บทที่ 315 ทำลายการแข่งขันอย่างไร? (2)
พระราชวัง
ภายในสวนเต๋อซิน ฮว๋ายชิ่งในชุดกระโปรงสีเขียวนั่งอยู่หลังโต๊ะทรงพระอักษร นางหันหน้าไปกล่าวกับหัวหน้าทหารรักษาพระองค์จากตำหนัก “ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าออกไปเถอะ”
หลังจากหัวหน้าทหารองครักษ์จากไป ฮว๋ายชิ่งก็หยัดกายขึ้น เดินไปทางหน้าต่าง ขมวดคิ้วครุ่นคิด “หากเป็นข้า ข้าจะทำลายแผนการนี้อย่างไรดี”
หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน นางก็ส่ายหน้าพลางถอนใจ
จากนั้น นางก็คิดอีกครั้งว่า หากเป็นสวี่หนิงเยี่ยน เขาจะทำอย่างไร
…
ภายในโรงเหล้าแห่งหนึ่ง ซุนเย่าเยว่จองห้องส่วนตัวและเชิญสหายร่วมสำนักจากราชวิทยาลัยหลวงมาร่ำสุรา หากแต่เป้าหมายสำคัญก็คืออยากร่วมกันแบ่งปันเหตุการณ์สำคัญที่กำลังสั่นสะเทือนสำนักบัณฑิตแห่งเมืองหลวงตอนนี้
“เช้านี้บิดาข้าได้ส่งคนไปคุมตัวฮุ่ยหยวนสวี่ซินเหนียนมาแล้ว กล่าวกันว่าเขาติดสินบนผู้คุมสอบครั้งนี้”
“ข่าวจริงหรือไม่” บัณฑิตจากราชวิทยาลัยหลวงท่าทางตื่นตะลึง
“แน่นอน ข้าไปที่กรมอาญาเพื่อยืนยันและถามท่านพ่อด้วยตนเอง แม้ว่าจะโดนไล่ให้กลับไปโดยเร็ว แต่รองเจ้ากรมก็เปิดเผยให้ข้าทราบแล้ว ตอนนี้สวี่ซินเหนียนก็อยู่ในคุก รอรับโทษอยู่” ซุนเย่าเยว่กวาดตามองสหายของตน เอ่ยด้วยความภาคภูมิใจ
เขาเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของเจ้ากรมซุน ปัญญาฉลาดเฉลียวไม่น้อย และแข็งแกร่งกว่าพี่น้องคนอื่นๆ แต่เขากลับมีโรคที่รักษาไม่หายขาด นั่นคือนิสัยชอบนินทาว่าร้ายผู้อื่น
ซุนเย่าเยว่ทั้งอิจฉาและโกรธเคืองสวี่ซินเหนียนบัณฑิตสำนักอวิ่นลู่ที่ได้รับตำแหน่งฮุ่ยหยวน ทว่าตอนนี้อีกฝ่ายถูกคุมขังในข้อหาฉ้อโกงข้อสอบเคอจวี่ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขามีความสุขเพียงไร
“ฆ้องเงินสวี่ชีอันนั้นไม่ใช่ลูกผู้ชาย มันอาศัยบารมีของเว่ยกง สำแดงฤทธาอวดอ้างอำนาจไปทั่วเมืองหลวง และเขียนบทกวีเหยียดหยามพ่อของข้า น่าแทงให้ตายด้วยดาบสักพันเล่ม”
ซุนเย่าเยว่ฟาดมือลงบนโต๊ะ แล้วส่งเสียงหัวเราะเยาะ “หากกำจัดเขาไม่ได้ ก็กำจัดญาติผู้น้องของเขาแล้วกัน ฮ่าๆๆ ดื่มๆ”
เมื่อบัณฑิตของราชวิทยาลัยหลวงทราบข่าวเรื่องนี้ก็ทั้งแปลกใจและสะใจในคราวเดียว ฮุ่ยหยวนที่สอบคัดเลือกช่วงวสันต์ผ่านเข้ารอบนั้นมาจากสำนักอวิ๋นลู่ เช่นนี้ศักดิ์ศรีของบัณฑิตเหล่าราชวิทยาลัยหลวงไปอยู่ที่ใด
จะต้องเป็นการฉ้อโกงเท่านั้น ฉ้อโกงอย่างแน่นอน ไม่มีเหตุผลอื่นใดที่ยอมรับได้
“พี่ซุน มีความสุขคนเดียวไม่เท่ามีความสุขร่วมกันนะ เรื่องน่ายินดีเช่นนี้ พวกเราช่วยกันกระจายข่าวไปให้ทั่วดีกว่า”
“ตกลง ตามที่เจ้าว่า เจอกันคืนนี้ที่สำนักสังคีต”
หลังจากรับประทานอาหารและร่ำสุรากันจนอิ่มหนำสำราญแล้ว ซุนเย่าเยว่ก็ออกจากโรงเหล้ามาด้วยความเมามาย แล้วเดินไปขึ้นรถม้าที่จอดอยู่ด้านนอกโดยมีบ่าวคอยช่วยประคองร่างอยู่ไม่ห่าง
ขณะที่เขากำลังจะงีบหลับ สายตาก็พลันเหลือบไปแมวสีส้มตัวหนึ่งนั่งอยู่บนหมอนนุ่ม ม่านตาสีเหลืองอำพันของมันนั้นจ้องตรงมาทางเขา
ไม่มีการเคลื่อนไหวใด รถม้ายังคงเคลื่อนไปข้างหน้า ทันใดนั้น หน้าต่างก็เปิดออก แมวสีส้มกระโดดออกไป หางของมันสะบัด ก่อนที่ร่างของมันจะหายลับไปท่ามกลางฝูงชนที่พลุกพล่าน
…
กรมอาญา
เจ้ากรมซุนเรียกเจ้าพนักงานเข้ามาเอ่ยถาม “เข้าไปที่คุก ตรวจสอบดูว่าสวี่ซินเหนียนรับสารภาพแล้วหรือยัง”
เจ้าพนักงานรีบนำคำสั่งไปถ่ายทอด หลังจากรออยู่ครู่หนึ่ง เขาก็กลับมารายงานอีกครั้ง “เรียนท่านเจ้ากรม สวี่ซินเหนียนยืนกรานหนักแน่น ทุบตีอย่างไรก็ไม่ยอมรับสารภาพเลยขอรับ”
“เช่นนั้นคงจะยังไม่ทรมานมากพอ” เจ้ากรมซุนแค่นเสียง “ให้เขาได้ลิ้มรสความทรมานแสนสาหัส ประเดี๋ยวก็หลุดปากออกมาเอง”
“ขอรับ”
เจ้าพนักงานก้าวออกไป ตอนนั้นเองใครบางคนก็พุ่งเข้ามาทันที คนผู้นี้แต่งกายหรูหรา ผมสีขาวโพลน เขาปราดเข้ามาด้วยความเร็วปรี่จนสะดุดเข้ากับขอบประตูทีหนึ่ง
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่” เจ้ากรมซุนขมวดคิ้วถาม
คนผู้นี้เป็นพ่อบ้านจากจวนสกุลซุน คอยรับใช้อยู่ข้างกายของเจ้ากรมซุนมานับหลายสิบปีแล้ว
“นายท่าน เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ” บ่าวผู้นี้ร่ำไห้ เอ่ยเสียงสะอื้น “คุณชาย หายตัวไปขอรับ”
“อะไรกัน เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
สีหน้าของเจ้ากรมซุนแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ลุกเดินเข้ามา แล้วจ้องเขม็งไปทางบ่าวรับใช้ ถามด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “เจ้าพูดเรื่องอะไรกัน”
“บ่าวที่ติดตามคุณชายกลับมาที่จวนแล้วรายงานว่า วันนี้คุณชายชวนสหายไปสังสรรค์ที่สำนักสังคีต แต่หลังจากแยกย้ายกันแล้ว ก็ขึ้นรถม้า…จากนั้นก็หายตัวไปเลยขอรับ หลังจากรถม้ามาถึงจวนแล้วจึงพบว่าไม่มีใครอยู่ข้างในรถม้าเลย”
พ่อบ้านชรามือไม้เงอะงะด้วยทำอะไรไม่ถูก เขาลนลานกล่าวต่อท่าทางระแวดระวัง “หลายคนบอกว่า บางที บางทีคุณชายอาจจะไปล่วงเกินใครเข้า?”
มีกฏที่รู้กันในแวดวงขุนนางว่าหากเป็นการต่อสู้ทางการเมืองแล้วจะไม่มีการโยงครอบครัวเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเด็ดขาด ไม่ใช่เพราะบรรทัดฐานทางศีลธรรมสูงส่งแต่อย่างใด แต่หากเราทำลงไป คนอื่นก็จะเอาคืนหนักกว่าเดิม
และจะถูกตราหน้าว่าเป็นพวกนอกคอกด้วยเหตุนี้ และถูกตัดขาดจากวงสังคมไปด้วย
อำนาจของกฎปากเปล่านี้มีผลอย่างมาก และแม้แต่ราชสำนักเองก็เห็นชอบ ไม่มีการบัญญัติอย่างชัดเจนตายตัว เพราะเป็นเรื่องที่ไม่อาจพูดกันอย่างเปิดเผยได้
อย่างไรก็ดี ต้าฟ่งยังมีกฎระเบียบข้อหนึ่ง คือไม่ว่าจะเป็นขุนนางคนใดเมื่อเข้าสู่เมืองหลวงเพื่อรับราชการแล้ว บิดามารดา ภรรยา และบุตรของคนผู้นั้นก็จะต้องตามเข้ามาอาศัยในเมืองหลวงด้วยเช่นกัน
จุดประสงค์ของกฎเกณฑ์นี้คืออะไร?
กฏเกณฑ์นี้จะปูทางไปสู่กฏปากเปล่าที่ว่า เพื่อแสดงให้เห็นว่ากฏที่ว่านั้นศักดิ์สิทธิ์เพียงไร
ล่วงเกินใครบางคนเข้างั้นหรือ…เจ้ากรมซุนพึมพำกับตนเอง ในหัวผุดชื่อของสวี่ชีอันขึ้นมาทันที
“บัดซบ!”
เจ้ากรมซุนตะคอกดังลั่น เคราสั่น ด้วยไม่อาจข่มกลั้นโทสะไว้ได้ “เจ้าคิดว่าการลักพาตัวบุตรชายของข้า จะทำให้ทางการยอมอ่อนข้อให้อย่างนั้นหรือ? เจ้าโง่ เจ้าหาเรื่องใส่ตนเองแล้ว! ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับบุตรชายของข้า ข้าจะทำให้เจ้าไร้ที่ยืนต่อไปในเมืองหลวง ไม่สิ ทั้งครอบครัวของเจ้าต้องพินาศ”
หลังจากส่งเสียงคำรามเช่นนั้นออกมา เจ้ากรมซุนก็กวาดของทุกอย่างบนโต๊ะลงไปเพื่อระบายโทสะที่อัดอั้นอยู่ในอก ‘เพล้ง’ เสียงถ้วยชา ที่ฝนหมึกร่วงแตกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย รวมถึงหนังสือ และกระดาษต่างๆ ก็กระจัดกระจายไปทั่วห้อง
พ่อบ้านชราเงียบเสียง ไม่กล้าเอ่ยขัดและขยับเขยื้อน เขาอยู่กับนายท่านมานานหลายปีแล้ว ย่อมรู้จักนิสัยดี
ท่าทางเดือดดาลนั้น ทั้งหมดล้วนมาจากคนคนเดียว นั่นก็คือสวี่ชีอัน
ตอนนั้นเอง เจ้ากรมซุนก็รวบชายเสื้อขึ้นเล็กน้อย แล้ววิ่งออกไปด้านนอกทันทีโดยไม่สนใจอายุของตนในตอนนี้เลย
“นายท่าน ถ้าท่านต้องการสิ่งใด บ่าวจะรีบไปจัดการให้ขอรับ…” พ่อบ้านชรารีบวิ่งตามออกไป เอ่ยเสียงดัง
แต่เจ้ากรมซุนไม่สนใจเขาเลยสักนิด เขาคำราม “ใครก็ได้ ใครก็ได้ ไปที่คุกเดี๋ยวนี้ ไปดูที่คุก หยุดการลงทัณฑ์ หยุดการลงทัณฑ์…”
ท้องฟ้าเหนือกรมอาญาตอนนี้กึกก้องด้วยเสียงของเจ้ากรมซุน “หยุดการลงทัณฑ์”
…
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง