บทที่ 316 การประลองทางความคิดของอาสะใภ้และคุณหนูหวาง
บนทางเดินมืดสลัว พี่ใหญ่ในชุดเครื่องแบบหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลกำลังยืนอยู่นอกกรงแล้วหรี่ตามองเขา
ดวงตาของสวี่เอ้อร์หลางสว่างไสวขึ้นทันใด เขาลุกขึ้นจากเสื่อฟางแล้วลากโซ่คล้องขาเดินมาหาจนเกิดเสียงดัง ‘ครืดคราด’
“ท่านเข้ามาได้อย่างไร เจ้ากรมซุนให้ท่านเข้ามาได้ด้วยหรือ” สวี่ซินเหนียนทั้งคาดไม่ถึงและตกตะลึง
สวี่ชีอันเห็นดังนั้นก็ถอนสายตาพินิจกลับมาด้วยความโล่งอก ก่อนถอนหายใจเอ่ย “ดูเหมือนว่าจะมีแค่อาการบาดเจ็บภายนอก”
จากนั้นเขาก็เหลือบตามองผู้คุมคุกแล้วเอ่ยเสียงเย็นชา “ถอยไป”
ผู้คุมคุกจากไปอย่างรู้ความ
สวี่ซินเหนียนถ่มน้ำลายแล้วกล่าว “เจ้าพวกสุนัขบัดซบกลุ่มนี้ หวดแส้ได้เจ็บนัก”
เอ้อร์หลางกำลังฟ้องข้าอยู่หรือ…สวี่ชีอันพยักหน้า “ไม่ต้องห่วง พี่ใหญ่จะหาวิธีช่วยเจ้าออกไป”
เพิ่งจะพูดจบ สวี่ซินเหนียนก็โบกมือขัดจังหวะเขาแล้วเอ่ยย้ำเตือน “พี่ใหญ่ บางทีท่านอาจจะยังไม่เข้าใจดี เรื่องนี้เดิมทีไม่เกี่ยวกับการฉ้อโกงในการสอบขุนนางหรอก แต่เป็นความขัดแย้งระหว่างราชวิทยาลัยหลวงกับสำนักอวิ๋นลู่”
ไม่ ข้ารู้ดีแจ่มแจ้งเชียวล่ะ…สวี่ชีอันกล่าวในใจ
แต่สวี่เอ้อร์หลางก็ไม่ให้โอกาสสวี่ชีอันได้พูด เขาเอ่ยอธิบายน้ำไหลไฟดับ น้ำเสียงที่พูดเจือความกรุ่นโกรธอย่างมาก ดูแล้วก็คงจะบาดเจ็บแค่ภายนอกจริงๆ
“ความจริงข้าสังหรณ์มานานแล้ว ด้วยฐานะของบัณฑิตสำนักอวิ๋นลู่ระดับฮุ่ยหยวน จะผ่านไปอย่างง่ายดายไร้อุปสรรคได้อย่างไร แต่ข้าไม่กลัวหรอก สำนักศึกษาต้องการกลับคืนสู่ท้องพระโรงและขยายอำนาจ ดังนั้นจึงต้องมีผู้นำทัพที่คอยปูทางให้กับชนรุ่นหลัง” สวี่ซินเหนียนกล่าวน้ำเสียงจริงจัง
“และข้า ก็จะเป็นคนที่เปิดเส้นทางผู้นั้นเอง”
เอ้อร์หลางเอ๋ย ผู้คนไม่ได้ชื่นชมคนที่เปิดทางให้คนแรกหรอกนะ ผู้ที่พวกเขาชื่นชมจริงๆ คือคนขยายเส้นทางให้ต่างหาก…สวี่ชีตอบรับด้วยเสียง ‘อืม’
“เจ้าว่าต่อสิ”
“อันที่จริงข้าคิดแผนการแก้ไขปัญหาได้ตอนอยู่ห้องขังแล้วล่ะ อา ถึงอย่างไรเรื่องกลอุบายในท้องพระโรงก็ยังมีข้าที่ฉลาดที่สุดในบ้านสินะ”
สวี่ซินเหนียนเชิดหน้าอย่างเย่อหยิ่งแล้วเอ่ยต่อ “ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสำนักศึกษาไม่อาจเข้าไปในท้องพระโรง แต่เว่ยเยวียนทำได้ ท่านไปขอร้องเว่ยเยวียนหน่อย ข้าไม่ได้จะขอให้เขาช่วยให้ข้าพ้นโทษในทันทีหรอก แบบนั้นมันยากเกินไป และคงจะหนักหนาสาหัสถึงกระดูกแน่ๆ เพราะเท่ากับเป็นการเปิดศึกกับขุนนางทุกคน
ดังนั้นคำขอของข้าคือให้ถอนตำแหน่ง แต่รักษาสิทธิ์เข้าสอบขุนนางเอาไว้ หรือไม่ก็ให้ข้าสอบตกการสอบหน้าพระพักตร์ แล้วอีกสามปีให้หลังข้าจะเข้าการสอบระดับเมืองหลวงอีกครั้ง เป้าหมายหลักๆ ของพวกขุนนางบุ๋นที่มาจากราชวิทยาลัยหลวงคือกดสำนักอวิ๋นลู่เอาไว้ ไม่ใช่ข้า”
หลังจากพูดจบก็เห็นพี่ใหญ่นิ่งงันไป สวี่เอ้อร์หลางจึงเอ่ยทอดถอนใจ “จริงสินะ พูดเรื่องพวกนี้กับพี่ใหญ่ก็ออกจะเข้าใจยากไปหน่อย ท่านทำตามที่ข้าบอกก็พอ แม้ว่าข้าจะติดคุก แต่ก็สามารถวางกลยุทธ์ได้เหมือนเดิม”
เอ้อร์หลางเอ๋ย เจ้าคิดว่าตัวเองอยู่ที่ชั้นสิบแปด แต่ความจริงเจ้าน่ะอยู่บนพื้นโลกต่างหาก…สวี่ชีอันกระแอมไอแล้วกล่าว “เรื่องนี้พี่ใหญ่มีความเห็นต่างอยู่นิดหน่อย”
สวี่ซินเหนียนตะลึงแล้วพยักหน้าอย่าง ‘เจียมเนื้อเจียมตัว’ “ท่านว่ามาเถอะ”
ดังนั้น สวี่ชีอันจึงบอกเรื่อง ‘ยิงปืนนัดเดียวได้นกสามตัว’ ที่เว่ยเยวียนวิเคราะห์ให้สวี่เอ้อร์หลางฟัง แล้วจากนั้นในห้องขังก็ตกอยู่ในความเงียบงันเนิ่นนาน
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ที่แท้เบื้องหลังคดีนี้กลับมีความซับซ้อนเช่นนี้อยู่ นี่ข้า ข้าจบสิ้นแล้วหรือ” สวี่เอ้อร์หลางถูกโจมตีอย่างหนัก
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไร้ความหวังที่จะหลุดพ้น หรือว่าเพราะการวิเคราะห์ของตนยังตื้นเขินเกินไปกันแน่ เพราะเรื่องนี้ไม่สอดคล้องกับผู้ปกครองในความคิดของเขาเลย
“ไม่ต้องห่วง พี่ใหญ่จะต้องช่วยเจ้าออกมาให้ได้” สวี่ชีอันเอ่ยปลอบเช่นนี้
ที่นี่คือคุกใต้ดินของกรมอาญา ไม่เหมาะจะพูดอะไรมากมาย
สวี่ซินเหนียนหัวเราะอย่างสังเวชใจ
…
หลังจากกล่าวลาสวี่ซินเหนียน สวี่ชีอันก็ออกจากที่ทำการของสวี่ซินเหนียน เขากลับไปบ้านเพื่อปลอบโยนน้องสาวและอาสะใภ้ เขาวิ่งวุ่นอยู่ข้างนอกทั้งวันเช่นนี้ หญิงสาวสองคนในบ้านคงจะกังวลมาจนถึงตอนนี้แล้ว
เขาได้ยินเสียงร้องไห้ของอาสะใภ้ดังมาจากในโถงแต่ไกล “ต้าหลางทำไมยังไม่กลับมาอีก เอ้อร์หลางถูกส่งไปกรมอาญาแล้ว ไม่รู้ว่าต้องเจอกับความยากลำบากมากมายขนาดไหน ดีร้ายก็ควรจะเขียนจดหมายให้หน่อยสิ…”
สวี่หลิงเยวี่ยเอ่ยปลอบโยน “ท่านแม่ พี่ใหญ่จะต้องกำลังวิ่งวุ่นหาคนช่วยอยู่แน่เจ้าค่ะ ท่านอย่าร้อนใจไปเลย พอถึงยามเย็นตอนเลิกงาน เดี๋ยวพี่ใหญ่จะต้องกลับมารายงานท่านแน่”
“แล้วต้องรออีกนานแค่ไหนกัน ตอนนี้แม่ทุกข์ใจไปหมดแล้วนะ” อาสะใภ้ร้องไห้เสียงดัง
“เจ้าไม่ได้ยินที่พ่อเจ้าพูดหรือ หากต้าหลางไปขอคนที่กรมอาญา นอกจากจะไม่ได้พบกับเอ้อร์หลางแล้ว ยังถูกไล่กลับมาให้เสียหน้าอีกด้วย”
จากนั้นสวี่ผิงจื้อก็ถอนหายใจ
แม้ว่าอาสะใภ้อายุปูนนี้แล้วจะยังทำตัวน่ารักใส่สามีเพราะขี้ระแวง แต่เมื่อถึงเวลาเช่นนี้ อาสะใภ้ก็ยังร้องไห้ก่นด่าอารองที่ไร้ความสามารถจนช่วยลูกชายไม่ได้ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะการตามใจอาสะใภ้มากเกินไปของอารองนั่นเอง…สวี่ชีอันพลันค้นพบรายละเอียดที่แต่ก่อนเขาไม่เคยสังเกต
“อะแฮ่ม!”
สวี่ชีอันกระแอมไอออกมาแล้วเข้าไปในโถงด้านใน เขาดึงดูดสายตาของทุกคน
สวี่หลิงเยวี่ยที่เมื่อครู่ยังสงบนิ่งกลับน้ำตาคลอเบ้า นางมองมาที่สวี่ชีอันโดยไม่พูดจา
เมื่อเห็นเช่นนั้น สวี่ชีอันจึงต้องปลอบใจนางก่อน เขาตบบ่าน้อยของนาง “อย่ากังวลเลย”
สวี่หลิงเยวี่ยเรียกเสียงอ่อน “พี่ใหญ่…”
จากนั้นเสียงแหลมสูงของอาสะใภ้ก็เข้ามาดังขึ้นมา ดวงตาของนางสว่างไสวแล้วดึงแขนเสื้อของสวี่ชีอันไว้ พร้อมมองเขาด้วยความคาดหวังและเป็นกังวล จากนั้นก็กล่าวพลางร้องไห้จ้า
“หนิงเยี่ยน เอ้อร์หลางเขา…เขาเป็นอย่างไรบ้าง เจ้ารีบหาวิธีช่วยเขาเร็วๆ สิ ในบ้านมีแต่เจ้าที่ช่วยเขาได้แล้ว”
สวี่ผิงจื้อถอนหายใจ “เจ้ากรมอาญาตั้งใจจะล้างแค้นอย่างแน่วแน่ เจ้าจะให้ต้าหลางทำเช่นไรได้เล่า ให้เขาไปขายหน้าอีกรอบหรือ”
แสงสว่างในดวงตาของอาสะใภ้หม่นลงทันใด น้ำตาไหลบ่าออกมาในดวงตาของนาง สวี่ชีอันตบมือเล็กของอาสะใภ้เบาๆ แล้วหันไปตบมือน้อยของน้องสาวอีกครั้งก่อนเอ่ยปลอบว่า “ข้าได้พบเอ้อร์หลางแล้ว เขาสบายดี ไม่ได้บาดเจ็บอะไร”
อาสะใภ้ไม่เชื่อ ดวงตาสุกสกาวจ้องหน้าหลานชายเขม็งแล้วย่นจมูก “ต้าหลาง เจ้าอย่าได้โกหกข้า”
สวี่หลิงเยวี่ยมองพี่ใหญ่ด้วยความคาดหวังและเป็นกังวล นั่นคือความหวังของน้องสาวคนหนึ่งที่มีต่อพี่ใหญ่ที่เคารพ
สวี่ชีอันกวาดตามองทุกคนแล้วเอ่ย “ข้าได้ขอให้เว่ยกงและองค์หญิงช่วยกดดันเจ้ากรมซุนแล้ว เขาไม่กล้าลงโทษเอ้อร์หลางหรอก วางใจเถิดขอรับ”
‘หากเว่ยกงและองค์หญิงลงมือ เช่นนั้นเอ้อร์หลางคงไม่ถูกทรมานอย่างหนักในคุกแล้ว…ต้าหลางเป็นคนสนิทของเว่ยกง เรื่องนี้ไม่น่าแปลก แต่การที่สามารถทำให้องค์หญิงยื่นมาเข้ามาในคดีนี้ได้นี่…คิดไม่ถึงเลยว่าต้าหลางจะมีมิตรภาพแน่นแฟ้นกับองค์หญิงใหญ่ขนาดนี้’ สวี่ผิงจื้อถอนหายใจอยู่ข้างใน ความสัมพันธ์ส่วนตัวของหลานชายใหญ่จนเขาต้องเงยหน้าขึ้นมองโดยไม่รู้ตัวเสียแล้ว
‘มีหนิงเยี่ยนอยู่ด้วยช่างทำให้สบายใจดีจริงๆ’…หินก้อนใหญ่ในใจของอาสะใภ้ถูกวางลง
สวี่หลิงเยวี่ยเม้มริมฝีปาก ดวงตาใสเป็นประกาย ‘พี่ใหญ่ไม่เคยทำให้ข้าผิดหวังเลย’
ความจริงข้าแค่ลักพาตัวลูกชายของเจ้ากรมซุนเท่านั้น แต่เขาไม่มีหลักฐาน เอาผิดข้าไม่ได้หรอก ข้าเพียงแต่ทำให้เขาใช้การทรมานไม่ได้เท่านั้น สำหรับเจ้ากรมซุนแล้ว นี่เป็นเรื่องเหล็กๆ ที่เขาทำได้แน่นอน เมื่อเทียบกันแล้ว เขาใส่ใจในชีวิตของลูกชายมากกว่าจะยอมให้ปลาตายแหขาดเสียอีก
แม้ว่าจะเป็นการทำผิดกฎ แต่ก็ยังรู้ความเหมาะควรและสามารถทำให้อิทธิพลของเรื่องลดลงได้ด้วย
อีกอย่าง เจ้ากรมซุนก็ไม่มีหลักฐานจริงๆ ข้าไม่ได้จับคนเองเสียหน่อย แถมยังไม่กลัววิชามองปราณของสำนักโหราจารย์ด้วย
ในคดีท่านหญิงผิงหยาง ก็เป็นเพราะอวี้อ๋องไม่มีหลักฐานนี่ล่ะ พอลูกสาวคนหนึ่งหายตัวไปไร้ร่องรอย แม้แต่ศัตรูคือใครก็ยังไม่รู้
แน่นอนว่าหลังจากเกิดเรื่อง สิ่งที่พรรคเหลียงต้องแลกก็คือการตัดหัวทั้งตระกูล
ตราบใดที่ผลลัพธ์ออกมาดี แม้จะเป็นกฎหมายที่เขียนไว้ในบัญญัติกฎของต้าฟ่ง ก็ยังมีคนกล้าเสี่ยง แล้วนับประสาอะไรกับกฎเกณฑ์ไร้ลายลักษณ์อักษรกันเล่า
สวี่ชีอันคิดถึงตรงนี้แล้วก็มองไปที่ลี่น่าและสวี่หลิงอินซึ่งนั่งกินขนมอยู่ข้างๆ พลางกล่าวว่า “วันนี้พวกเจ้าอย่าออกจากบ้านนะ ลี่น่า ในยามกลางวันคงต้องฝากให้เจ้าดูแลความปลอดภัยของสตรีในบ้านแล้ว”
“ได้เลย!” ลี่น่ารับคำ
แม้ว่าเจ้าเด็กนี่จะไม่ค่อยฉลาดนัก แต่นางก็ตีคนเป็น…สวี่ชีอันวางใจเป็นอย่างยิ่ง
ส่วนเรื่องการถูกโดดเดี่ยวในแวดวงขุนนางนั้น แม้ไม่บอกก็รู้ว่าเจ้ากรมซุนจะแพร่งพรายเรื่องนี้หรือไม่ หรือต่อให้ถูกแพร่งพรายออกไปจริงเขาก็ไม่กลัว เพราะเขาเป็นคนสนิทของเว่ยเยวียน ศัตรูของเขามีเยอะอยู่แล้ว
แล้วยังจะกลัวการถูกโดดเดี่ยวอีกหรือ
สวี่ชีอันไม่ใช่ปัญญาชนที่ต้องแสวงหาหนทางการเป็นขุนนางเสียหน่อย เขาเป็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล สองสิ่งนี้แตกต่างกันมาก อย่างแรกต้องการชื่อเสียงและต้องการการยอมรับจากวงราชการ
ซึ่งมันไม่มีความจำเป็นต่อหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเลย หากเว่ยเยวียนอยู่ เขาก็อยู่ หากเว่ยเยวียนล้ม เขาก็ล้ม
สวี่ผิงจื้ออ้าปากจะพูด แต่ก็ไม่ได้แสดงความเห็นใด ในใจรู้สึกผิดหวังไปพร้อมๆ กับความโล่งใจ เขาโล่งใจที่หลานชายโตขึ้นแล้ว ไม่ใช่เด็กที่ปล่อยให้เขาตบหัวเล่นคนนั้นอีกต่อไป
และผิดหวังเพราะดูเหมือนเขาจะตบหัวเจ้าเด็กนี่ไม่ได้อีกแล้ว
อาสะใภ้ร้องไห้ดีใจ นางดึงมือของสวี่ชีอันเอาไว้ไม่ยอมปล่อย “ต้าหลาง บ้านนี้ก็มีแต่เจ้านี่ล่ะที่อนาคตดี ไม่เสียแรงที่อาสะใภ้คนนี้เลี้ยงดูเจ้ามาอย่างยากลำบาก”
ไม่สิ อาสะใภ้พูดเช่นนี้ไม่กลัวผิดต่อมโนธรรมหรือ สวี่ชีอันสงสัย
อาสะใภ้ที่จิตใจเป็นสุขแล้วก็เริ่มมีอารมณ์หงุดหงิดใส่สวี่หลิงอิน นิ้วเรียวสล้างดุจหยกจิ้มไปที่หน้าผากของเด็กสาวแล้วเอ่ยอย่างโมโห “รู้จักแต่กินๆๆ คลอดเจ้ามามีประโยชน์อะไร คลอดหนูสักตัวยังดีเสียกว่า”
“ท่านแม่ ก็ข้าหิวนี่” สวี่หลิงอินเงยหน้าแล้วเอ่ยอย่างน้อยใจ
“ท้องเจ้าเคยอิ่มด้วยหรือ” อาสะใภ้เกลียดที่หลอมเหล็กไม่กลายเป็นเหล็กกล้า “พี่ชายแท้ๆ ของเจ้ามีเคราะห์ใหญ่มาจ่ออยู่บนหัวแล้ว เจ้ายังมีอารมณ์กินอยู่อีกหรือ เจ้าตัวไร้หัวใจ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง