บทที่ 313 การฉ้อโกงการสอบขุนนางระดับเคอจวี่
“สวี่ฉือจิ้วสามารถเขียนบทกวีเหลวไหลเช่นนี้ ข้าสามารถเขียนอะไรก็ได้เพียงแค่สองสามประโยค ก็ทำให้เขาอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนีได้แล้ว ในวันนั้นถ้าหากไม่ใช่เพราะญาติผู้พี่ของสวี่ชีอันที่มอบบทกวีให้ จี้หยกของฆราวาสจื่อหยางชิ้นนั้นก็ควรจะเป็นของข้า”
จูทุ่ยจือนึกถึงงานฉลองเทศกาลในวันนั้น ก็ก่นด่าพึมพำ
“หรืออาจจะเป็นการฉ้อโกงการสอบขุนนางระดับเคอจวี่?” หลิวเจวี๋ยลองทดสอบหยั่งเชิง
“พูดจาเหลวไหล!” บัณฑิตสำนักอวิ๋นลู่เมื่อได้ยินสิ่งนี้ก็โกรธ และต่างพากันถลึงตาจ้องมองเขาทีละคน
การฉ้อโกงการสอบขุนนางระดับเคอจวี่…คำคำนี้ปรากฏขึ้นในหัวของจูทุ่ยจือราวกับว่าเข้าใจทุกข้อสงสัยได้ทะลุปรุโปร่งได้ในชั่วพริบตา คำอธิบายที่สมเหตุสมผลว่าทำไมสวี่ฉือจิ้วสามารถถ่ายทอดผลงานชิ้นเอกชิ้นนี้ออกมาได้ เหตุผลที่เป็น ‘ผู้สอบได้ที่หนึ่งในการสอบแข่งขันชิงตำแหน่งบัณฑิต’
จูทุ่ยจือส่ายหัวอย่างไม่รีรอ “เป็นไปไม่ได้ บทกวีไม่ใช่บทความ การรู้หัวข้อการสอบก่อนล่วงหน้าก็จะยิ่งทำให้มีเวลาเตรียมตัวได้เต็มที่ พี่หลิว ข้าให้ ‘วิวทิวทัศน์ในฤดูใบไม้ผลิ’ เป็นหัวข้อให้พี่ ให้เวลาพี่สามวัน พี่สามารถถ่ายทอดผลงานชิ้นเอกออกมาสักหนึ่งบทได้หรือไม่?”
หลิวเจวี๋ยส่ายหัว “ข้าน้อยรู้สึกอับอายยิ่งนัก ให้เวลาสามปีก็เกรงว่าจะไม่สามารถเขียนออกมาได้”
เขาจิบเหล้าเล็กน้อย แสดงรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความหมายลึกซึ้ง พลางพูดเสียงต่ำ “แต่ว่า พี่จูคิดดูสักหน่อย ถ้าคนที่เขียนบทกวีแทนเขา คือฆ้องเงินสวี่ชีอันล่ะ?”
บรรยากาศงานเลี้ยงเงียบลง ไม่ว่าจะบัณฑิตสำนักอวิ๋นลู่หรือบัณฑิตราชวิทยาลัยหลวง ก็ไม่มีใครโต้แย้งได้ในทันที และในหัวก็ยังคิดไตร่ตรองอย่างรอบคอบอยู่สักพัก
‘ใช่สิ ถ้าหากเป็นสวี่ซือขุยแล้วละก็ หากรู้หัวข้อการสอบล่วงหน้า ไม่ต้องถึงขั้นสามวันหรอก เกรงว่าเพียงวันเดียวก็สามารถเขียนออกมาได้แล้ว’
บทกวีอำลาและบทกวีสรรเสริญ เช่นเดียวกับบทนั้นในอวิ๋นโจว ‘พลีชีพ’ คำในครึ่งบทแรกที่โก่งคอร้องเสียงดังอย่างมีความสุขนั้นล้วนอยู่แนวหน้าของการสู้รบ
บัณฑิตสำนักอวิ๋นลู่ยิ่งคิดไปถึงผลงาน ‘กวีปลุกใจในการเรียน’ ที่ติดอยู่บนผนังแสดงผลงาน ความลับของสำนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ได้รั่วไหล สวี่หนิงเยี่ยนถอนหายใจสิบรอบกว่าจะกลายมาเป็นบทกวีได้ ความสามารถที่ทำให้คนทึ่ง รูปแบบสำนวนสละสลวย
“ฮึ เช่นนั้นฆ้องเงินสวี่ชีอันรู้หัวข้อการสอบได้อย่างไร?”
ถึงแม้ว่าในใจเขาจะคิดเช่นนั้น แต่ปากนั้นกลับไม่สามารถยอมรับได้ บัณฑิตสำนักอวิ๋นลู่ซักถาม
“ไม่รู้ๆ” หลิวเจวี๋ยกวัดแกว่งมือ และยิ้มพลางพูด “นี่เป็นเพียงคำพูดตอนเมา ข้าแค่คาดเดาสุ่มสี่สุ่มห้า แต่ว่าสวี่ชีอันนั่นเป็นฆ้องเงิน ข่าวลือแพร่สะพัดว่าคนคนนี้ได้รับความไว้วางใจจากเว่ยเยวียนอย่างมหาศาล…”
เขาไม่ได้พูดอะไรต่อ
มีเพลงสลับฉากนี้ บัณฑิตสำนักอวิ๋นลู่หมดอารมณ์ที่จะดื่ม หลังจากนั่งได้ครู่หนึ่ง พวกเขาก็ลุกขึ้นและกล่าวคำอำลา
หลิวเจวี๋ยที่ชำนาญด้านการสื่อสารได้ลงไปส่งจูทุ่ยจือด้วยตนเอง จากนั้นก็เริ่มทำการตรวจสอบด้วยตนเอง ทุกคนในร้านอาหารก็เริ่มสลายตัวออกไปนอกร้าน
หนึ่งชั่วก้านธูปต่อมา หลิวเจวี๋ยออกไปแล้วและกลับมาแล้ว พร้อมกลับเข้าไปในรถม้าคันหนึ่งที่จอดอยู่ด้านนอกภัตตาคาร
ในรถม้านั้นมีชายวัยกลางคนที่แต่งตัวเหมือนเศรษฐี นิ้วหัวแม่มือสวมใส่แหวนปานจื่อ ในมือนั้นยกเหอเถาอยู่ ส่วนอีกมือหนึ่งก็ยกแก้วชา
“ผู้คุมจ้าว!”
หลิวเจวี๋ยก้มตัวคำนับด้วยความเคารพ
ชายวัยกลางคนพยักหน้า วางแก้วชาลง เปิดแก้วชาใบเล็กที่คว่ำอยู่ให้หงายขึ้น แล้วรินน้ำชาพลางขมวดคิ้ว
“ทั้งเนื้อตัวเต็มไปด้วยกลิ่นสุรา ดื่มชากันเถอะ”
“ขอบคุณผู้คุมจ้าวยิ่งนัก” ในมือทั้งสองข้างของหลิวเจวี๋ยถือถ้วยชาใบเล็กไว้ พร้อมกับดื่มหมดในอึกเดียว แล้วค่อยๆพูด
“ไถ่ถามได้เรื่องบางส่วนแล้ว ตามที่บัณฑิตสำนักอวิ๋นลู่ว่า สวี่ฉือจิ้วแต่เดิมไม่สามารถเขียนบทกวีได้ มาตรฐานของเขาก็ดูเละเทะ บทกวี ‘การเดินทางอันยากลำบาก’ นั้นจากเก้าในสิบบทเป็นคนอื่นรับจ้างเขียนแทนทั้งนั้น แน่นอนว่าข้าเองก็ไม่มีหลักฐาน”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น ชายวัยกลางคนก็ยิ้มอย่างพอใจ พูดพลางยิ้มเยาะ “ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐาน เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว”
…
นอกเมือง ในบ้านนั้นปลูกต้นหลิวไว้
นักบวชเต๋าจินเหลียนที่เพิ่งกลืนยาบำรุงครรภ์ลงไป กำลังเคลิบเคลิ้มกับการอาบแสงอาทิตย์ในวันฤดูใบไม้ผลิ รู้สึกว่าร่างกายไม่ได้หนาวเย็น ไม่ได้กำลังจะแปรเปลี่ยนเป็นสารหยินอีกต่อไป ภายในร่างกายยังคงเหลือเศษเสี้ยวของพลังหยินอยู่ ต้องการแค่ยาบำรุงครรภ์หนึ่งเม็ดที่เหลือก็เพียงพอที่จะสามารถขจัดออกไปได้แล้ว
“ร่างเนื้อหนังนี้ไม่เข้ากับจิตวิญญาณเดิมของข้า จึงใช้ได้ไม่นานมากนัก โชคดีที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ให้ดอกบัวทองกำลังจะเติบโตเต็มที่ เมล็ดบัวสามารถที่จะประกอบเป็นร่างเนื้อหนังใหม่ให้ข้าได้ ข้าก็ควรที่จะออกจากเมืองจิงได้แล้ว”
‘หวังว่าเมื่อถึงเวลา จะไม่มีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นนะ’
นักบวชเต๋าจินเหลียนภาวนาในใจ
…
“ต้าหลาง เอ่อ…แม่นางคนนั้นดูเหมือนจะไม่ใช่บุคคลสำคัญของต้าฟ่ง”
ลูกชายของเหล่าจางผู้เฝ้ายามประตูใหญ่คิด พร้อมบรรยาย “แม่นางผิวดำขี้ริ้วขี้เหร่นางนี้ อีกทั้งยังมีนัยน์ตาสีฟ้า ผมเผ้าดูไม่ได้ ม้วนรุงรังไปหมด”
หมายเลขห้า?!
ให้ตายเถอะ นางมาบ้านข้าทำไม นักบวชเต๋าจินเหลียนให้นางมาหรือ? นางรู้หรือไม่เรื่องที่ข้าเป็นหมายเลขสาม?
นักบวชเต๋าจินเหลียนขอให้เขามาช่วยตามหาหมายเลขห้า ไม่ใช่หมายเลขสาม แต่ก็ยังคงสามารถใช้ ‘ยศขุนนางระดับสามที่แสนต่ำต้อย’ มาปกปิดความจริงได้อยู่
แต่ในขั้นยศของขุนนางรุ่นที่แล้ว ขั้นเก้าถึงขั้นเจ็ดก็ห่วยแตกกันทั้งหมด ถึงขั้นระดับกำเนิดปราชญ์ขั้นหกสามารถลอกเลียนแบบทักษะของคนอื่นๆ ได้ จึงสามารถมีกำลังรบที่เพียบพร้อมมากมายเลยทีเดียว
ในสายตาของฉู่หยวนเจิ่นและเหิงหย่วน แม้ว่าหมายเลขสามสวี่ฉือจิ้วจะฉลาดเป็นอย่างมาก แต่เมื่อถึงเวลาที่จำเป็นจริงๆ พลังต่อสู้อันกล้าหาญของญาติผู้พี่สวี่หนิงเยี่ยนก็ยังน่าเชื่อถือได้มากกว่า
ดูท่าวันนี้คงมีแต่จะต้องลางานแล้วล่ะ…สวี่ชีอันพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว รอหลังจากที่ข้าลางาน ข้าจะกลับไปที่จวนกับเจ้า”
หลังจากขอลางานแล้ว สวี่ชีอันก็ขึ้นนั่งบนหลังม้าและควบม้าวิ่งเหยาะๆ มุ่งหน้าไปยังจวนสกุลสวี่ พร้อมด้วยลูกชายของเหล่าจางผู้เฝ้าประตูใหญ่ที่ควบม้าวิ่งเหยาะๆ ควบคู่ไปด้วยอยู่ด้านข้าง
สองชั่วก้านธูปผ่านไป ก็เดินทางมาถึงจวนสกุลสวี่ที่อยู่ไม่ไกลจากศาลาว่าการ สวี่ชีอันนำเชือกบังเหียนม้าส่งให้เสี่ยวจาง แล้วมุ่งตรงเข้าไปในจวน
เมื่อเข้ามาจากลานด้านนอก ก็เห็นเหล่าแม่ครัวกำลังนำกับข้าวร้อนๆ และหมั่นโถว ข้าวสวยจานเล็กๆ เดินยกเข้าไปยังลานด้านใน
“ต้าหลางกลับมาแล้ว…” เหล่าแม่ครัวถอนหายใจด้วยความโล่งอก พูดพลางส่งสายตามองเข้าไปทางลานด้านใน
“มีหญิงสาวนางหนึ่งขึ้นมาที่จวน บอกว่ากำลังตามหาเจ้า ถามว่าเกี่ยวข้องอะไรกันกับเจ้า ตัวนางเองก็อธิบายได้ไม่ชัดเจน เอาแต่พูดพึมพำ ไม่มีสาระ ในสิบประโยคฟังไม่ชัดไปแล้วเก้าประโยค”
ในสิบประโยคฟังไม่ชัดไปแล้วเก้าประโยค ซินเจียงตอนใต้ของหมายเลขห้า สำเนียงค่อนข้างหนักแน่นน่ะ…สวี่ชีอันพูดแขวะแล้วเดินเข้าไปในลานข้างในพร้อมกับแม่ครัว ได้ยินเสียงอ่อนโยนของสวี่หลิงเยวี่ยดังไกลๆ มาจากในห้องโถง
“แม่นางลี่น่าเดินทางจากซินเจียงตอนใต้อันไกลถึงที่นี่ มาหาพี่ใหญ่ของข้าด้วยเรื่องอะไรหรือ?”
“ไม่ได้มาหาพี่ใหญ่ของเจ้า แต่มาหาเพื่อนสองสามคน เชิญฝึกฝนตามสบาย…” น้ำเสียงสำเนียงหนักแน่นดังขึ้น พูดภาษาราชการต้าฟ่งแบบงูๆ ปลาๆ
แต่ทว่าเสียงกลับใสราวกับระฆังเงิน เสนาะหู ถือว่าเพราะเลยทีเดียว
“ก็คือจะบอกว่าเจ้าไม่รู้จักพี่ใหญ่ของข้า?”
“ไม่รู้จัก”
เพียงไม่กี่คำก็สัมผัสได้ถึงรายละเอียดแล้ว แม่นางคนนี้ดูเหมือนจะไม่ฉลาดมากนัก และยังไม่มีความสัมพันธ์ใดกับพี่ใหญ่ด้วย
สวี่หลิงเยวี่ยให้การต้อนรับลี่น่าอย่างอบอุ่น
อาสะใภ้ซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ไม่ไกลมากนักขมวดคิ้วเล็กน้อย สายตาที่มองลี่น่าเจือไปด้วยความเป็นศัตรู
‘หญิงต่างถิ่นนางนี้นี่กินเก่งจริงๆ ในเวลาเพียงครึ่งชั่วยามก็ทานอาหารปันส่วนสามวันของที่บ้านไปหมดแล้ว หากแปลงเป็นเงินแล้ว นั่น…ทั้งหมดนั้น คงจะหลายตำลึงเลยสินะ?’
โชคดีที่อาสะใภ้เจาะจงขอให้แม่ครัวจัดเตรียมข้าว หมั่นโถว และผักให้เป็นพิเศษ ถ้าเป็นเนื้อปลาเนื้อสัตว์ละก็ จะเสียเงินทิ้งไปตั้งเท่าไหร่?
‘ใครจะเลี้ยงแม่นางนี้ไหว’
“แม่นางลี่น่า? เจ้ามาทำอะไรที่จวนของข้า”
สวี่ชีอันก้าวข้ามธรณีประตู สายตามองไปยังเด็กหญิงตัวน้อยที่มาจากซินเจียงตอนใต้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ เมื่อเทียบกับใบหน้าซีดขาวจากการบาดเจ็บ ใบหน้าของนางตอนนี้กลับแดงระเรื่อด้วยเลือดฝาด ดวงตาสดใส ราวกับว่าอาการบาดเจ็บนั้นดีขึ้นแล้ว
“นักบวชเต๋าจินเหลียนสั่งให้ข้ามาหาท่าน กล่าวว่าในขณะที่อยู่ในเมืองหลวง ให้ข้ามาอยู่กับเจ้าที่นี่ ขอบคุณใต้เท้าสวี่ที่ช่วยชีวิต”
ลี่น่ารีบวางตะเกียบลงอย่างรวดเร็ว กลืนอาหารลง และมองไปยังสวี่ชีอันด้วยความจริงใจเปิดเผย
ตอนแรกนางคิดว่าเมื่อตัวนางมาถึงเมืองหลวงแล้ว คนที่รับดูแลนางหากไม่ใช่เป็นนักบวชเต๋าจินเหลียน ก็คงเป็นหมายเลขสาม หมายเลขสี่ หรือหมายเลขหก ใครจะคิดเล่าว่าในท้ายที่สุดแล้วจะลงเอยด้วยการเข้าอาศัยอยู่ในบ้านของชายแปลกหน้าคนหนึ่ง
นักบวชเต๋าจินเหลียนได้บอกกับนางแล้วถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ลี่น่ารู้ว่าชายหนุ่มฆ้องเงินรูปงามนี้คือผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตตนเองเอาไว้
ในเมื่อเขาเป็นเพื่อนที่นักบวชเต๋าเชื่อถือและไว้ใจ ลี่น่าจึงไว้ใจเขาอย่างไม่ลังเล
‘นางเรียกข้าว่าใต้เท้าสวี่ ไม่ใช่หมายเลขสาม…’
สวี่ชีอันจ้องไปที่ลี่น่าชั่วขณะหนึ่ง มองไม่เห็นร่องรอยความน่าสงสัยอันน่าระแคะระคายจากนัยน์ตาสีฟ้าใสที่ไร้เดียงสาคู่นั้น
‘เหตุใดนักบวชเต๋าจินเหลียนจึงจัดวางให้นางอยู่ข้างกายข้ากัน? นี่หมายความว่าอย่างไร?’
เรื่องที่เฒ่าเหรียญปากผีทำล้วนไม่เคยปรึกษากับข้ามาก่อน หากตัดสินจากประสบการณ์ของข้าในการไปมาหาสู่กับเฒ่าเหรียญปากผีแล้ว ทุกครั้งต้องปรึกษาหารือกันเสียก่อน ไม่มีแบบแผนอันใด
ไม่มีการปรึกษาหารือกันก่อน แสดงว่าต้องมีเรื่องราวแอบซ่อนอยู่อย่างแน่นอน
ดังนั้น สวี่ชีอันจึงเอ่ยถาม “นักบวชเต๋ายังบอกอะไรกับเจ้าอีกบ้าง?”
ลี่น่ากัดหมั่นโถวและพูดอย่างคลุมเครือว่า “นักบวชเต๋าจินเหลียนบอกว่าท่านคือสหายคนสนิทของเขาในเมืองหลวง ให้ข้าอยู่ที่เมืองนี้อย่างสบายใจไร้กังวล”
หลังจากกลืนหมั่นโถวแล้ว นางจึงพูดด้วยความโกรธและคับข้องใจว่า “นักบวชเต๋ากล่าวว่าข้าทานเก่งเกินไป ไม่สามารถเลี้ยงดูข้าได้”
เอ่อ… สีหน้าของสวี่ชีอันเต็มไปด้วยความเฉื่อยชา
‘ที่จริงแล้วเหตุผลที่นักบวชเต๋าจินเหลียนส่งนางมาหาข้าที่นี่ ก็เพราะว่าทานเก่งเกินไป เลี้ยงไม่ไหวหรอกหรือ?’
นี่ช่างเป็นเหตุผลที่ไม่มีช่องโหว่ให้โจมตีได้เลยจริงๆ ด้วยเหตุผลเดียวกัน หมายเลขหกที่อาศัยอยู่บ้านพักคนชรา หรือหมายเลขสี่ที่ไม่ว่าอาหารการกินหรือการอยู่อาศัยก็ล้วนพึ่งพาสหาย นั่นก็เลี้ยงดูเด็กหญิงตัวน้อยที่มาจากซินเจียงตอนใต้นางนี้ไม่ได้เช่นกัน
‘ให้ตายเถอะ ความรู้สึกเหมือนได้รับการปฏิบัติเหมือนเศรษฐีนี่ช่างแย่เสียจริง ผู้คนอาศัยอยู่ในยุทธภพ หากไม่ใช่เจ้าที่อาศัยอยู่อย่างเปล่าประโยชน์ คงเป็นข้าที่เปล่าประโยชน์ นี่คือการลงโทษสินะ…’ สวี่ชีอันถอนหายใจ “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง”
‘แค่กๆ!’
อาสะใภ้ส่งเสียงไอเต็มแรง แสดงถึงตัวตนการมีอยู่ของการเป็นนายหญิงของบ้าน
แต่สวี่ชีอันไม่สนใจนาง และพูดด้วยตนเองว่า “เอาล่ะ ข้าจะให้คนจัดห้องให้เจ้าทันที”
“สวี่หนิงเยี่ยน!” อาสะใภ้ตะโกนร้องด้วยความโกรธ ลุกขึ้นจากเก้าอี้และเท้าสะเอวบางนั้น ก่อนจะจ้องด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเคืองโกรธ “ข้าคือป้าของเจ้า เจ้า…เจ้าไม่คิดที่จะปรึกษากับข้าบ้างเลยสักนิดอย่างงั้นหรือ?”
ขณะที่พูด ดวงตาก็เหลือบมองไปยังโต๊ะอาหารที่มีถ้วยชามวางระเกะระกะ บอกกับหลานชายที่แสนโชคร้ายของนางว่านังเด็กนางนี้เป็นหลุมดำ
นี่…สวี่ชีอันลังเลอยู่ครู่หนึ่ง การพิจารณาของอาสะใภ้เองก็สมเหตุสมผล ราคาสิ่งของที่เมืองหลวงนั้นแพง เด็กสาวนางนี้ทานเยอะมาก ช่างเปลืองเงินเสียจริง
ยิ่งกว่านั้น โชคของข้าในช่วงนี้เองก็เปลี่ยนแปลงไป ไม่สามารถเก็บเงินได้แล้ว ได้แต่เปลี่ยนเป็นสะสมชื่อเสียง จากนั้นเว่ยเยวียนก็หักเงินเดือนของข้าอีก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง