ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 30

คนแซ่โจวเป็นเพียงเศรษฐีไร้สมอง เขาแสร้งทำหรือไร? หรืออาจจะไม่

ไม่จำเป็นต้องเสแสร้ง ลูกผู้ลากมากดีไม่ได้หมายความว่าจะไร้สมอง ทว่าเขาใช้วิธีการของลูกผู้ลากมากดีให้เกิดประโยชน์ในการเลือกสิ่งต่างๆ โดยการกระตุ้นให้เกิดปัญหา หาประโยชน์จากความสัมพันธ์และใช้กลอุบาย…พยายามพาข้าออกไป

ยิ่งไปกว่านั้น แทบไม่มีผลสืบเนื่องภายหลังอันใดเกิดขึ้น แม้ว่าจะใกล้เข้าสู่การตรวจสอบข้าราชสำนัก ทว่าการตายของผู้ใต้บังคับบัญชาจึงถือเป็นเรื่องเล็กน้อย จะเป็นไปได้หรือไม่หากที่ทำการอำเภอส่งมือปราบเข้าไปดำเนินคดี ให้ชื่อเสียงรองเจ้ากรมแห่งกรมการคลังสั่นคลอนได้ และกลายเป็นขุนนางระดับสาม

คนแซ่โจวอาจไม่คาดคิดว่าข้าจะเข้าไปพัวพันกับสำนักโหราจารย์ หรือแม้แต่ให้ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่สำนักอวิ๋นลู่ออกมาเผชิญหน้าด้วยตัวเอง…เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ สวี่ชีอันรู้สึกใจหายเนื่องจากเป็นการกระทำที่เสี่ยงอันตราย

“นับตั้งแต่วันที่ข้าพ้นจากคดีเงินภาษี รองเจ้ากรมของกรมการคลังเคียดแค้นต่อข้า ข้าจึงเข้ามาพัวพันอย่างเลี่ยงไม่ได้ โชคดีที่ข้ายังอยู่ห่างจากอำนาจของจักรพรรดิผู้มั่งคั่ง รายล้อมไปด้วยมเหสีกับนางสนมจนมีชีวิตที่น่าเบื่อเรียบง่าย

หากไม่ใช่เพราะเอ้อร์หลางส่งบทกวีไปสู่เจ้าสำนัก หากหลายวันก่อนข้าเขียนความรู้ทางเคมีอย่างอื่นไปแทน…ป่านนี้ข้าคงสิ้นชีพไปแล้ว ทว่าแม้แต่ตัวข้าเองยังไม่เข้าใจถึงสาเหตุที่ต้องถูกฆ่า เพียงเพราะทำให้ลูกเศรษฐีรุ่นที่สองโกรธหรือ”

ความบังเอิญซ้ำๆ กันทำให้ข้ารอดพ้นจากวิกฤตินี้ได้…ช่างโชคดียิ่งนัก!!

สวี่ชีอันสูดลมหายใจเข้า เขารับรู้ถึงเสียงเต้นของหัวใจ “แม่นางไฉ่เวย เจ้าพยากรณ์ให้ข้าได้หรือไม่”

“อ่า” ฉู่ไฉ่เวยกำลังกลืนอาหารในปากลงคอ “นักเล่นแร่แปรธาตุระดับแปดหรือที่เรียกว่านักพยากรณ์ วิชามองปราณจึงเป็นความสามารถขั้นพื้นฐานของนักเล่นแร่แปรธาตุอย่างพวกข้า ปาฏิหาริย์ทั้งหมดที่ตามมาล้วนมีพื้นฐานมาจากการพยากรณ์”

เมื่อเอ่ยถึงระบบการฝึกฝนของนาง นั่นทำให้นางดูเป็นคนช่างพูดและน่าตื่นเต้นขึ้นมา นางพูดจ้อกแจ้ก “ทว่าเจ้าสงสัยหรือไม่ ว่าเหตุใดนักเล่นแร่แปรธาตุระดับเก้าถึงไม่ใช่นักพยากรณ์ แต่กลับเป็นหมอแทน”

สวี่ชีอันส่ายหน้าและถามติดตลกออกไปว่า “ไม่ใช่ว่านักเล่นแร่แปรธาตุมีหัวใจไว้ช่วยชีวิตคนใกล้ตายและรักษาคนบาดเจ็บหรอกหรือ”

ฉู่ไฉ่เวยยืดหลังตรงทำหน้าเคร่งขรึม ดูเหมือนนางรู้สึกเพลิดเพลินต่อการเป็นอาจารย์พร้อมกับกล่าว

“ทุกสิ่งบนโลกใบนี้ล้วนมีชะตากรรม โดยเฉพาะกับชีวิตมนุษย์ที่มีทุกข์แปดประการ อารมณ์ทั้งเจ็ดและความปรารถนาทั้งหกประการ นั่นล้วนเป็นชะตากรรม หมอที่ช่วยชีวิตคนใกล้ตายและรักษาคนบาดเจ็บจะถูกแปดเปื้อนและไม่อาจรอดพ้นจากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เมื่อเวลาล่วงเลยไป ม่านตาที่สามารถมองเห็นปราณจะถือกำเนิดขึ้น”

ข้าชอบผู้หญิงแบบนี้ที่พูดจาได้อย่างตรงไปตรงมาและจริงใจ…สวี่ชีอันกล่าว “เช่นนั้นเจ้าพยากรณ์ให้ข้าได้หรือไม่”

ฉู่ไฉ่เวยเช็ดปากเล็กๆ ของนางด้วยผ้าเช็ดหน้าและจ้องไปที่เขา ดวงตาสีดำของนางดูเปล่งประกาย

ดวงตาคู่นั้นที่จ้องมา ทำให้สวี่ชีอันเสมือนมีหนามทิ่มแทงมายังหลังของเขาและรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก

ขณะนั้นแสงในดวงตาของฉู่ไฉ่เวยก็จางลง ทว่าสีหน้าของนางยังคงเรียบเฉย “ชะตาของเจ้าเป็นสีแดงซีดผสมกับปราณสีดำ”

“หมายความว่าอย่างไร”

“สีแดง หมายถึงเจ้าดำรงชีวิตอยู่ด้วยการเป็นข้าราชการ ทว่าสีซีดนี้บ่งบอกว่าเจ้ายังเป็นเจ้าหน้าที่ระดับรากหญ้า ส่วนปราณสีดำเป็นสัญลักษณ์แห่งความโชคร้าย ข้าคิดว่าเจ้าเข้าใจความหมายเรื่องนี้ได้อย่างลึกซึ้ง”

สวี่ชีอันขมวดคิ้วและกล่าว “เป็นไปได้หรือที่ไม่มีสีอื่น อย่างเช่น สีที่เป็นสัญลักษณ์ของบุตรแห่งโชคชะตา”

“ดีแล้วที่เจ้าพูดเช่นนี้ต่อหน้าข้า หากผู้ใดได้ยินเข้า จะถือเป็นความผิดฐานดูหมิ่นอันใหญ่หลวง นอกจากองค์จักรพรรดิแล้ว ไม่มีผู้ใดบังอาจอ้างตนว่าเป็นบุตรแห่งโชคชะตา” ฉู่ไฉเวยตกตะลึงกับการดูหมิ่น ‘ผู้นี้เอาความมั่นใจมาจากไหนที่คิดว่าตนคือบุตรแห่งโชคชะตา’

เจ้าลองขยี้ตาแล้วดูให้ดีๆ อีกครั้งสิ!!

นางมองไม่เห็นอะไร อาจเพราะตำแหน่งหรือสภาวะทางร่างกายของนางกับชะตากรรมของเขาไม่สัมพันธ์กัน…สวี่ชีอันมีสีหน้าพอใจ เขาดูสงบลง ทว่าในใจของเขากลับตรงกันข้าม

‘เพียะ!’

ฉู่ไฉ่เวยตีมือของสวี่ชีอันที่กำลังเอื้อมไปที่อาหาร นางทำแก้มป่องด้วยความไม่พอใจ “รอจนกว่าข้าจะอิ่ม แล้วข้าจะยกให้เจ้า”

สวี่ชีอันเหลือบมองไปดูที่อาหารมื้อใหญ่ครึ่งหนึ่งที่เหลืออยู่และแอบคิดในใจว่าตอนนี้นางท้องได้กี่เดือน

“จริงสิ ตอนนี้สถานการณ์ของรองเจ้ากรมแห่งกรมการคลังเป็นอย่างไรบ้างหรือ” สวี่ชีอันนั่งตัวตรงไม่มองอาหาร

“เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมากรมการคลังได้ฟ้องร้องรองเจ้ากรมโจว ฝ่าบาททรงจัดการเรื่องนี้ด้วยพระองค์เอง” ฉู่ไฉ่เวยหยุดครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวเสริม

“ทั้งคู่จึงฆ่าตัวตายเพราะเกรงกลัวต่อความผิดทางอาญา”

ดังนั้นจึงไม่มีหลักฐานหลงเหลือไว้หรือ แต่ทุกวันนี้หากองค์จักรพรรดิต้องการปลิดชีพใครสักคนจริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐาน เพราะทุกๆ คนมีอิสรภาพที่จะให้การเป็นพยาน…หรือจะเป็นเรื่องแบ่งพรรคแบ่งพวก…หรือจักรพรรดิอาจคิดหาวิธีอื่นแทน…เอ่อ ข้าไม่เข้าใจเรื่องของศาล ที่ผ่านมาข้าไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว ฉะนั้นข้าต้องตามหาข้าราชการผู้มีประสบการณ์สักคนเพื่อหาคำตอบ…

ดังนั้นสวี่ชีอันจึงเริ่มซักถาม ทว่าฉู่ไฉ่เวยกลับไม่สนใจเรื่องของศาลและไม่ได้ให้ข้อมูลที่มีประโยชน์แก่เขา

“โธ่เอ๋ย เจ้าช่างน่ารำคาญ สำนักโหราจารย์ของพวกเราให้ศาลไต่ถามได้เท่านั้น” เมื่อถูกซักถามอย่างร้อนใจ ทำให้คิ้วของนางขมวดกันจนมีรูปทรงกลับหัวและมีท่าทีไม่พอใจ เปรียบเสมือนข้าทำลายความเชื่อมั่นในตัวของนาง…สวี่ชีอันจึงไม่ถามอะไรต่อ

“ทั้งหมดบนโต๊ะนี้เท่าไร” เป็นช่วงเวลาทานอาหารที่แสนวิเศษสำหรับสวี่ชีอัน

หลังจากดื่มและรับประทานอาหารเสร็จ ฉู่ไฉ่เวยยกนิ้วของนางขึ้นมาคำนวณอยู่นาน เพราะไม่มีอะไรให้กล่าวต่อ

“หืม?” สวี่ชีอันเงยหน้าขึ้น

“ข้าจ่ายค่าอาหารไปสี่ตำลึง เจ้าต้องคืนให้ข้าเป็นเงิน หนึ่ง สอง สาม หกสิบเหรียญทองแดง” ฉู่ไฉ่เวยกล่าวด้วยความกังวลใจ “เช่นนั้น จริงๆ แล้วข้าใช้เงินไปเท่าไรหรือ”

หน้าของนางตอนขมวดคิ้วช่างดูมีเสน่ห์ยิ่งนัก นั่นทำให้สวี่ชีอันนึกถึงรูปลักษณ์ของเด็กผู้หญิงอายุเจ็ดขวบที่กำลังแก้โจทย์คณิตศาสตร์อยู่

“…” สวี่ชีอันพึมพำ “ข้าไม่รู้”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง