ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 315

บทที่ 315 ทำลายการแข่งขันอย่างไร (1)

สองชั่วยามให้หลัง สวี่ชี่อันก็ออกจากหอเฮ่าชี่ เขายืนอยู่ที่ด้านล่างของอาคาร หลับตาลงครู่หนึ่งก่อนจะจากไปอย่างแน่วแน่

เขาออกจากที่ทำการปกครอง ขี่ม้าตรงไปตามถนนสายหลักอันไพศาลเกินจะจินตนาการของเมืองชั้นใน แล้วห้อตะบึงไปทางกรมอาญา

ถนนสายหลักกว้างประมาณหนึ่งร้อยลี้ มุ่งตรงสู่เขตพระราชฐาน ซึ่งเป็นเส้นทางหลักที่องค์จักรพรรดิใช้ในการเดินทาง ความกว้างของมันมีไว้เพื่อป้องกันการซุ่มโจมตีระหว่างทาง หากต้องประสบกับลูกศรจากการซุ่มโจมตีจริง ความกว้างของถนนสายนี้จะช่วยถ่วงเวลาให้กองทหารรักษาวังได้

ใช้เวลาไม่นาน สวี่ชีอันก็มาถึงกรมอาญาแล้ว

สวี่ชีอันมองเห็นร่างของอารองสวี่มาแต่ไกล ยามนี้อารองสวี่สวมเกราะ มือถือดาบมั่น เขาน่าจะรู้ข่าวตอนที่ออกลาดตระเวน ด้วยเหตุนี้จึงรีบปรี่มาทันที

หากแต่อารองสวี่กลับโดนทหารยามของกรมอาญาสกัดเอาไว้

ทหารยามทั้งสองนายตวาดเสียงกร้าว และหนึ่งในนั้นก็ยื่นมือออกมาผลักอารองสวี่อย่างแรง เขายังไม่กล้าตอบโต้ จึงเซถอยหลัง

“เหตุใดหัวหน้ากองดาบชั้นต่ำ ถึงอาจหาญบุกมาถึงกรมอาญาได้?”

ทหารยามนายหนึ่งชี้นิ้วใส่หน้าสวี่ผิงจื้อ

“หากไม่รีบไสหัวของเจ้าออกไป อย่ามาหาว่าข้าไม่เตือน”

สวี่ผิงจื้อผู้อยู่ในระดับหลอมปราณ พยายามอดทนอดกลั้น เขากำหมัดแน่น และเอ่ยเสียงเข้ม “ข้าเป็นบิดาของสวี่ซินเหนียน ข้ามีสิทธิ์ที่จะเข้าไปด้านใน”

ทหารยามอีกนายเหยียดยิ้ม “นักโทษผู้ฉ้อโกงการสอบเคอจวี่ ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเยี่ยม กฎนี้มีมานาน คนไร้สติปัญญาเช่นเจ้า รู้จักกฎระเบียบหรือไม่”

สวี่ผิงจื้อไม่รู้จริงๆ ว่าคดีที่เกี่ยวกับการฉ้อโกงการสอบเคอจวี่อยู่นอกเหนือขอบเขตที่เขาจะจัดการได้

“พวกเจ้าต้องการให้ข้าจ่ายสามสิบตำลึงก่อนหรือ?” สวี่ผิงจื้อเลิกคิ้ว ท่าทางเดือดดาลยิ่ง

“บังอาจนัก ที่นี่คือที่ทำการกรมอาญา เจ้ายังกล้าลบหลู่อีกรึ ลองดูสิ” ทหารยามแค่นยิ้ม

“ถุย!”

ทหารยามอีกนายถ่มน้ำลายใส่สวี่ผิงจื้อ

สวี่ผิงจื้อเบี่ยงกายหลบโดยพลัน

ทหารยามทั้งสองนายหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง

“ฟู่ว…”

อารองสวี่พ่นลมหายใจออกอย่างช้าๆ แล้วเหลือบสายตาไปเห็นทหารยามสองแถวเดินออกมาจากที่ทำการ เห็นได้ชัดว่าหากเขาก่อเรื่องที่นี่ วันนี้คงต้องรับกรรมหนักแน่

“ไสหัวไปซะ!”

ทหารยามถลึงตา ตวาดลั่น

‘กุบกับๆๆ!’

ฉับพลัน เสียงกีบม้าห้อตะบึงก็ดังขึ้น ไม่นานม้าพันธุ์ดีก็ควบตรงเข้ามาที่ด้านหน้าประตูใหญ่ของกรมอาญาด้วยความเร็ว

ก่อนจะรู้ตัว ม้าก็พุ่งกระแทกร่างทหารยามทั้งสองนายเสียแล้ว

‘พลั่ก!’

หนึ่งในนั้นไม่อาจหลบเลี่ยงได้ทัน ถูกม้ากระแทกเข้ากลางอกเต็มแรง ร่างลอยกระเด็นออกไปไกล ก่อนจะดิ้นทุรนทุรายด้วยความทรมานแล้วล้มลงไปกับพื้น เจ็บปวดมากเสียจนลุกไม่ขึ้นอีก

มีคนกล้าก่อเรื่องที่กรมอาญาจริงๆ หรือนี่

“หนิงเยี่ยน”

สวี่ผิงจื้อเห็นว่าผู้มาใหม่เป็นหลานชายของตนก็โล่งใจ

‘เคร้ง…’ เสียงดาบถูกชักออกมาอย่างต่อเนื่อง ทหารนายอื่นที่อยู่ในที่ทำการได้ยินเสียงดังที่ด้านนอกก็รีบทยอยออกมาพร้อมอาวุธครบมือ หมายจะจัดการกับผู้ที่อาจหาญมาก่อเรื่องถึงกรมอาญา

แต่พวกเขากลับต้องชะงักกึก เมื่อพบว่าฆ้องเงินที่นั่งอยู่บนหลังม้านั้นคือสวี่ชีอัน

หัวหน้าทหารยามชักดาบออกมา พลันเอ่ยเสียงเข้ม “ใต้เท้าสวี่ ที่แห่งนี้คือที่ทำการกรมอาญา หากบุกรุกเข้ามาทำร้ายคนของที่นี่ โทษคือจำคุก เนรเทศ ไม่ก็ตัดศีรษะ”

สวี่ชีอันไม่สนใจ พลิกกายลงจากหลังม้า แล้วย่างเท้าเข้าไปหาทหารยามผู้นั้นที่โดนม้ากระแทกร่างเมื่อครู่ แล้วเตะเท้าเข้าใส่ครั้งหนึ่ง

“อ๊าก…” ทหารยามผู้นั้นกรีดร้อง กลิ้งทุรนทุรายอยู่บนพื้น

สวี่ชีอันปลดฝักดาบที่หลังเอวออก ยกมันขึ้นฟาดลงไปบนร่างของทหารยาม เสียงฝักดาบกระทบเนื้อฟังแล้วน่าหวาดหวั่นยิ่ง

ทหารยามกรีดร้องโหยหวนไม่หยุดยั้ง

“ใต้เท้าสวี่!”

“เรียกข้าว่าใต้เท้าจื่อ”

หัวหน้าทหารยามชะงัก ก่อนจะแสร้งทำหูทวนลม ตะโกนเสียงกร้าว “เจ้าคิดว่ากรมอาญาไร้อำนาจ จึงไม่เกรงกลัวพระอาญาของฝ่าบาท ไม่เกรงกลัวกฎหมายบ้านเมืองบ้างเลยรึ?”

“พวกเจ้าปล่อยม้าเข้ามาเอง เรื่องงี่เง่าแค่นี้ยังตัดสินอย่างเป็นธรรมไม่ได้ เห็นทีสวี่ชีอันผู้นี้อยู่เมืองหลวงไปก็เปล่าประโยชน์แล้วสิ” สวี่ชีอันยิ้มเยาะ แล้วกวัดแกว่งฝักดาบทุบตีต่อไป

ในตอนแรกทหารยามผู้นั้นยังพอหลบเลี่ยงทัน เขาพยายามยกมือขึ้นต้านไว้ แต่เมื่อถูกฟาดไปหลายสิบที ดวงตาก็เหลือกขึ้นกลายเป็นสีขาวคล้ายจะขาดใจตาย

หัวหน้าทหารยามเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน หลังมือที่กำดาบแน่นปูดโปนด้วยเส้นเลือดสีเข้ม แต่กลับไม่กล้าลงมือกับฆ้องเงินผู้หยิ่งผยอง

ฉากการทรมานยังคงตราตรึง พละกำลังของสวี่ชีอันไม่ลดลงแม้แต่น้อย และในช่วงเวลาชี้เป็นชี้ตายไม่มีใครกล้าเข้ามาเผชิญหน้ากับเขาโดยตรง

สิ่งสำคัญที่สุดก็คือคนผู้นี้มีแผ่นเหล็กอักษรแดง แม้เขาจะสังหารใครถึงหน้ากรมอาญา อย่างมากเขาก็เพียงแค่ถูกไล่ออกจากตำแหน่งและใช้ชีวิตอย่างสบายใจได้ต่อไป

เมื่อเห็นว่าทหารยามผู้นั้นเหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้าย สวี่ชีอันก็ยั้งมือแล้วเหน็บดาบไว้ด้านหลังเอวเช่นเดิม ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ “เงินสามสิบตำลึงนั่น คิดเสียว่าเป็นค่ารักษาพยาบาลของพวกเจ้าทั้งสอง”

หลังจากระบายโทสะเสร็จแล้ว เขาก็จ้องไปทางหัวหน้าทหารยามแล้วเอ่ย “เข้าไปรายงานเสีย ข้าต้องการพบสวี่ซินเหนียน”

ได้ยินเช่นนี้ หัวหน้าทหารยามก็ไร้ท่าทีโต้ตอบ เขาส่งสายตาให้ทหารคนอื่นนำตัวทหารทั้งสองนายเข้าไปรักษา จากนั้นจึงมองกลับไปทางสวี่ชีอันเงียบๆ แล้วกลับเข้าไปในกรมอาญา

ไม่นาน เขาก็กลับมาพร้อมเอ่ยว่า “ท่านเจ้ากรมเรียนเชิญ”

สวี่ชีอันผูกบังเหียนม้าไว้กับรูปปั้นหน้าประตู ก่อนจะกวักมือเรียก “ท่านอารอง เข้าไปกันเถอะ”

สวี่ผิงจื้อเดินตามเขาเข้าไปเงียบๆ ทั้งสองเข้ามาในกรมอาญา เดินผ่านลานด้านหน้าและระเบียงทางเดิน อารองสวี่ อ้าปากราวกับต้องการเอ่ยบางอย่าง แต่เขาเลือกที่จะเงียบ

ทหารยามนำทางสองอาหลานมาจนถึงห้องของท่านเจ้ากรม ณ ที่นั้น เจ้ากรมซุนสวมชุดคลุมยาวสีแดง นั่งรอพวกเขาด้วยใบหน้าเคร่งขรึมและปราศจากอารมณ์อยู่ก่อนแล้ว

“คารวะท่านเจ้ากรมซุน” สวี่ชีอันกอบหมัดคำนับ

เจ้ากรมซุนไม่ปรายตามองแม้แต่น้อย คล้ายกับไม่มีสวี่ชีอันอยู่ในสายตา ปากพึมพำ “ขาดสองคำ”

เขาจ้องเขม็งไปทางเจ้ากรมซุนครู่หนึ่ง จากนั้นจึงยอมค้อมกายลง แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่นอบน้อมกว่าเดิมพร้อมกอบหมัดคำนับ “ข้าน้อยคารวะท่านเจ้ากรม ข้าน้อยต้องการพบสวี่ซินเหนียนขอรับ”

เมื่อเห็นฉากนี้ ขอบตาของสวี่ผิงจื้อก็พลันร้อนผ่าวขึ้นมา

ท่านเจ้ากรมแย้มยิ้มด้วยความพอใจ “ฉ้อโกงการสอบเคอจวี่นั้นถือเป็นโทษร้ายแรง คนในครอบครัวอยากมาเยี่ยมเยียนก็เป็นเรื่องปกติ”

“แต่เข้าเยี่ยมไม่ได้” เจ้ากรมซุนกล่าวต่อฉับพลัน

สวี่ผิงจื้อกัดฟันกรอด

พูดจบ เจ้ากรมซุนก็ไม่แม้แต่จะปรายตามองสองอาหลานอีก เขายกชาขึ้นจิบ ในแวดวงการทหารนั้น หากสนทนาไปแล้วครึ่งทาง แต่เจ้าเรือนไม่เชิญให้ดื่มชา ก็ถือว่าเป็นการไล่แขก

“เช่นนั้นไม่รบกวนท่านแล้ว” สวี่ชีอันหมุนกายออกไป

เจ้ากรมซุนมองดูแผ่นหลังของอาหลาน แล้วเอ่ยเบาๆ “ในลานมีต้นหนามอยู่จำนวนหนึ่ง ข้าได้ยินมาว่าใต้เท้าสวี่ฝึกฝนพลังเทพวชิระของสำนักพุทธมิใช่รึ สนใจจะลองเสียหน่อยหรือไม่?”

สวี่ชีอันเดินออกไปโดยไม่หันกลับมามอง

ขณะที่สวี่ผิงจื้อเดินออกมาจากที่ทำการกรมอาญานั้น ปากก็เอ่ยสาปส่งไปด้วย “มารดามันเถอะ เจ้ากรมซุนนั่น อยากจะให้เจ้าแบกต้นหนามขอขมา ข้าอยากจะชักดาบออกมาฟันเข้าเสียจริง”

“เหตุใดท่านอารองถึงมาเร็วนักเล่า?” สวี่ชีอันเอ่ยถามเจ้ามาช้าต่างหากเล่า หลังจากข้าได้รับข่าวก็รีบกลับเรือนทันทีเพื่อปลอบหลิงเยวี่ยและอาสะใภ้ของเจ้า แต่กลับไร้ประโยชน์…” อารองสวี่ส่ายศีรษะไปมา

“พอรู้ นางก็เอาแต่คร่ำครวญร้องไห้โฮ เฮ้อ หนิงเยี่ยน เรื่องนี้จะทำอย่างไรกันดี?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง