อ่านสรุป บทที่ 317-2 มือมืดเบื้องหลังที่ยื่นออกมาหน้าม่าน (2) จาก ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet
บทที่ บทที่ 317-2 มือมืดเบื้องหลังที่ยื่นออกมาหน้าม่าน (2) คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง
บทที่ 317 มือมืดเบื้องหลังที่ยื่นออกมาหน้าม่าน (2)
ตอนบ่าย สวี่ชีอันก็เดินออกมาจากหอเฮ่าชี่ ในสมองมีเสียงของเว่ยเยวียนดังก้อง ‘เฉากั๋วกงและอ๋องสยบแดนเหนือสนิทสนมกันมาก’
เย็นวานนี้ ตอนที่เขาได้รับ ‘จดหมายลับ’ จากหวางซือมู่ เขาก็คิดคนเดียวอยู่ตั้งนาง รู้สึกว่าเรื่องนี้มีความน่าเชื่อถือสูง แต่เขาก็ยังไม่เชื่อง่ายๆ
หลังจากทานอาหารกลางวันของวันนี้เสร็จ เขาจึงไปตรวจสอบกับเว่ยเยวียนและได้รับคำตอบที่แน่ชัดมา
อ๋องสยบแดนเหนือกับข้าไม่มีความเกี่ยวข้องกัน เรื่องนี้น่าจะเป็นความคิดของเฉากั๋วกงแต่เพียงผู้เดียว แต่ข้ากับเฉากั๋วกงก็ไม่ได้รู้จักมักจี่กันนี่นา แล้วเขาเพ่งเล็งมาที่ข้าทำไมกัน
พลังเทพวชิระ…ความคิดนี้แวบเข้ามาในหัวของสวี่ชีอัน
ระหว่างทางกลับไปโถงอี้เตา เขาก็พบกับเจ้าพนักงานคนหนึ่งซึ่งกำลังตามหาเขาอยู่ “ใต้เท้าสวี่ ด้านนอกมีคนมาหาท่านขอรับ”
“ใคร?” สวี่ชีอันสายคาสาดประกายวาบ
“คนจากจวนไหวอ๋องขอรับ” เจ้าพนักงานตอบ
จวนไหวอ๋อง…สวี่ชีอันพ่นลมหายใจอย่างขุ่นเคือง “รู้แล้ว”
เขาหันหลังกลับทันทีแล้วเดินออกจากที่ทำการปกครอง เมื่อมาถึงหน้าประตู เขาก็เห็นรถม้าหรูหราคันหนึ่งจอดอยู่ริมถนน ทหารยามในชุดเกราะถืออาวุธคมกริบสองแถวยืนขนาบข้างรถม้า
เมื่อเห็นสวี่ชีอันออกมาก็มีทหารยามเอ่ยขึ้นทันที “ฆ้องเงินสวี่หรือ?”
สวี่ชีอันพยักหน้า
“ท่านแม่ทัพฉู่รอเจ้าอยู่ในรถ” ทหารกล่าว
…หลังจากไตร่ตรองพักหนึ่ง เขาก็ตามทหารคุ้มกันไปข้างรถม้า และได้ยินเสียงแหบพร่าอันหนักแน่นของชายคนหนึ่งดังมาจากด้านใน”เข้ามาคุยข้างใน”
น้ำเสียงนั้นยืดยาวเปี่ยมอำนาจ ราวกับเป็นคำสั่งมากกว่า
สวี่ชีอันเข้าไปในรถม้า
ในรถม้าอันกว้างขวาง ชายมีหนวดเครานั่งอยู่ข้างใน เขาสวมเสื้อคลุมสีม่วงอ่อน ใบหน้าเป็นสี่เหลี่ยม ผิวคล้ำ มีดวงตาที่เหมือนพ่นกระแสไฟฟ้าออกมาได้ ท่าทางกดดันทรงอำนาจ
ชายมีหนวดเคราผายมือเชิญและโบกมือให้สวี่ชีอันนั่งลง ก่อนเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
“ได้ยินว่าญาติผู้น้องของฆ้องเงินสวี่เกี่ยวข้องกับคดีโกงการสอบขุนนางหรือ”
สวี่ชีอันจ้องมองเขาแล้วเอ่ยถาม “ท่านแม่ทัพคือ…”
ชายมีเคราตอบสั้นๆ “ฉู่เซียงหลง รองแม่ทัพของท่านอ๋องสยบแดนเหนือ”
รองแม่ทัพของท่านอ๋องสยบแดนเหนือ…สวี่ชีอันพลันหรี่ตาลงทันที “ท่านแม่ทัพมิควรอยู่พิทักษ์ทางเหนือหรอกหรือ กลับมาที่เมืองหลวงได้อย่างไรกัน”
“นี่ไม่ใช่สิ่งที่ฆ้องเงินอย่างเจ้าควรถาม” ชายมีเคราเอ่ยเสียงเรียบ
เขาหยุดไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยต่อ “ข้ามาหาเจ้าเพื่อทำข้อตกลงหนึ่งอย่าง”
“ท่านแม่ทัพเชิญกล่าว”
“มอบวิธีการฝึกพลังเทพวชิระออกมา แล้วข้าจะช่วยเจ้านำคนออกจากคุก” ฉู่เซียงหลงจ้องมองเขาด้วยสายตาร้อนระอุ
ที่แท้ก็ทำเพื่อพลังเทพวชิระ ก็จริง จอมยุทธ์ที่ไหนไม่เฝ้าคิดถึงพลังเทพที่ใช้คุ้มกายเช่นนี้บ้างล่ะ ในร่างอมตะของไต้ซือเสินซู่ก็มีพลังเทพวชิระอยู่ แม้ว่าจะเป็นจอมยุทธ์ระดับสูงต่างก็ต้องจ้องวิชานี้ตาเป็นมัน…
เพราะเหตุนี้ เฉากั๋วกงและคนผู้นี้จึงวางแผนจะชิงพลังเทพวชิระไปจากข้า โดยใช้กลยุทธ์ปล้นชิงไปตามไฟ แล้วหาประโยชน์กับข้าสินะ…
“ระดับเพชรไร้พ่ายของสำนักพุทธไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะเรียนรู้ได้ จะต้องมีวาสนาใหญ่เสียก่อน” สวี่ชีอันเอ่ยเตือน
“ข้าไม่จำเป็นต้องให้เจ้าเตือน เจ้าได้เรียนรู้วิชาพลังเทพวชิระไปแล้ว แปลว่าเข้าใจความหมายของมันอย่างถ่องแท้ และสามารถสลักความหมายแฝงของพลังเทพวชิระออกมาได้ ดังนั้น จะฝึกได้หรือไม่ ก็เป็นเรื่องของข้าเท่านั้น” ฉู่เซียงหลงเอ่ยอย่างมั่นอกมั่นใจ
“ตราบใดที่เจ้าสลักความหมายเร้นลับของวิชาพลังเทพนี้ออกมา ข้าก็มีทางช่วยเจ้านำคนออกมาได้”
เจ้าไม่ใช่แค่ขูดเลือดขูดเนื้อข้าเท่านั้น แต่ยังคิดจะเล่นกับสติปัญญาของข้าด้วยสินะ สวี่ชีอันหัวเราะเยาะในใจแล้วเอ่ยถาม
“ขอบังอาจถาม ท่านแม่ทัพจะช่วยคนอย่างไร”
“ข้าย่อมมีวิธีของข้า” ฉู่เซียงหลงตอบอย่างใจเย็น
“เบื้องหลังของคดีนี้ซับซ้อนและเกี่ยวพันเป็นวงกว้าง ขุนนางบุ๋นเหล่านั้นไม่ยอมฟังท่านหรอก ท่านแม่ทัพ อย่าคิดว่าข้าอายุสามขวบนะขอรับ” สวี่ชีอันยิ้มเยาะอย่างไม่เกรงใจ
“ข้าเพียงบอกจะช่วยคนออกมา มิได้บอกว่าจะลบล้างความผิดให้เขา” ฉู่เซียงหลงจดจ้องสวี่ชีอันด้วยสายตาคมกริบแล้วเอ่ยว่า
“เขาก็เป็นเพียงหมากเล็กๆ คนหนึ่ง ไม่มีใครดันทุรังยึดติดกับเขาจริงๆ หรอก ข้ามั่นใจว่าจะลดโทษหนักให้เป็นเบาได้แน่ ไม่เกินสามปี เขาจะสอบขุนนางได้อีกครั้ง ด้วยความอุตสาหะของสำนักอวิ๋นลู่ที่ชิงโจว นี่จะเป็นหนทางที่ดีที่สุดของเขา”
สวี่ชีอันดวงตาสว่างวาบ “ดี! ทว่าสิ่งที่ข้าต้องการคือให้ช่วยคนก่อน”
ฉู่เซียงหลงพยักหน้า “ได้”
หลังจากเสร็จสิ้นการสนทนาและออกมาจากรถม้า สวี่ชีอันก็ยืนอยู่ริมถนนด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
ตอนนี้เขาสามารถยืนยันจุดประสงค์ที่แท้จริงของเฉากั๋วกงผู้อยู่เบื้องหลังได้แล้ว
คนกลุ่มนี้คิดจะชิงวิชาพลังเทพวชิระของข้าตั้งแต่ต้นแล้ว ก่อนหน้านี้ข้ามีสิทธิ์มีเสียงมาก พวกเขาจึงหวาดกลัว แต่ตอนนี้มากดเอ้อร์หลางไว้โดยใช้คดีฉ้อโกงการสอบขุนนางเพื่อทำให้ข้าเชื่อฟังแล้วมอบพลังเทพวชิระมาแต่โดยดีสินะ…
ได้ เช่นนั้นมาดูกันว่าข้าจะหลอกพวกเจ้ากลับอย่างไร
เมื่อรถม้าหายลับตาไป เขากลับไม่ได้กลับไปยังที่ทำงานหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ทว่าหายตัวไปที่ปลายสุดของถนนสายยาว
…
หลังจากผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืน คนที่มีเจตนาแอบแฝงก็ได้เผยแพร่และส่งเสริมจนข่าวลือเรื่องการฉ้อโกงการสอบขุนนางปะทุออกมาในวันรุ่งขึ้น
ตั้งแต่ขุนนางจนถึงสามัญชนล้วนแต่พูดคุยกันถึงเรื่องนี้ จนมันกลายเป็นเรื่องสนทนาหลังอาหารไปแล้ว การอภิปรายที่ดุเดือดที่สุดเกิดขึ้นในหมู่บัณฑิต มีคนไม่เชื่อว่าสวี่ฮุ่ยหยวนจะโกงจริง แต่ปัญญาชนส่วนใหญ่กลับเลือกที่จะเชื่อ และปรบมือชื่นชมที่ราชสำนักทำงานได้ดี พร้อมกล่าวว่าควรจะลงโทษผู้ที่โกงการสอบขุนนางอย่างรุนแรงและให้คำอธิบายต่อปัญญาชนในใต้หล้า
ชื่อเสียงของสวี่ซินเหนียนพลิกผันไปอย่างรวดเร็ว จากที่เป็นฮุ่ยหยวนผู้ได้รับการยกย่องชื่นชม ก็กลายเป็นคนต่ำต้อยที่ถูกชี้นิ้วด่าจากผู้คนนับพัน
ทว่าสวี่ซินเหนียนที่อยู่ในคุกกลับไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย เขากำลังจะต้องเผชิญหน้ากับการสอบสวนครั้งแรกของกรมอาญา
‘ปัง ปัง’…ทหารประจำคุกใช้กระบองตีกรงไม้แล้วเอ่ยเสียงดุ
“สวี่ซินเหนียน ตามข้ามา พวกใต้เท้าจะสอบปากคำเจ้า”
อีกด้านหนึ่งในห้องสอบปากคำ รองเจ้ากรมอาญาและเซ่าอิ่นจากที่ว่าการเมืองนั่งอยู่หลังโต๊ะ พวกเขาดื่มชาพลางพูดคุยเรื่องคดีนี้ไปด้วย
“ใต้เท้ารองเจ้ากรม เหตุใดจึงไม่อาจใช้ทัณฑ์ทรมานหรือ” เขาสงสัย
“คำสั่งของเจ้ากรมซุนน่ะ” รองเจ้ากรมอธิบายหนึ่งประโยค จากนั้นก็เอ่ยอย่างเย้ยหยัน
“สวี่ซินเหนียนผู้นั้นก็แค่เด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม อีกเดี๋ยวข้าจะตีแสกหน้าให้เขาคุมอารมณ์ไม่ได้ จากนั้นก็จะตะล่อมสอบปากคำ ถึงเวลานั้น คงต้องรบกวนใต้เท้าเซ่าอิ่นเล่นบทคนดีด้วยแล้ว”
เซ่าอิ่นจากที่ว่าการเมืองพยักหน้ากล่าว “เราใช้ทัณฑ์ทรมานมาขู่เขาก็ได้ บัณฑิตสมัยนี้มีฝีปากเก่งกล้านัก แต่เมื่อเห็นเลือดก็จะพากันหน้าถอดสีทั้งนั้น”
ขุนนางทุกคนยิ้ม พวกเขาล้วนแต่เป็นขุนนางสอบสวนผู้มีประสบการณ์มาก การรับมือบัณฑิตหนุ่มคนหนึ่งถือเป็นเรื่องกล้วยๆ
ทหารประจำคุกพาสวี่ซินเหนียนออกมาจากห้องขังมายังห้องสอบสวน แล้วคำนับต่อขุนนางทั้งหลายภายในห้อง
“ใต้เท้าทุกท่าน นำตัวคนร้ายสวี่ซินเหนียนมาแล้วขอรับ”
หลังจากพูดจบเขาก็เดินออกไปอย่างรู้ความ
สวี่ซินเหนียนยืนอยู่ที่ประตูพลางกวาดตามองในห้องสอบสวน มีขุนนางสวมชุดคลุมสีแดงสองคนนั่งอยู่ที่โต๊ะประธาน ซึ่งก็คือรองเจ้ากรมอาญาและเซ่าอิ่นจากที่ว่าการเมือง
ทั้งสองฝ่ายมีขุนนางหลายคนมาร่วมสอบปากคำ รวมถึงมีเจ้าพนักงานจดบันทึก นอกจากนั้นยังมีโหรชุดขาวจากสำนักโหราจารย์อีกหนึ่งคน
ทั้งสองเดินออกจากคุกแล้วไปยังห้องโถงด้านข้าง พลางดื่มชาสนทนากัน
“อย่างที่คิด สำนักโหราจารย์กำลังช่วยสวี่ซินเหนียนจริงๆ” รองเจ้ากรมอาญากล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
เซ่าอิ่นจากที่ว่าการเมืองเพียงหัวเราะน้อยๆ แต่ไม่กล่าวอะไร ใน ‘คดีฉ้อโกงการสอบขุนนาง’ นี้ ที่ว่าการเมืองจะคอยรอดูอยู่เงียบๆ และไหลไปตามกระแสมากกว่า
“วันหน้าไม่ต้องเชิญโหรจากสำนักโหราจารย์มาแล้ว” รองเจ้ากรมอาญากล่าว
“ย่อมได้” เซ่าอิ่นพยักหน้า
…
วันต่อมา เซ่าอิ่นแห่งที่ว่าการเมืองก็มายังกรมอาญาและร่วมการสอบสวนสวี่ซินเหนียนอีกครั้ง ทว่ากลับถูกเจ้าพนักงานนำตัวไปพบกับเจ้ากรมซุน
“ใต้เท้าเซ่าอิ่น เชิญนั่ง” เจ้ากรมซุนนั่งอยู่บนเก้าอี้แล้วเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม
“ข้าน้อยคารวะใต้เท้าเจ้ากรม” เซ่าอิ่นโค้งคำนับ จากนั้นก็นั่งลง
เจ้ากรมซุนจิบชาร้อนๆ แล้วถือถ้วยชาไว้พร้อมเอ่ยทอดถอนใจ “ฝ่าบาททรงจับตามองคดีนี้อย่างยิ่ง ทรงเน้นย้ำมาหลายหนว่าให้เราสืบความจริงมาให้ได้โดยเร็วที่สุด ตอนนี้ผู้ดูแลบ้านของจ้าวถิงฟางสารภาพแล้ว เราเพียงต้องง้างปากของสวี่ซินเหนียนเท่านั้น คดีนี้จึงจะสิ้นสุด เจ้าว่าจริงหรือไม่”
เซ่าอิ่นยืดหลังตรง แล้วเอ่ยอย่างระมัดระวัง “เอ่อ…ใต้เท้าเจ้ากรมไม่อาจใช้การลงทัณฑ์ แล้วเช่นนี้สวี่ซินเหนียนจะยอมรับผิดได้อย่างไรหรือขอรับ”
เจ้ากรมซุนยิ้มตาหยี “การให้คนยอมรับผิด ไม่จำเป็นต้องใช้การลงทัณฑ์หรอก”
เซ่าอิ่นเข้าใจทันใด เขาเผยสีหน้าลำบากใจ
เจ้ากรมซุนยิ้มอบอุ่น “ไม่ต้องรีบร้อน เจ้ากลับไปลองถามข้าหลวงเฉินดูแล้วค่อยตัดสินใจเถิด”
…
เซ่าอิ่นกลับไปที่ที่ว่าการเมือง แล้วนำคำพูดของเจ้ากรมซุนไปบอกกล่าวแก่ข้าหลวงเฉิน
ข้าหลวงเฉินไม่ลังเลแม้เพียงนิด “ได้ ทำตามที่เจ้ากรมซุนกล่าว”
เซ่าอิ่นเอ่ยอย่างลำบากใจ “ใต้เท้า เรื่องนี้ไม่เป็นไปตามระเบียบนะขอรับ หากว่าสวี่ซินเหนียนเป็นผู้บริสุทธิ์ละก็…”
ข้าหลวงเฉินนั่งอยู่หลังโต๊ะพลางเอ่ยเย้ยหยัน “ไม่สำคัญว่าสวี่ซินเหนียนบริสุทธิ์หรือไม่ เขาเป็นเพียงหมากตัวเล็กๆ เท่านั้น สิ่งที่คนพวกนั้นต้องการคือ ‘หลักฐานการทำผิด’ มิใช่ความจริง เมื่อมีหลักฐานแล้ว พวกเขาก็สามารถนำไปต่อสู้กันในท้องพระโรงได้ พอมีหลักฐาน พวกเขาจึงจะมีเหตุผลรองรับ ฝ่าบาทก็จะคิดว่าพวกเขาเปี่ยมด้วยเหตุผลเช่นกัน ท้องพระโรงวันพรุ่งนี้ เกรงว่าคงมีละครให้ดูเสียแล้ว หากเราไม่ตกลง เช่นนั้นคดีก็จะติดอยู่ตรงนี้ พอถึงตอนนั้น หมวกที่อยู่บนหัวของเจ้าก็คงไม่อาจเอามาคลุมศีรษะได้”
เซ่าอิ่นจะกล่าวอันใดได้อีก เขารวบมือเอ่ย “ใต้เท้ามองการณ์ไกลนักขอรับ”
ข้าหลวงเฉินส่ายหน้า “เว่ยกงกลับไม่ลงมือทำอะไร แปลก แปลกยิ่งนัก…เจ้าส่งหลี่ว์ชิงไปที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลดู แล้วเผยเรื่องนี้ให้สวี่ชีอันรู้ทีสิ”
เซ่าอิ่นออกมาจากที่ว่าการเมืองแล้วไปยังกรมอาญา เขายังไม่ได้เข้าไปสอบสวนผู้กระทำผิด เพียงนำคำตอบของข้าหลวงเฉินไปบอกให้กับเจ้ากรมซุนรู้
เจ้ากรมซุนยิ้มอย่างพึงพอใจ “ใต้เท้าเซ่าอิ่น หลังคดีนี้จบลง ข้าจะจัดงานเลี้ยงที่จวน ถึงเวลานั้นเจ้าต้องมาด้วยล่ะ มีใต้เท้าหลายท่านเลยนะที่อยากทำความรู้จักกับเจ้า”
…
วันต่อมา ท้องฟ้าสว่างสดใส
ขุนนางบุ๋นบู๊รักษาความเงียบงันขณะเดินผ่านเข้าไปทางประตูอู่อย่างมีระเบียบเพื่อเข้าร่วมประชุมที่ท้องพระโรง
ผ่านไปหนึ่งเค่อ สวี่ชีอันในชุดหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลก็ก้าวเท้าเข้ามา ด้านซ้ายของเขาคือฮว๋ายชิ่งผู้สวมชุดชาววังสีเรียบ นางเย็นชาราวกับเทพธิดาในภาพวาด
ทางขวามือคือหลินอันในชุดแดงราวกับเปลวเพลิง ใบหน้าเปี่ยมเสน่ห์ ดวงตาเย้ายวนผู้คน
“เจ้ามั่นใจเพียงใด” ฮว๋ายชิ่งหันหน้าไปมองหนิงเยี่ยนที่อยู่ข้างๆ
สวี่ชีอันคำนับให้กับท้องฟ้าแล้วเอ่ยพึมพำ “ครึ่งครึ่งพ่ะย่ะค่ะ”
…………………………………………………….
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง
ขอเรื่องนี้อีกเรื่องได้ไหม "เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า" ยังอ่านไม่จบเลย...
ทุกเรื่องเลยครับที่อ่านไม่จบอ่านกำลังมันอยู่ดีๆก็หยุดขอให้เรื่องนี้ไม่หยุดได้ไหมครับ ถ้าเรื่องนี้ไม่จบเราก็จะไม่อ่านนิยายของ th.freechap.com แล้วครับ...