประสกสวี่จะไม่ใช่คนในสำนักพุทธของอาตมา แต่ก็มีรากพุทธที่ยิ่งใหญ่ ทำให้อาตมาเกิดความกระจ่างแจ้งในทันใด ความคิดก็ยกระดับ นี่พิสูจน์ว่าทุกคนมีพุทธภาวะและทุกคนสามารถบรรลุการตรัสรู้ได้เมื่อเห็นตัวเอง ขอบคุณประสกสวี่สำหรับคำแนะนำ ทำให้อาตมาตระหนักรู้ถึงพุทธศาสนานิกายมหายาน ประสกสวี่ถือเป็นอาจารย์ของอาตมา ด่านที่สามนี้ ประสกชนะ”

ทฤษฎีทางพุทธศาสนาที่ลึกลับซับซ้อน เหล่าสามัญชนฟังไม่เข้าใจ พวกเขาดึงใจความหลักจากในคำพูดของพระอรหันต์ตู้เอ้อร์ออกมาได้ว่า

‘ประสกสวี่ช่างยอดเยี่ยม ประสกสวี่ถือเป็นอาจารย์ของข้าและประสกสวี่ผ่านด่านที่สามแล้ว’

“เมื่อครู่ ภิกษุชั้นสูงจากสำนักพุทธรูปนี้เหมือนจะพูดว่า ‘ประสกสวี่ถือเป็นอาจารย์ของข้า’ ใช่หรือไม่”

ในแถวหน้า ชายหนุ่มที่แต่งตัวเป็นปัญญาชนคนหนึ่งถามอย่างตะกุกตะกัก

‘อาจารย์ของข้าหรือ’

ชาวยุทธภพที่เป็นทหารต่างก็ตื่นเต้น

ตลอดเวลาที่ผ่านมา ทหารถูกระบบใหญ่ทุกระบบดูหมิ่นว่า ทหารใช้กำลังทำผิดกฎหมาย ทหารที่หยาบคายทำได้เพียงใช้ความรุนแรงทำลายและสังหารผู้คน

นอกจากประโยชน์ตอนทำสงครามแล้ว เวลากับสถานการณ์อื่นก็ไม่มีประโยชน์เลย แต่ก็เป็นปัจจัยที่ไม่มั่นคงของสังคมจิ่วโจว

ทว่าตอนนี้ ภิกษุชั้นสูงแห่งสำนักพุทธ พระอรหันต์ระดับสองเอ่ยว่า ทหารคนหนึ่ง ‘เป็นอาจารย์ของข้า’

เมื่อชาวยุทธภพที่อยู่รอบๆ ได้ยินประโยคนี้ก็อิ่มอกอิ่มใจ พวกเขาแทบจะคำรามเสียงดังลั่นสะเทือนฟ้า

“ชาวยุทธภพทั่วทั้งต้าฟ่งควรจดจำชื่อสวี่ชีอันไว้ เขาคือนักรบที่แท้จริง”

“ในที่สุดระบบทหารก็ถือกำเนิดบุคคลที่มีความสามารถ ข้าท่องไปทั่วยุทธภพมาหลายปี ไม่เคยมีทหารคนไหนถูกผู้แข็งแกร่งสูงสุดของระบบอื่นยกย่องเป็นอาจารย์มาก่อน”

“รอข้ากลับไปที่บ้านเกิด ข้าจะป่าวประกาศเรื่องนี้ออกไปให้ทั่ว การมาเมืองหลวงในครั้งนี้ช่างเป็นการเดินทางที่คุ้มค่า ข้าได้ความรู้มากมาย”

“หลังจากกลับไปที่บ้านเกิดและดื่มกับญาติมิตรแล้ว ข้าจะนำเรื่องนี้ไปเล่าสามวันสามคืน…จู่ๆ ข้าก็อดใจรอที่จะกลับบ้านไม่ไหว”

มุมหนึ่ง หญิงสาวที่ยังคงมีเสน่ห์ละสายตาจากร่างของสวี่ชีอันอย่างไม่เต็มใจและหันไปมองลูกศิษย์ที่น่าภาคภูมิใจของตัวเอง หัตถ์รื่นรมย์หรงหรง

“หรงหรง อาจารย์ตรวจสอบดูแล้ว ใต้เท้าสวี่ผู้นี้…อืม เป็นแขกประจำของสำนักสังคีต”

หรงหรงที่แต่งองค์ทรงเครื่องแต่กลับดูไม่เข้ากับยุคสมัยกัดริมฝีปาก หันกลับไปมองหญิงสาวคนนั้น “ท่านอาจารย์ ท่านอยากจะพูดอะไรหรือ”

“สตรีชาวยุทธ์เช่นพวกเราไม่สนใจสถานะ” หญิงงามคนนั้นเอ่ยเสียงเบา “หรงหรง ด้วยหน้าตาอันงดงามของเจ้า การได้เป็นภรรยาของใต้เท้าสวี่อาจเป็นการฝืนความจริงอยู่สักหน่อย ทว่าสถานะของเจ้าไม่เพียงพอ ทว่าหากเป็นนางสนมย่อมไม่มีปัญหา”

“ข้า…”

หรงหรงอยากปฏิเสธ แต่ผู้ชายคนนั้นเปล่งปลั่งมากจริงๆ เปล่งปลั่งจนทำให้ผู้หญิงที่ภูมิใจในความงามของตัวเองเช่นนางอดใจเต้นไม่ได้

สวี่ชีอันปีนขึ้นบันได ระหว่างทางเขาไม่พบด่านใดอีกจนเดินมาถึงปลายบันไดและก้าวเข้าสู่สนามเล็กๆ ข้างนอกวัดบนยอดเขา

นี่เป็นวัดเดี่ยวที่มีหลังคาเรียบ ชายคาสูง ไม่มีโถงด้านข้าง ไม่มีห้องปีกและมีเพียงโถงใหญ่

“ข้างในวัดน่าจะเป็นด่านสุดท้าย ข้าจำได้ว่าพระอรหันต์ตู้เอ้อร์บอกว่า เมื่อเข้าไปในวัด หากยังคงไม่ยอมเปลี่ยนไปเข้าสำนักพุทธ เช่นนั้นก็จะถือว่าสำนักพุทธพ่ายแพ้…”

ทันใดนั้น ในหัวของสวี่ชีอันก็นึกถึงหนึ่งร้อยแปดกระบวนท่าที่เหล่าคณิกาแห่งสำนักสังคีตสอน ด้วยเหตุนี้ภายในใจจึงปนเปื้อนและร่างทั้งร่างก็ย้อมด้วยสีของราชวงศ์

เมื่อยืนยันว่าตัวเองกลายเป็นเฒ่าหื่นกามแล้ว เขาก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ ผลักประตูวัดและเข้าไปภายในโถง

เมื่อเห็นฉากนี้ พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ก็พนมมือและเอ่ยว่า “เมื่อเข้าไปในวัดแห่งนี้ แม้แต่ก้อนหินก็สามารถตรัสรู้ได้และเปลี่ยนไปเข้าสำนักพุทธ”

นี่หมายความว่าอย่างไร

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ทุกคนก็ขมวดคิ้ว จากนั้นก็นึกถึงหัวข้อของการต่อสู้ครั้งนี้ ‘เปลี่ยนไปเข้าสำนักพุทธ’

สมณทูตแดนประจิมไม่เพียงต้องการเอาชนะและได้รับแผ่นความลับสวรรค์เท่านั้น แต่ยังต้องการให้นักรบเปลี่ยนไปเข้าสำนักพุทธเพื่อตบหน้าต้าฟ่งด้วย

“ภิกษุหน้าเหม็น ข้าอยากเห็นสถานการณ์ภายในวัด” ยายตัวร้ายผุดลุกขึ้นทันใด นัยน์ตาดอกท้ออันทรงเสน่ห์ชวนให้หลงใหลเผยความดุร้ายที่หาได้ยากออกมาและกล่าวด้วยความโกรธ

“ใครจะรู้ว่าสำนักพุทธของพวกเจ้าวางกลอุบายสกปรกอะไรไว้ข้างในเพื่อทำร้ายฆ้องเงินแห่งต้าฟ่งของข้า”

นางไม่เชื่อว่าสวี่ชีอันจะละทางโลกและเข้าสู่ประตูพุทธ แต่วิธีการของสำนักพุทธนั้นแปลกประหลาด อาจบีบให้ ‘พ้นทุกข์’ ก็เป็นไปได้ เมื่อไม่ได้เห็นสถานการณ์ภายในวัด ยายตัวร้ายก็จินตนาการไม่หยุด นางจินตนาการว่าสวี่ชีอันได้รับบาดเจ็บ

นางจึงอดไม่ได้ในทันที

“ในเมื่อเป็นการต่อสู้ ย่อมควรเปิดเผย พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ โปรดแสดงฉากภายในวัดด้วยเถิด” ฮว๋ายชิ่งกล่าวอย่างเย็นชา

เหล่าขุนนางที่อยู่ในซุ้มไม้เอ่ยปากทีละคนๆ

“มีเหตุผล!”

พระอรหันต์ตู้เอ้อร์พนมมือและยิ้ม เขาสะบัดแขนเสื้อกว้างและภาพแดนพุทธก็เปลี่ยนไป ทุกคนจึงเห็นโถงใหญ่ที่มีแสงเทียนริบหรี่

ภายในโถง ร่างทองสูงหกฟุตนั่งขัดสมาธิ ยอดศีรษะเกือบจะแตะกับยอดโถง

พระพุทธรูปองค์นี้ หูสองข้างอวบอ้วนห้อยลง ใบหน้าราวกับแผ่นทอง ดวงตาหรี่ลงราวกับยิ้มด้วยความเมตตา แต่กลับแฝงไว้ด้วยความน่าเกรงขามที่ยากจะอธิบายและส่งไปถึงจิตวิญญาณ

ทำให้คนที่มองดูอดพนมมือเพื่อทำความเคารพไม่ได้

“ในวัดมีธรรมลักษณะทั้งหมดสององค์ องค์นี้เป็นธรรมลักษณะระดับเพชร ประสกสวี่ ความลึกลับของพระสูตรระดับเพชรอยู่ภายในร่างทอง หากประสกสามารถบรรลุได้ ประสกก็จะสามารถฝึกฝนจนกลายเป็นระดับเพชรไร้พ่ายแห่งสำนักพุทธได้”

เสียงของไต้ซือตู้เอ้อร์ส่งเข้ามา

พระสูตรระดับเพชรอยู่ภายในธรรมลักษณะ…ดวงตาของสวี่ชีอันลุกเป็นไฟทันที เขาอิจฉากายสิทธิ์ระดับเพชรของสำนักพุทธมาโดยตลอด หากเขาสามารถฝึกฝนพลังเทวราชคุ้มกายานี้ได้ เขาก็จะอยู่ยงคงกระพันในขอบเขตทหารระดับหก

ยิ่งไปกว่านั้น หากมีพลังเทวราชนี้ ข้อบกพร่องสุดท้ายของสวี่ชีอันก็จะได้รับการเติมเต็ม หลังจากฟันดาบเดียวเสร็จ ใต้เท้าสวี่ที่พลังปราณหมดก็จะโยนดาบทิ้ง ล้มตัวนอนกับพื้นและพูดกับศัตรูว่า ‘เข้ามา เคลื่อนไหวเอง’

ไม่แปลกใจที่ท่านโหราจารย์ยืนยันว่าจะให้ข้าเป็นตัวแทนของสำนักโหราจารย์ไปต่อสู้…ท่านโหราจารย์ ทั้งหมดนี้อยู่ในการคาดการณ์ของท่านใช่หรือไม่

นอกจากจะรู้สึกตื่นเต้นแล้ว สวี่ชีอันยังรู้สึกเสียวสันหลังวาบอีกด้วย ท่านโหราจารย์น่ากลัวเกินไป

ด้านนอก หลังจากฟังคำพูดของพระอรหันต์ตู้เอ้อร์จบ ดวงตาของทหารที่อยู่ในที่นี้ก็เปล่งประกายทันที พวกเขาเงยหน้าขึ้นมองพระพุทธรูป แทบจะจ้องตาเขม็งและยึดติดกับพระพุทธรูป

สวี่ชีอันนั่งขัดสมาธิบนเบาะและเงยหน้าขึ้นเพ่งพินิจธรรมลักษณะระดับเพชร

พระอรหันต์ตู้เอ้อร์กำลังมองเขาอยู่ พลังเทวราชระดับเพชรเหมาะกับจอมยุทธ์ภิกษุเท่านั้น หากไม่ถึงขอบเขตพระอรหันต์ ภิกษุที่ฝึกพระธรรมก็ไม่อาจควบคุมพลังเทวราชระดับเพชรได้

พระอรหันต์ตู้เอ้อร์กำลังวาดมโนภาพให้สวี่ชีอันเพื่อปูทางให้เขาเข้าสู่สำนักพุทธ

สาวกชาวพุทธที่เกิดมาพร้อมกับรากปัญญา ไม่ว่าอย่างไร พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ก็จะช่วยเขาละทางโลกและกลายเป็นศิษย์ของสำนักพุทธ

เขาไม่ได้เพียงแค่เสียดายความสามารถเท่านั้น แต่เพราะสวี่ชีอันเป็นผู้บุกเบิกพุทธศาสนานิกายมหายานและพระอรหันต์ตู้เอ้อร์ก็ต้องการเป็นผู้ก่อตั้งพุทธศาสนานิกายมหายาน

ด้วยเหตุนี้ หากเขาต้องการเผยแพร่แนวคิดพุทธศาสนานิกายมหายานให้มากยิ่งขึ้นและต้องการเปลี่ยนนิกายหินยานเป็นนิกายมหายาน การดำรงอยู่ของสวี่ชีอันมีความสำคัญอย่างมาก

ผู้บุกเบิกที่นำเสนอแนวคิดพุทธศาสนานิกายมหายานเช่นสวี่ชีอันจะต้องเข้าร่วมสำนักพุทธ ด้วยวิธีนี้เท่านั้นถึงจะแสดงให้เห็น ‘ความดั้งเดิม’ ได้

พระสูตรระดับเพชรอยู่ในพระพุทธรูปหรือ ของระเกะระกะอะไรอย่างนี้ เห็นๆ อยู่ว่าไม่มี…สวี่ชีอันจ้องมองพระพุทธรูปและพินิจอยู่หนึ่งเค่อโดยไม่กะพริบจนดวงตาของเขาเจ็บ

ข้าช่างเป็นทหารหยาบคายที่ไร้ซึ่งรากพุทธจริงๆ…เขาเยาะเย้ยตัวเองในใจ

ทันใดนั้น ภายในท้องก็มีกระแสน้ำอุ่นพุ่งขึ้นมา พุ่งขึ้นจากตันเถียน ไหลผ่านตันเถียนกลางและเข้าสู่ตันเถียนบน คิ้วของเขากระตุกทันทีราวกับฟิล์มพลาสติกถูกดึงออก

พระพุทธรูปที่อยู่เบื้องหน้าเขามีการเปลี่ยนแปลง…

มันยังคงนั่งขัดสมาธิไม่เคลื่อนไหว แต่พุทธสัมผัสกลับไหลเวียนไปทั่วร่างกาย ก่อนที่เซนลึกลับจะปรากฏขึ้นต่อหน้าสวี่ชีอัน

สิ่งที่ทำให้ผู้คนคาดไม่ถึงคือ เขาเข้าใจเซนและพุทธสัมผัสที่แฝงอยู่ในธรรมลักษณะ

ด้านบนร้านอาหาร เหิงหย่วนอิจฉาไม่หยุด “พลังเทวราชระดับเพชร…”

“มั่นคง” ฉู่หยวนเจิ่นตบไหล่ของคนหัวล้านและยิ้ม “กลับไปค่อยขอระดับเพชรไร้พ่ายจากสวี่หนิงเยี่ยน เส้นทางจอมยุทธ์ภิกษุของเจ้าสามารถไปได้ไกลกว่านั้น แต่การเลื่อนขั้นเป็นระดับเพชรระดับสามเป็นไปไม่ได้”

ผู้คนที่อยู่ด้านนอกฟังเนื้อหาการสนทนาของภิกษุเฒ่าผู้หมกมุ่นกับสวี่ชีอันโดยไม่ขาดสักคำ ด้วยสติปัญญาของฉู่หยวนเจิ่นจึงไม่ยากที่จะเดาว่าระดับต่อไปของจอมยุทธ์ภิกษุระดับแปดคือระดับเพชรระดับสาม

ท่ามกลางเสียงกู่ก้องร้องยินดี พระอรหันต์ตู้เอ้อร์กล่าวอามิตตาพุทธ เสียงที่แฝงไว้ด้วยรอยยิ้มเล็กน้อยกระจายไปทั่วทั้งสนาม “ด่านนี้มีชื่อว่าเทพอสุราถามใจ”

‘เทพอสุราถามใจหรือ’

เสียงร้องดังกึกก้องค่อยๆ สงบลง สายตาแต่ละคู่ละจากแดนลับฝอซานและมองไปที่ไต้ซือตู้เอ้อร์ ในกลุ่มนั้นรวมถึงเว่ยเยวียนกับสมุหราชเลขาธิการหวางและจักรพรรดิหยวนจิ่งที่อยู่ชั้นบนสุดของหอดูดาวด้วย

“นี่เป็นตำนานศาสนาพุทธของข้า…”

พระอรหันต์ตู้เอ้อร์เล่าออกมาตรงๆ

ตามตำนานเล่าว่า ขณะที่พระพุทธเจ้ากำลังก่อตั้งสำนักที่แดนประจิม แดนประจิมก็ถูกชนเผ่าป่าเถื่อนที่ชื่อว่า ‘เทพอสุรา’ เข้ายึดครอง เผ่าเทพอสุรานั้นเป็นคู่ต่อสู้ที่ดุร้ายและกินขนดื่มเลือด

เพื่อแย่งชิงดินแดน พวกเขาสังหารภิกษุของสำนักพุทธอย่างโหดเหี้ยม

หลังจากพระพุทธเจ้าทรงทราบ พระองค์ก็เสด็จไปยังอาณาเขตของเผ่าเทพอสุราด้วยพระองค์เอง พระองค์นั่งสมาธิสามวันสามคืน อดทนรับการทุบตีและไม่โต้ตอบเลย

เผ่าเทพอสุราที่โหดร้ายนำดาบกับหอกมาเพิ่มทันที เมื่อฟันดาบหนึ่งเล่มลงไป ผิวหนังก็ฉีกลอกออกจนเห็นเนื้อและโชกไปด้วยเลือด แต่กลับมีเสียงกระทบดังสนั่นดังออกมาจากภายในเลือดเนื้อ

เมื่อฟันดาบสองเล่มลงไป ผิวหนังก็ฉีกลอกออกจนเห็นเนื้อ ภายในเลือดเนื้อมีแสงสีทองสว่างขึ้นมา

หลังจากฟันดาบสามพันหกร้อยเล่ม พระพุทธเจ้าก็สูญเสียเลือดเนื้อไปและเผยให้เห็นธรรมลักษณะร่างทองของพระองค์

ในระหว่างที่ฟันสามวันสามคืน เหล่าชนเผ่าเทพอสุราก็รู้ตัวเองและตรัสรู้อย่างยิ่งใหญ่ ตั้งแต่นั้นมาพวกเขาก็ละทิ้งจิตใจที่อยากฆ่าและเปลี่ยนไปเข้าสำนักพุทธ

ผู้คนในตลาดที่มุงดูต่างฟังด้วยความเพลิดเพลิน แต่สีหน้าของสมุหราชเลขาธิการหวางและเหล่าขุนนางขั้นสูงที่สืบเชื้อสายกันมากลับเปลี่ยนไปยกใหญ่

แน่นอนว่าภายในวัดไม่มีพระพุทธเจ้า แต่ในเมื่อด่านนี้มีชื่อว่า ‘เทพอสุราถามใจ’ เช่นนั้นผลลัพธ์ก็ต้องเหมือนกับที่พระพุทธเจ้าทำให้เผ่าเทพอสุราพ้นทุกข์เป็นแน่

แม้แต่เผ่าเทพอสุราที่โหดร้ายและกินขนดื่มเลือดก็สามารถพ้นทุกข์ได้ แล้วจะไม่สามารถทำให้สวี่ชีอันพ้นทุกข์ได้หรือ

ในขณะเดียวกัน ภายในวัด ธรรมลักษณะระดับเพชรที่หรี่ตาอยู่องค์นั้นจู่ๆ ก็ลืมตาขึ้น

ชั่วพริบตา ความสง่างามของพระธรรมก็ราวกับแผ่นดินถล่ม ราวกับสึนามิ ซึ่งเค้นพลังที่ไม่อาจควบคุมได้กลืนกืนสวี่ชีอัน

แสงพุทธะที่สวี่ชีอันเห็น เป็นแสงพุทธะที่ไร้ขอบเขต แสงพุทธะนี้ไม่ได้ทำให้ผู้คนรู้สึกสงบสุข แต่กลับทำให้ผู้คนรู้สึกราวถูกครอบงำอย่างไร้เหตุผล

มันบดขยี้ความมุ่งมั่นของเขาในพริบตา ทั้งยังแปรเปลี่ยนจิตใจของเขา

“ทุกข์แปดประการในชีวิตนั้นไร้ความหมาย การเข้าร่วมสำนักพุทธเป็นเพียงที่พำนักเดียว…”

“ข้าคือผู้ก่อตั้งพุทธศาสนานิกายมหายาน สำนักพุทธจึงเหมาะกับการพัฒนาของข้า”

“ลังเลอะไร เจ้าเต็มใจที่จะเป็นทหารผู้หยาบคายจริงๆ หรือ”

ความคิดแต่ละอย่างผุดขึ้นมา บอกประโยชน์ต่างๆ ของสำนักพุทธและสวี่ชีอันก็รู้สึกว่ามันสมเหตุสมผลมาก

ความคิดของผู้คนจะเปลี่ยนไป ซึ่งอาจต้องใช้เวลายาวนานในการเปลี่ยนแปลง แต่เวลานี้สวี่ชีอันกลับเปลี่ยนใจของเขาในเวลาอันสั้น

เริ่มใฝ่หาศาสนาพุทธ ใฝ่หาพระธรรม

แม้แต่เหล่าคณิกาของสำนักสังคีตก็ไม่หอมหวานอีกต่อไป

ท่ามกลางสายตาจดจ้องของทุกคน สวี่ชีอันยืนขึ้น เขาดึงดาบยาวสีดำทองออกมาช้าๆ มืออีกข้างกดลงบนหมวก…

บัดซบ ถอดไม่ได้ ถอดไม่ได้!

ความรู้สึกละอายใจอันใหญ่หลวงทำให้เขากลับมาเป็น ‘ตัวเอง’ เล็กน้อย

ชักดาบ ถอดหมวก…นี่เป็นการโกนหัวให้ตัวเอง แต่เขาไม่มีผม หากถอดหมวกออก ไข่พะโล้ขนาดใหญ่ของเขาก็จะถูกเปิดเผยต่อสายตาของผู้คนนับหมื่นนับพัน…

…………………………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง