ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 311

บทที่ 311 ข้อมูลแลกยา

เวลากลางคืน แสงดวงดาวและดวงจันทร์ส่องสลัว ปกคลุมไปด้วยเมฆหมอก

จงหลีที่อยู่บนหลังของสวี่ชีอันมองเห็นเมืองหลวงได้จากมุมสูง เมืองนี้เป็นเมืองใหญ่ที่สุดในใต้หล้าแสนสงบเงียบในความมืด

มีการจุดไฟยกระดับทุกๆ ยี่สิบขั้นบนทางม้าของกำแพงเมืองเพื่อให้แสงสว่าง ควบคู่ไปกับแสงเทียนในพระราชวัง เมืองจักรพรรดิ เมืองชั้นใน และที่อื่นๆ ก็สว่างไสวทีเดียว

“ช่างสวยจริงๆ” จงหลีที่นอนอยู่บนหลังของเขาพึมพำ

“เจ้าไม่เคยเห็นแท่นแปดทิศของสำนักโหราจารย์ในยามค่ำคืนแบบนี้หรืออย่างไร?” สวี่ชีอันหัวเราะ

“ข้าไม่เคยคิดเลยว่ามันจะสวยขนาดนี้ เจ้าดูท้องฟ้ายามค่ำคืนสิ ปกติเวลานี้เราได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปที่แท่นแปดทิศที่ไหน ยกเว้นไฉ่เวย” จงหลีนึกเสียใจ

“เหตุใดไฉ่เวยถึงได้รับยกเว่นเล่า” สวี่ชีอันรู้สึกประหลาดใจ

“อาจเป็นเพราะนางอายุน้อยที่สุดและรู้ทันน้อยที่สุดกระมัง อาจารย์จึงชอบนางมากกว่า” จงหลีเอ่ยอย่างคาดเดา

เจ้ากำลังพูดไม่ดีเกี่ยวกับไฉ่เวยงั้นเหรอ? ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะเป็นจงหลีที่ไม่ดีเช่นนี้

เอ๊ะ แต่ด้วยบุคลิกของศิษย์พี่ห้าผู้โชคร้าย คงจะพูดความจริงสินะ…ดูเหมือนว่าเรื่องที่ไฉ่เวยไม่ทันคนนั้นสำนักโหราจารย์ก็ทราบดี

หลังคิดในใจ สวี่ชีอันจึงเปลี่ยนเรื่องพร้อมกับกระซิบ “ข้าได้เห็นเมืองในฝันด้วยล่ะ ทุกคืนจะมีการจุดตะเกียงที่ข้างถนน คดเคี้ยวไปทุกมุมเมืองเลย ในความฝันข้าเห็นเมืองที่เต็มไปด้วยอาคารสูงตระหง่านอย่างหอดูดาวซึ่งเปล่งแสงสีต่างๆ แล้วยังเห็นเมืองในฝันที่มีรถม้าส่องสว่างไปตามถนน ทั้งเมืองส่องสว่างพร่างพราวและแสงเทียนก็คงอยู่ตลอดทั้งคืนจนถึงรุ่งสาง”

จงหลีตกตะลึงเล็กน้อยพลางบ่น “นั่นคงจะเป็นแดนสวรรค์แล้วล่ะ”

สวี่ชีอันไม่ตอบ แต่ยิ้มด้วยความคิดถึง ทว่าภายใต้รอยยิ้มของเขากลับมีความคิดถึงระคนความเศร้า

กระบี่บินและนกกระเรียนกระดาษไม่ได้ลงจอดในทันที แต่ลอยอยู่กลางอากาศของเมืองชั้นนอกครู่หนึ่งราวกับเคาะประตู ทำให้โหรแห่งสำนักโหราจารย์หรือยอดฝีมือของเมืองหลวงมีโอกาสตอบโต้

เพื่อให้พวกเขารู้ว่าผู้มาเยือนไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นตัวเขาเอง

หากรีบขึ้นบกโดยไม่ทักทายก่อน ยอดฝีมือของเมืองหลวงคงจะลงมือจัดการเขาเป็นแน่

กระบี่บินและนกกระเรียนกระดาษลงจอดในตรอกอันเงียบสงบซึ่งอยู่ไม่ไกลจากประตูเมือง ทุกคนกล่าวคำอำลาลี่น่าซึ่งอยู่ในอาการนิทราที่มีนักบวชเต๋าจินเหลียนเป็นผู้ดูแลชั่วคราว ถึงอย่างไรนักบวชเต๋าจินเหลียนเป็นถึงผู้นำแห่งพรรคฟ้าดิน

เขาควรแบกรับความรับผิดชอบนี้ไว้

สวี่ชีอันแบกจงหลีไปที่ทหารยามตรงประตูเมือง ที่นั่นมีม้าพันธุ์ดีรูปร่างงดงามถูกผูกเอาไว้อยู่

เมื่อคืนวานนี้ เขาออกไปนอกเมืองพร้อมกับนักบวชเต๋าจินเหลียนและคนอื่นๆ พร้อมทั้งแม่ม้าน้อย จากนั้นก็มอบมันให้กับทหารยามของกองดาบที่ลาดตระเวนอยู่ระหว่างทาง ให้พวกเขาช่วยฝากมันไว้ที่ประตูเมืองโดยมีทหารรักษาเมืองคอยดูแล

“แม่ม้าน้อย เจ้าของตัวจริงของเจ้ากลับมาแล้ว”

สวี่ชีอันแตะที่คอของตัวเมียตัวน้อย พลางปลดบังเหียนแล้วขี่กลับไปที่เมืองชั้นในพร้อมกับจงหลี

จากประตูเมืองชั้นนอกไปจนถึงเมืองชั้นในของจวนสกุลสวี่ หากเดินทางเท้ากว่าจะถึงคงปาไปเที่ยงคืน แต่ดีที่เขาขี่ม้าจึงทดเวลาได้มากทีเดียว สวี่ชีอันอดนึกภูมิใจที่ตนเองมีวิสัยทัศน์อันกว้างไกลไม่ได้

เขาใช้ฆ้องเงินของตัวเองเพื่อเปิดประตูเมืองชั้นใน เมื่อกลับไปถึงจวนสกุลสวี่ก็จวนมืดค่ำแล้ว จงหลีชำระกายเพียงไม่นาน ก็ใช้ไม้ที่สวี่ชีอันมอบให้ดามกระดูกของตนเอง

“ขอโทษจริงๆ ทั้งหมดเป็นความผิดของข้า เดิมทีเจ้าไม่ควรจะมาเผชิญกับความเจ็บปวดนี้แท้ๆ” สวี่ชีอันกล่าวด้วยความรู้สึกผิด

“พรุ่งนี้พาข้ากลับไปที่สำนักโหราจารย์ที ท่านอาจารย์คงสามารถรักษาอาการบาดเจ็บที่ขาของข้าได้”

จงหลีก้มศีรษะลงลูบไล้ขาของตนเอง เอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา “ข้าใช้โชคชะตาของท่านเพื่อหลีกเลี่ยงความโชคร้าย เป็นธรรมดาที่ต้องตอบแทน จากคำพูดของท่าน นี่คือการแลกเปลี่ยนอันเทียบเท่า กฎการเล่นแร่แปรธาตุย่อมไม่เปลี่ยนแปลง”

“ศิษย์พี่จงช่างมีเหตุผลมาก น่าประทับใจจริงๆ …อืม เจ้าคงง่วงนอนแล้วใช่หรือไม่”

จงหลีส่ายหัว

‘ตุบ!’ สวี่ชีอันวางหนังสือเปล่าไว้ตรงหน้าอีกฝ่ายพลางเอ่ย “ถ้าไม่ง่วงก็ช่วยข้าเขียนหนังสือทีสิ ข้าแบกเจ้าจากเซียงโจวกลับมายังเมืองหลวง เหนื่อยมากนะ การแลกเปลี่ยนอันเทียบเท่า กฎการเล่นแร่แปรธาตุย่อมไม่เปลี่ยนแปลง”

จงหลีตกตะลึง

ในขณะที่สวี่ชีอันเทน้ำและน้ำหมึกก็พูดเร่งเร้าไปด้วย “เร็วเข้า ข้าสัญญากับองค์หญิงไว้ว่าจะส่งรายงานให้นาง ข้ามีนกพิราบ เพียงวันเดียวก็ส่งถึงนางแล้ว”

“อื้อ…”

จงหลีตอบรับอย่างอ่อนแรง จากนั้นจึงเดินไปที่โต๊ะและนั่งลง ยืดเอวให้เหยียดตรง พร้อมกับหยิบพู่กันที่สวี่ชีอันส่งให้

วันรุ่งขึ้นสวี่ชีอันแต่งตัวเรียบร้อย ผูกฆ้องทองแดง แขวนดาบ ส่งจงหลีกลับไปที่บ้านเดิมของนาง

ขณะมองดูจงหลีเข้าไปยังหอดูดาว สวี่ชีอันก็ได้ยินเสียงสวดมนต์อันยาวเหยียดดังมาจากด้านหลัง

“ที่ปลายทะเล ท้องฟ้าคือชายฝั่ง ศิลปะคือจุดสูงสุดของข้า”

ศิษย์พี่หยางเปลี่ยนมนต์แล้วเหรอ? ไม่สิ เจ้าพูดแบบนี้ภายใต้หอดูดาวแห่งนี้ คิดถึงความรู้สึกของท่านโหราจารย์บ้างหรือไม่? สวี่ชีอันยกยิ้มอย่างอบอุ่น หันกลับมาและพูดว่า

“พี่หยาง ตามหาข้ามีเรื่องอะไรหรือ?”

“เมื่อคืนดูเหมือนเจ้ามีปัญหาบางอย่าง ต้องการความช่วยเหลือจากข้าใช่หรือไม่” หยางเชียนฮ่วนเอ่ยเสียงเบาหวิว

สวี่ชีอันรู้สึกเย็นวาบที่หลัง พลางหรี่ตาและจ้องไปที่แผ่นหลังของหยางเชียนฮ่วน

ที่เขาพูดหมายความว่าอย่างไร เขาหมายถึงโชคชะตาที่ข้าฉกฉวยมาได้จากสุสานโบราณเมื่อวานหรือเปล่า เป็นไปไม่ได้ หยางเชียนฮ่วนจะมองเห็นโชคชะตาอันแปลกประหลาดของข้าได้อย่างไร

ขณะที่เขาตกใจ หยางเชียนฮ่วนก็ยืนมือพาดไปข้างหลังและพูดว่า Wข้าเพียงอยากช่วยอาจารย์ส่งข่าวก็เท่านั้น บอกข้าทีเถอะว่าท่านคิดอย่างไร หากข้าจะเป็นคนตอบกลับเอง”

ความคิดของข้าคือการเอาชนะเจ้าอย่างไรเล่า!

ปากของสวี่ชีอันกระตุก

ไม่แปลกใจเลยที่คืนวานนี้เมื่อข้ากลับมาที่เมืองหลวง ท่านโหราจารย์ถึงเห็นความผิดปกติของข้าบนแท่นแปดทิศ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าโหรระดับหนึ่งที่ปีนขึ้นไปที่สูงเพื่อชมทัศนียภาพ จนตอนนี้ก็ยังไม่สามารถหาตัวเจอ ท่านโหราจารย์ขอให้พี่หยางมาพูดกับข้า แสดงว่าความลับของสวรรค์ที่เขาคอยปกป้องข้าคงจะไม่ได้ผลแล้วสินะ เป็นเพราะโชคชะตาที่ได้รับมาเมื่อวานหรือ ถ้าเป็นอย่างนั้นข้าคงขอปฏิเสธ คนชั่วที่ได้รับการอภัยกลับไปยังแดนประจิมแล้ว มีเหตุผลอะไรที่ข้ายังต้องทนรับกฎสี่ร้อยสี่ข้ออยู่อีก ช่วงนี้ทุกครั้งที่ข้าไปหอคณิกา ในใจแสนเจ็บปวดนัก ชีวิตที่ปราศจากการมัวเมาสตรีช่างไร้ความหมายสิ้นดี

เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ สวี่ชีอันจึงตอบคำถามของเขาเอง “ไม่จำเป็นหรอก ฝากขอบคุณท่านโหราจารย์แทนข้าด้วย”

แม่ม้าน้อยวิ่งกุกกักจากไป

ระหว่างเดินทางไปที่ทำการปกครอง ขณะที่สวี่ชีอันที่อาบแสงแดดยามเช้า ทันใดนั้นก็พบว่ารถม้าที่อยู่ข้างหน้าเขาเกิดควบคุมไม่ได้

คนขับรถม้าพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะดึงบังเหียนเพื่อหยุดรถ แต่กลับไม่สามารถหยุดม้าได้

รถม้าวิ่งออกจากการควบคุมพุ่งเข้าชนกับเด็กข้างถนน ซึ่งนั่งยองๆ อยู่ข้างถนนเพื่อเล่นไปตามประสา ถัดจากเขาคือมารดาที่กำลังเลือกซื้อเครื่องประดับราคาถูกจากแผงขายของ

ความชุลมุนประดังประเดขึ้น ทว่ากลับไม่มีใครไหวติง ในขณะที่มารดาของเด็กชายได้ยินเสียงอุทานของผู้คนที่เดินขวักไขว่พลันหันศีรษะไปตามต้นเสียง เมื่อพบว่ารถม้ากำลังมุ่งหน้าตรงไปหาลูกชายของตน จึงกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจทันที

ขณะเดียวกันชายหนุ่มในเครื่องแบบหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นราวกับวิญญาณ พลางวางมือบนหน้าผากของม้า

‘ชู่ๆ…’

ม้าแผดเสียงร้องคำรามพลางคุกเข่าลงที่กีบหน้า ในขณะที่ชายหนุ่มหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลนั้นยังคงนิ่งอยู่

“ขอบคุณใต้เท้าที่ช่วยเหลือ ขอบคุณใต้เท้าที่ช่วยเหลือ”

มารดายังคงสวมกอดลูกชายของตน ร้องห่มร้องไห้ด้วยความดีใจพร้อมกับโค้งคำนับเพื่อขอบคุณเขาอย่างไม่ลดละ

คนเดินถนนที่เห็นฉากนี้ส่งเสียงปรบมือดังลั่น

“นี่ใช่ท่านใต้เท้าสวี่หรือไม่ นี่ไม่ใช่วีรบุรุษของเราชาวต้าฟ่งหรอกหรือ”

มีคนจำเขาได้และตะโกนด้วยความประหลาดใจ

เมื่อได้ยินเช่นนี้ คนเดินผ่านไปมาซึ่งเฝ้าดูการต่อสู้และจำสวี่ชีอันได้จึงตะโกนขึ้น “ใช่แล้ว ท่านผู้นี้คือใต้เท้าสวี่ เป็นใต้เท้าสวี่ไม่ผิดแน่”

ชั่วครู่จากคนแปลกหน้าที่ไม่เคยเห็นพิธีต้าวฮวด พลันรู้ได้ทันทีว่าพ่อฆ้องเงินรูปหล่อที่ช่วยเด็กไว้นั้นเป็นคนเดียวกับวีรบุรุษผู้ดึงดูดความสนใจในพิธีต้าวฮวดเพื่อปราบปรามความเย่อหยิ่งของสำนักพุทธ

ปรากฏว่าข้าโด่งดังและเป็นที่รักของชาวเมืองหลวงไปแล้วหรือนี่…สวี่ชีอันถอนหายใจพลางแม่ม้าน้อยของเขาจากไป

เสียงตะโกนไล่หลังดังขึ้น “ใต้เท้าสวี่” เสียงนั้นมาจากระยะไกลและเอ่ยซ้ำๆ

“นี่เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย มีคำกล่าวที่ว่าต่อให้แกล้งทำเป็นไร้ความสามารถเพียงใด การกระทำอันยิ่งใหญ่ย่อมไม่มีอะไรมากไปกว่าเรื่องบังเอิญ…” สวี่ชีอันเอ่ยบทกวี

แต่ต่อมาเขาก็เผชิญกับอีกเหตุการณ์หนึ่งซึ่งเกี่ยวข้องกับเด็กหลงทาง เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กเจอพวกเร่ค้ามนุษย์ เขาจึงรอครอบครัวของเด็กคนนั้นหาตัวบุตรให้พบ ทำให้ได้รับคำขอบคุณและคำชื่นชมมากมายจากผู้คนที่เดินผ่านไปมา

ยายแก่หกล้มขณะเดินข้ามถนน เหตุการณ์ที่ไม่มีผู้ใดสนใจ ในฐานะที่สวี่ชีอันเป็นเยาวชนดีห้าประการ เป็นเรื่องปกติที่จะต้องรับผิดชอบเมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ซึ่งเขาก็ได้รับคำขอบคุณจากยายแก่และคำชมจากคนที่เดินผ่านไปมาอย่างต่อเนื่อง

จากนั้นสวี่ชีอันก็ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ “เหตุใดไม่ว่าข้าจะไปที่ใด ก็ถูกบังคับให้ทำดีในทุกที่ที่ไป ช่างไร้เหตุผลเสียจริง หลังจากช่วยยายแก่ข้ามถนนแล้ว ยังต้องช่วยคุณหนูชิวเจียเอาชนะหลี่ฟู่อยู่อีกหรือไม่”

ความคิดหนึ่งฉายวาบขึ้น ทันใดนั้นสายตาก็เหลือบไปเห็นหญิงสาวผมยุ่งคนหนึ่งวิ่งออกมาจากถนนพลางร้องไห้สะอึกสะอื้น

ที่ด้านหลังมีชายคนหนึ่งวิ่งไล่ตามวาดมือขึ้นตั้งท่าจะตี ด่าทออย่างโกรธกริ้ว

“ข้าจะตีเจ้าให้ตาย นังผู้หญิงไร้ยางอาย จะตีเจ้าให้ตายนังผู้หญิงไร้ยางอาย ข้าจะเขียนจดหมายหย่า…”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง