บทที่ 312 สวี่ฉือจิ้วเขียนบทกวีเป็นงั้นหรือ? เฮอะ!
“ข้าไม่สนใจเรื่องของเขาสักนิด”
ลั่วอวี้เหิงขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดอย่างไม่พอใจ “ท่านไม่จำเป็นต้องใช้เขาเพื่อกระตุ้นความสนใจของข้าหรอก ข้าจะบำเพ็ญคู่กับใคร ข้าจะเป็นผู้ตัดสินใจเอง คงไม่รบกวนให้ศิษย์พี่ต้องเป็นกังวล”
‘นางดูเหมือนไม่ชอบใจเช่นนี้ แสดงว่าไม่เห็นด้วยกับการถูกผู้อาวุโสบังคับให้แต่งงาน…’
เพียงมองดูครู่หนึ่งจากนั้นก็ลดระดับสายตาลง
“ดูเหมือนศิษย์น้องจะไม่ได้นึกรังเกียจสวี่ชีอันเท่าไร หรืออย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ทำให้เจ้ารู้สึกเกลียด ถึงอย่างไรข้าก็รู้ว่าเจ้าก็ไม่ได้ชอบพอจักรพรรดิหยวนจิ่งมากนักหรอก”
“ไม่มีผู้หญิงคนไหนชอบผู้ชายที่ขอพรให้ได้บำเพ็ญคู่กับตัวเองตลอดทั้งวันหรอก” ลั่วอวี้เหิงกล่าวเบาๆ
‘ท้ายที่สุดสวี่ชีอันก็เป็นคนแบบนี้เช่นกัน…’
แมวส้มบูดบึ้งในใจ ใบหน้าของมันนิ่งเหมือนแมวแก่ จากนั้นจึงหัวเราะ
“ไม่มีใครตัดสินใจแทนศิษย์น้องได้ว่าจะให้เจ้าบำเพ็ญคู่กับใคร อย่างไรก็ตามการเกี่ยวดองระหว่างสองสหายแห่งลัทธิเต๋านั้นไม่ใช่เรื่องเล็กๆ จำเป็นที่จะต้องตัดสินใจให้ถี่ถ้วน ดังนั้นเจ้าจงสังเกตด้วยตัวเองให้มากเข้าไว้ ข้ามีข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับสวี่ชีอันที่อาจเป็นประโยชน์กับเจ้านะ”
ความคิดของลั่วอวี้เหิงเปลี่ยนไปทันตา นางพยักหน้าและพูดว่า “ศิษย์พี่ได้โปรดบอกกล่าว”
“อันที่จริงข้อมูลนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องเพียงสวี่ชีอันเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับความลับของนิกายมนุษย์ด้วย” หลังจากนักบวชเต๋าจินเหลียนกล่าวจบ ไม่นานก็เอ่ยต่อ
“หมายเลขห้าเป็นเด็กหญิงตัวน้อยจากเผ่าพันธุ์กู่ เรื่องนี้เจ้าควรรู้ เมื่อก่อนนางออกจากชายแดนใต้ มายังต้าฟ่งเพื่อบำเพ็ญ…”
กรงเล็บของแมวส้มขยับ ระงับสัญชาตญาณไว้ด้วยความมุ่งมั่นอันแรงกล้าแล้วเอ่ยต่อ “แต่เมื่อใกล้ถึงเซียงโจว นางกลับขาดการติดต่อ คืนวันก่อนข้าเรียกประชุมหมายเลขสาม หมายเลขสี่ และหมายเลขหก เพื่อไปหานางด้วยกัน หลังจากการสำรวจอยู่หลายครั้ง นางกลับถูกพบในหลุมฝังศพขนาดใหญ่ที่ด้านล่างของภูเขานอกเซียงโจว เจ้าของหลุมศพนั่นเป็นผู้อาวุโสของนิกายมนุษย์ เมื่อพิจารณาดูจากข้อมูลที่บันทึกไว้ข้างจิตรกรรมฝาผนัง เขาเกิดในยุคที่ทายาทของเทพและอสูรตื่นตัว เพื่อพลิกผันโชคชะตาจึงสังหารจักรพรรดิและแย่งชิงบัลลังก์”
‘แย่งชิงบัลลังก์…’
นางขมวดคิ้ว “เขาเป็นเซียนขั้นที่สองเฉกเช่นเดียวกันงั้นหรือ”
แมวส้มส่ายหัวพร้อมกล่าว “ตอนแรกข้าก็คิดอย่างนั้น ต่อมาเขาฝ่าทัณฑ์ไม่สำเร็จและได้เสียชีวิตลง หลุมฝังศพขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นใต้พื้นดิน ในภายหลังมันจึงถูกสร้างเอาไว้เพื่อเขา” ลั่วอวี้เหิงรินชาหนึ่งแก้วแล้วดันไปด้านหน้าแมวส้ม
แมวส้มก้มหัวแลบลิ้นสีชมพูออกมาเลีย ‘แผล่บๆ’ หลังจากจิบชาไปสองสามจิบก็พูดอย่างใส่อารมณ์ “ลิ้นของแมวนั้นแตกต่างจากของมนุษย์มากจริงๆ ชารสชาติจืดชืด เสียของ เสียของยิ่งนัก”
จากนั้นก็ตัดกลับเข้าหัวข้อสนทนาแล้วพูดอย่างเคร่งขรึม “ปัญหาอยู่ที่ตรงนี้ เซียนเต๋าฝ่าทัณฑ์ไม่สำเร็จก็จริง แต่ร่างกายของเขากลับไม่ถูกทำลาย และกำลังหลับใหลอยู่ในสุสานใต้ดิน หลังจากเราเข้าไปที่สุสานโบราณ เราก็ปลุกให้เขาตื่นขึ้น”
‘ผู้เฒ่าแห่งยุทธภพเช่นข้า นักบวชเต๋าจินเหลียนคนนี้จะเพิกเฉยต่อรายละเอียดที่สวี่ชีอันค้นพบได้อย่างไร? ทั้งรอยไหม้เกรียมบนศพ เช่นเดียวกับความแข็งแกร่งของเนื้อหนัง…’
นักบวชเต๋าจินเหลียนทราบดีว่าจุดที่ซากศพถูกฝังอยู่นั้นคือเซียนเต๋า ส่วนเหรียญเงินเก่าแก่เขาแค่แสร้งทำเป็นไม่รู้
“นี่เป็นไปไม่ได้!” ใบหน้าของลั่วอวี้เหิงแข็งกร้าว
ทัณฑ์สวรรค์ย่อมทำลายทุกสิ่ง หากเซียนเต๋าระดับสองไม่สามารถเอาชนะการฝ่าทัณฑ์ได้สำเร็จ วิญญาณเดิมจะถูกทำลายไปพร้อมกับร่างกายโดยไม่มีอะไรเหลือทิ้งไว้เบื้องหลัง
นี่เป็นกรณีของผู้นำเต๋านิกายมนุษย์รุ่นก่อน
“ตอนแรกข้าก็รู้สึกประหลาดใจ แต่สิ่งนี้มันได้เกิดแล้ว” แมวสีส้มกล่าว
อันที่จริงเขาปกปิดเรื่องหนึ่งกับสมาชิกของพรรคฟ้าดิน ผู้นำเต๋านิกายปฐพีไม่ได้ล้มเหลวในการฝ่าทัณฑ์จนตกสู่ทางมาร แต่เพื่อจัดการกับภัยพิบัตินั้นต่างหาก เขาถึงได้ใช้เส้นทางคดเคี้ยวจนบังเอิญตกสู่ทางมาร
หากล้มเหลวในการฝ่าทัณฑ์ ผู้นำเต๋านิกายปฐพีคงกลายเป็นเถ้าถ่าน ไม่คงอยู่สภาพเช่นนี้
“หลังจากที่ร่างศพนั้นปรากฏตัว เขากลับจำผิดคิดว่าสวี่ชีอันเป็นนายท่าน จึงเสนอตราประทับหยกของจักรพรรดิที่ตนปกป้องมาหลายปี…”
“ช้าก่อน!” ลั่วอวี้เหิงยกมือขึ้นนวดคิ้วอันละเอียดอ่อนที่ขมวดเป็นปม “ท่านจะบอกว่า เขาเรียกสวี่ชีอันว่านายท่านอย่างนั้นหรือ”
นักบวชเต๋าจินเหลียนพยักหน้ายืนยัน
หญิงสาวแสนงดงามตะลึงงัน ยามนี้ลั่วอวี้เหิงเผยท่าทีราวกับเป็นเทพธิดาผู้เย็นชาและเงียบขรึม เวลาล่วงเลยผ่านกว่าสิบวินาทีในการวิเคราะห์ข้อมูลเรื่องราวอันใหญ่โตที่อยู่ในประโยคนี้ แล้วพูดขึ้นช้าๆ
“ท่านบอกว่าซากศพคือเซียนเต๋าผู้นั้น แต่กลับเรียกสวี่ชีอันว่านายท่าน เช่นนั้นใครคือนายท่านของเขา แล้วเหตุใดเขาถึงเข้าใจผิดว่าสวี่ชีอันเป็นนายท่านของตนเองไปได้?”
ดวงตาคู่สวยของราชครูจ้องมองไปที่นักบวชเต๋าจินเหลียนไม่กะพริบ การแสดงออกของนางดูจดจ่อเป็นอย่างมาก ต่างจากเมื่อครู่ที่ยับยั้งท่าทีสงบเงียบ
แน่นอนว่านางคงใส่ใจเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้มาก หรือไม่ก็อาจพบเบาะแสบางอย่างจากสิ่งเหล่านี้
นักบวชเต๋าจินเหลียนวิเคราะห์ “ข้าคาดเดาว่าซากศพนั่นคงเป็นเพียงร่างที่ไม่ใช้แล้ว เซียนเต๋าตัวจริงอาจแยกออกจากร่างนั้นแล้วสร้างร่างใหม่ก็เป็นได้”
นี่ต้องเป็นจุดเริ่มต้นของหลักขั้นตอนการปฏิบัติลัทธิเต๋าแน่
เซียนเต๋าขั้นที่สาม เทพเจ้าหยาง!
เทพเจ้าหยางเรียกอีกอย่างว่าลัทธิเต๋า ‘ธรรมกาย’ ซึ่งถือเป็นต้นแบบของหลักธรรม
สามนิกายแห่งสวรรค์และโลก ผู้คนมีเส้นทางแตกต่างกันแต่ประกอบด้วยแก่นกลางที่เหมือนกัน ขั้นตอนการปฏิบัติโดยสรุปคือปลูกฝังเทพเจ้าหยินก่อน แล้วจึงกลั่นแก่นปราณ การผสมผสานระหว่างเทพเจ้าหยินและแก่นปราณ จะทำให้เกิดการรวมปราณ หลังจากที่การรวมปราณเติบใหญ่ขึ้นก็จะกลายเป็นเทพเจ้าหยาง ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของเทพเจ้าหยางคือหลักธรรม
ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าเทพเจ้าหยางเป็นรูปแบบพื้นฐานของหลักธรรม หรือเรียกอีกอย่างว่ารากฐานแห่งหลักธรรม
เมื่อลัทธิเต๋าเผยแพร่มาถึง เทพเจ้าหยางก็คงบรรลุขั้นสามเข้าไปแล้ว เป็นไปได้ที่จะปลดพันธนาการของร่างกายในขั้นต้น ทำให้เทพเจ้าหยางสามารถท่องไปทั่วสวรรค์และโลกได้อย่างอิสระ
แม้ว่าร่างกายจะถูกทำลาย แต่ใช้เพียงแค่สิ่งตอบแทนบางอย่างก็สามารถปรับรูปกายได้แล้ว
ทว่าไม่ได้หมายความว่าร่างกายไม่สำคัญ กลับตรงกันข้าม ร่างกายถือเป็นกุญแจสำคัญในการก้าวเข้าสู่การเป็นเซียนขั้นหนึ่ง
การเปลี่ยนแปลงต่อไปของเทพเจ้าหยางคือหลักธรรม ขั้นนี้หลักธรรมต้องหลอมรวมกับร่างกายแล้วรวมกันขึ้นใหม่ จากนั้นต้องฝ่าทัณฑ์เพื่อทำให้ข้ามการเปลี่ยนแปลงโดยสมบูรณ์
แล้วเซียนปฐพีก็จะถือกำเนิดขึ้น
“เนื่องจากเขาสามารถละทิ้งการเข่นฆ่าได้ก็หมายความว่าเซียนเต๋าไม่ใช่เซียนปฐพีขั้นหนึ่ง แล้วแบบนี้เขาหลบหนีหลังจากพ่ายแพ้ต่อภัยพิบัติไปได้อย่างไรกัน” ลั่วอวี้เหิงขมวดคิ้ว
“มันจึงเป็นเพียงการคาดเดา ดูเหมือนว่าศิษย์น้องก็คงไม่ทราบสาเหตุเช่นกัน” เจ้าแมวส้มส่ายหัวอย่างเสียใจ
“หากข้ารู้เหตุผล ท่านพ่อของข้าก็คงไม่ถูกทัณฑ์แห่งสวรรค์ทำลายจนสิ้นหรอก” ริมฝีปากอันน้อยนิดของลั่วอวี้เหิงสั่นเครือ
“ก็มีเหตุผล” แมวสีส้มพยักหน้าแสดงรอยยิ้มอย่างมีมนุษยธรรม
“มาพูดถึงข้อมูลชิ้นต่อไปกัน หลังจากที่เซียนเต๋าล้มเหลวในการเอาชีวิตรอดจากการฝ่าทัณฑ์ เขาได้สร้างสุสานขนาดใหญ่สำหรับตัวเองและสั่งให้มือสังหารปกป้องตราประทับหยกของอาณาจักร ซึ่งในนั้นมีโชคชะตาที่เขาเก็บมาได้
“เซียนเต๋าบอกซากศพว่าเขาจะกลับมารับตราหยกในภายภาคหน้า แต่ร่างศพกลับเข้าใจผิดว่าสวี่ชีอันเป็นเซียนเต๋าผู้นั้น จึงพร้อมใจมอบตราหยกด้วยมือทั้งสอง เจ้าคิดว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น”
หัวใจของลั่วอวี้เหิงเต้นดัง ‘ตึกตัก’ หลังจากที่เต้นกระเพื่อมรุนแรงสองสามครั้ง ดวงตาคู่สวยเป็นประกาย พลางเอ่ยถามกลับ “สวี่ชีอันได้รับตราหยกจักรพรรดิ? นี่เป็นข้อมูลที่ดีจริงๆ ศิษย์พี่ ข้อมูลของท่านมีประโยชน์มาก”
หากแลกตราราชลัญจกรหยกกับสวี่ชีอันมาได้ ด้วยความช่วยเหลือจากโชคชะตาที่หยิบยืมมา การก้าวเข้าสู่เซียนขั้นหนึ่งก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม นางคงไม่ต้องกังวลกับเรื่องผู้ชายงี่เง่าที่จะมาเป็นคู่บำเพ็ญ
เมื่อได้เลื่อนเป็นขั้นหนึ่ง ภายใต้โลกแห่งเสรีมีอายุขัยยาวนาน นางก็ไม่จำเป็นต้องเป็นราชครู ไม่ต้องสู้รบตบมือกับจักรพรรดิหยวนจิ่ง และไม่ต้องติดอยู่ในเมืองหลวงอีกต่อไป
ทันทีที่คิดถึงสิ่งนี้ อัตราการเต้นของหัวใจของลั่วอวี้เหิงก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทำเอาหายใจติดขัด
ตั้งแต่ก่อตั้งนิกายมนุษย์มา ในประวัติศาสตร์อันยาวนานมีผู้ไต่เต้าได้มากที่สุดเพียงขั้นที่สอง ขั้นแรกนั้นกลับหายากยิ่ง ทัณฑ์สวรรค์คงปิดกั้นผู้มีปัญญาไปไม่มากก็น้อย
“ตราหยกหายไปแล้ว” นักบวชเต๋าจินเหลียนกล่าวอย่างเสียดาย
การแสดงออกของลั่วอวี้เหิงแข็งทื่อขึ้นทันที การหายใจหยุดนิ่งพร้อมเอ่ยขึ้นอย่างรวดเร็ว “ตราหยกหายไปแล้ว? แล้วมันอยู่ที่ไหน ทิ้งไว้ในหลุมฝังศพไม่ได้นำออกมาด้วยหรือ? อยู่ที่ภูเขานอกเซียงเฉิงใช่หรือไม่ เช่นนั้นจงบอกตำแหน่งที่แน่นอนมา…”
ทันใดนั้นนางก็ลุกขึ้นเรียกกระบี่บินและนกกระเรียนกระดาษโดยให้พวกมันแขวนอยู่ข้างหลัง ขณะที่จะจากไป นางก็เหยียดมือไปขยุ้มแมวสีส้ม
ลั่วอวี้เหิงนั่งไม่ติดแล้ว
“ศิษย์น้อง”
นักบวชเต๋าจินเหลียนถูกอุ้มจนคอยื่น แขนขาทั้งสี่หย่อนคล้อย ทำท่าทางราวกับ ‘ต่อให้เจ้าเหวี่ยงข้าไปรอบๆ ข้าก็ขี้เกียจเกินกว่าจะขยับตัว’ พลางกล่าวว่า “ตราหยกไม่ได้อยู่ในหลุมฝังศพหรอก หากไปที่นั่นเจ้าก็ไม่มีทางหามันเจอ”
ลั่วอวี้เหิงหยุดชะงัก เบิกตาคู่สวยอย่างดุดัน “ตาเฒ่านี่ ไม่รู้จักพูดให้จบในทีเดียว บอกมาเสียโดยดีว่าตราหยกอยู่ที่ไหน”
นางโบกแขนเสื้อไปมา จับแมวสีส้มตีลังกาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ตราหยกถูกทำลายแล้ว…”
ก่อนที่ลั่วอวี้เหิงจะโมโห แมวส้มได้กล่าวเสริมว่า “โชคชะตาที่สะสมไว้ภายในทั้งหมดถูกสวี่ชีอันยึดเอาไว้”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ลั่วอวี้เหิงก็ตกตะลึงในทันที
หลังจากนั้นไม่นาน ลั่วอวี้เหิงก็กลับมานั่งลงบนฟูกอย่างเงียบๆ พร้อมกับนั่งไขว่ห้างและพึมพำ “โชคชะตาทั้งหมดถูกเขายึดไปแล้ว…”
“ถ้าก่อนหน้านี้เจ้าคิดว่าโชคชะตาของเขาไม่เพียงพอ แต่ในตอนนี้มันอาจจะช่วยให้เจ้าก้าวไปสู่ขั้นที่หนึ่งได้ แน่นอนว่ามันขึ้นอยู่กับเจ้าแล้วศิษย์น้องว่าจะเลือกใครหรือไม่เลือกใคร”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง