บทที่ 317 มือมืดเบื้องหลังที่ยื่นออกมาหน้าม่าน (1)
หวางเจินเหวินเป็นบัณฑิตประจำหอสมุดหลวง ดังนั้นหอสมุดหลวงจึงกลายเป็นสถานที่ทำงานของขุนนางระดับบัณฑิตไปโดยปริยาย
ในห้องโถง หวางเจินเหวินผู้มีผมสีดอกเลาและสวมชุดสีแดงกำลังนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะของเขา ขุนนางบุ๋นและเจ้าพนักงานคนอื่นๆ ต่างก็ยุ่งอยู่กับงานของตนเอง บางครั้งก็จะมีเสียงพูดคุยดังแผ่วๆ แต่โดยรวมแล้วถือว่าเงียบสงบ
หากมีความเห็นไม่ตรงกัน พวกขุนนางบุ๋นก็จะไปที่ห้องโถงด้านข้างเพื่อโต้เถียงหาผู้ชนะ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อปัญญาชนทะเลาะกัน ก็มักจะไม่มีใครยอมใครอยู่ดี
สุดท้ายก็ต้องให้หัวหน้าเป็นคนตัดสิน
“ใต้เท้าสมุหราชเลขาธิการ คุณหนูซือมู่มาขอเข้าพบขอรับ” เจ้าพนักงานที่คุ้มกันอยู่นอกประตูเดินเข้ามาด้วยท่าทีสำรวม เสียงพูดก็แผ่วเบาเป็นอย่างยิ่ง
พู่กันที่กำลังโบกสะบัดของสมุหราชเลขาธิการหวางหยุดลงทันใด น้ำหมึกหยดลงบนหน้ากระดาษและกลายเป็นรอยหมึกสีดำกลุ่มหนึ่งทันที
‘นางเข้าวังมาได้อย่างไรกัน…แล้วมาที่สำนักราชเลขาธิการทำไม…’ ข้อสงสัยสองประการผุดขึ้นมาในสมองของสมุหราชเลขาธิการหวาง
หอสมุดหลวงอยู่ทางทิศตะวันออกของวัง แต่ไม่ได้อยู่ภายในกำแพงสูงของพระราชวัง ทว่าดูจากกฎเกณฑ์แล้วก็ถือว่าอยู่ในเขตพระราชวังเช่นกัน ด้านนอกก็มีทหารติดอาวุธครบมือคอยคุ้มกัน ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องล้วนแต่เข้ามาไม่ได้
และบุตรสาวของสมุหราชเลขาธิการก็อยู่ใน ‘ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้อง’ เหล่านี้ด้วย
“ไม่…อืม ให้นางเข้ามาก็แล้วกัน เข้ามาทางประตูหลัง ข้าจะไปรอที่โถงด้านข้าง” สมุหราชเลขาธิการหวางวางพู่กันลง กุมมือข้างหนึ่งไว้ข้างหลัง อีกข้างกุมไว้ที่หน้าท้อง แล้วเดินออกจากโถงด้านในไปยังโถงด้านข้างด้วยกิริยานิ่งสงบ
หลังจากรออยู่ที่ห้องโถงด้านข้างพักหนึ่ง หวางซือมู่ผู้สงบเสงี่ยมและใจดีมีเมตตาก็เข้ามาพร้อมกับกล่องอาหาร นางวางมันลงบนโต๊ะอย่างแผ่วเบา ก่อนเอ่ยเรียกเสียงหวาน “ท่านพ่อ!”
สมุหราชเลขาธิการหวางรับคำ ‘อืม’ แล้วเอ่ยอย่างไม่พอใจ “เจ้าไม่ได้ไปล่องทะเลสาบกับเพื่อนสนิทหรอกหรือ มาที่สำนักราชเลขาธิการทำอะไรกัน ใครพาเจ้าเข้ามาในวัง”
หวางซือมู่ยิ้มพลางเปิดกล่องอาหารอย่างไม่รีบร้อน จากนั้นก็ยกน้ำแกงปลาส่งกลิ่นหอมกรุ่นออกมาพลางเอ่ยเสียงอ่อนโยน
“ตอนที่ล่องทะเลสาบ ลูกเห็นว่าปลาคาร์ปในน้ำตัวอวบอ้วนนัก จึงให้คนจับมาแล้วรีบนำกลับจวนตอนที่มันยังสดๆ อยู่ จากนั้นจึงนำมาทำเป็นน้ำแกงปลาให้ท่านพ่อด้วยตัวเองเจ้าค่ะ ท่านพ่อยุ่งอยู่กับงานราชการ แต่ก็ควรจะใส่ใจกับร่างกายด้วย ดื่มน้ำแกงบำรุงให้มากหน่อยนะเจ้าคะ”
สีหน้าของสมุหราชเลขาธิการหวางอ่อนโยนลงเล็กน้อย เขาได้กลิ่นหอมชวนน้ำลายสอ จึงชิมไปหนึ่งคำแล้วแสดงสีหน้าเปี่ยมสุขออกมาทันที ก่อนเอ่ยชื่นชม
“ใส่ผงปรุงรสไก่ลงไปในน้ำแกงปลาเช่นนี้ ช่างเป็นรสชาติที่ยอดเยี่ยมจริงๆ สำนักโหราจารย์สร้างของสิ่งนี้ออกมาได้ ถือเป็นลาภปากของประชาชนชาวต้าฟ่งยิ่งนัก”
หลังจากที่ผงปรุงรสไก่ซึ่งสร้างโดยสำนักโหราจารย์เข้าสู่ตลาด มันก็ได้รับความนิยมจากผู้คนทุกชนชั้นทันที ทุกวันนี้ อาหารในบ้านของชนชั้นสูงและขุนนาง รวมถึงคหบดีผู้มั่งคั่งในเมืองหลวงล้วนต้องใส่ผงปรุงรสไก่อย่างเลี่ยงไม่ได้
และในบางครั้ง ชาวบ้านทั่วไปก็จะโรยใส่ในกับข้าวเล็กน้อยเพื่อเพิ่มรสชาติเช่นกัน
หวางเจินเหวินไม่ได้เห็นสำนักโหราจารย์สร้างของดีๆ เช่นนี้ออกมานานหลายปีแล้ว
หวางซือมู่ถือโอกาสเอ่ย “ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินข่าวลือเรื่องหนึ่งเจ้าค่ะ บอกว่าความจริงแล้วสำนักโหราจารย์ไม่ได้คิดค้นผงปรุงรสไก่ขึ้นมา แต่เป็นคนอื่นเจ้าค่ะ”
หวางเจินเหวินชะงัก “คนอื่นอย่างนั้นหรือ”
หวางซือมู่ยิ้มกล่าว “ได้ยินองค์หญิงหลินอันกล่าวว่า ผู้ที่คิดค้นผงปรุงรสไก่ตัวจริงก็คือฆ้องเงินสวี่ชีอันเจ้าค่ะ สำนักโหราจารย์เพียงนำมาปรับปรุงและเผยแพร่ออกไปเท่านั้น”
เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้หวางเจินเหวินไม่เคยสนใจอยู่แล้ว แต่เมื่อได้ยินบุตรสาวกล่าวขึ้นมาดังนั้นก็นิ่งงันไปพักหนึ่ง ผ่านไปนานก็ยังไม่เอ่ยอะไร
“ชายผู้นี้ฉลาดเหนือใคร ฝีมือสูงล้ำ…” หวางเจินเหวินทอดถอนใจแล้วส่ายหน้า จากนั้นก็ดื่มน้ำแกงปลาต่อ
หวางซือมู่ยังคงสนทนาต่อไป “เดิมทีลูกตั้งใจจะให้หน่วยองครักษ์ราชวัลลภนำน้ำแกงปลามาส่งให้ท่านแทน กลับไม่คาดว่าจะเจอกับองค์หญิงหลินอันระหว่างทาง จึงตามเสด็จองค์หญิงเข้าวังมาเจ้าค่ะ”
ตอนนี้เอง หวางเจินเหวินก็ได้รับคำตอบของคำถามสองข้อนั้นเสียที
หวางซือมู่ไม่รอให้หวางเจินเหวินดื่มน้ำแกงปลาจนหมด นางก็ลุกขึ้นขอตัวลา “ท่านพ่อ ท่านค่อยๆ ดื่มนะเจ้าคะ หากเลิกงานแล้วอย่าลืมนำชามกลับบ้านด้วย หอสมุดหลวงห้ามมิให้สตรีเข้ามา เช่นนั้นลูกขอตัวก่อนนะเพคะ”
และคำถามข้อสุดท้ายก็ได้รับคำตอบสมบูรณ์…นางมาที่หอสมุดหลวงก็เพื่อส่งน้ำแกงปลาให้บิดาชรานั่นเอง
หวางเจินเหวินเผยรอยยิ้มออกมาแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “กลับไปเถิด ความกตัญญูของมู่เอ๋อร์ พ่อจดจำไว้แล้ว”
‘มีบิดาเป็นจิ้งจอกเฒ่าเช่นนี้ช่างรับมือยากเหลือเกิน เล่นแง่เล่นกลกับเขาช่างเหนื่อยยิ่งนัก…’ หวางซือมู่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วยิ้มหวานก่อนหันกายเดินจากห้องโถงด้านข้าง ทว่านางไม่ได้ออกจากหอสมุดหลวงจริงๆ แต่กวักมือเรียกสาวใช้ที่รออยู่ด้านนอก
สาวใช้รีบถือกล่องอาหารอีกกล่องวิ่งเข้ามาทันที จากนั้นสองนายบ่าวก็ตรงไปยังห้องทำงานของบัณฑิตอีกคน
…
ในห้องโถงด้านข้างอีกแห่งหนึ่ง หวางซือมู่วางกล่องอาหารไว้บนโต๊ะแล้วหยิบน้ำแกงปลาหอมกรุ่นออกมา ก่อนพูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านอาเฉียน วันนี้ข้าไปล่องทะเลสาบและเห็นว่าปลาในทะเลสาบนั้นอวบอ้วนมาก จึงให้คนจับมาสองสามตัวและทำน้ำแกงปลาให้ท่านและท่านพ่อเจ้าค่ะ”
เฉียนชิงซูเป็นชายชราร่างสูงผอม เขาแตกต่างจากหวางเจินเหวินที่ดูมีสง่าราศีและเข้มงวด ตัวเขานั้นมีบุคลิกอ่อนโยนและเป็นกันเองยิ่งกว่า ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นผู้อาวุโสที่คุยด้วยง่าย
เฉียนชิงซูและหวางเจินเหวินเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนกัน อีกทั้งยังเป็นบัณฑิตขั้นสูงขั้นเดียวกันด้วย เมื่อพูดถึงเรื่องคะแนน เฉียนชิงซูในปีนั้นสอบได้ทั่นฮวาอันดับสาม ส่วนหวางเจินเหวินอยู่ขั้นที่สอง และต่อมาได้รับเลือกให้เข้ามาในสำนักบัณฑิตฮั่นหลิน และรับตำแหน่งเป็นบัณฑิตทดลอง
“เบื้องบนต้องการของ ขุนนางร้องหาไม้ เบื้องบนต้องการปลา ขุนนางให้ธัญพืช…รสชาติยอดเยี่ยมที่มีมาแต่โบราณ” เฉียนชิงซูลองชิมไปหนึ่งคำก็พลันดวงตาสว่างวาบ “อืม อร่อย”
การได้ดื่มน้ำแกงปลาถ้วยหนึ่งตอนกำลังทำงานยุ่งๆ เช่นนี้ช่างยอดเยี่ยมเสียจริง!
“ช่วงนี้หลานได้ยินข่าวเรื่องหนึ่ง บอกว่าสวี่ฮุ่ยหยวนถูกจับขังคุกเพราะฉ้อโกงในการสอบคัดเลือกช่วงวสันต์หรือเจ้าคะ” หวางซือมู่แสร้งทำอยากรู้อยากเห็น
ท่าทีของเฉียนชิงซูชะงักไป จากนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อย “ผู้ตรวจสอบฝ่ายซ้ายที่ได้รับตำแหน่งใหม่ฟ้องร้องว่าจ้าวถิงฟางจากราชวิทยาลัยตงเก๋อรับสินบน และมอบข้อสอบให้กับสวี่ซินเหนียน และ ‘ความลำเค็ญยามเดินถนน’ ของสวี่ซินเหนียนบทนั้น เขาก็ไม่ได้เขียนออกมาเอง แต่เป็นสวี่ชีอัน ลูกพี่ลูกน้องของเขาแต่งมาให้”
‘สวี่ชีอันเป็นคนแต่งกลอนของสวี่ฮุ่ยหยวน? เรื่องนี้ยังเกี่ยวข้องกับจ้าวถิงฟางแห่งราชวิทยาลัยตงเก๋อเสียด้วย…’ สีหน้าของหวางซือมู่เปลี่ยนไป ความคิดต่างๆ ฉายวาบในหัว นางเก็บสีหน้าได้ดีแล้วเอ่ยถาม
“ท่านอาเฉียนค่อยๆ ดื่มแล้วบอกหลานหน่อยเถิดว่าเรื่องเป็นอย่างไร”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง