บทที่ 318 หนึ่งเดียวผู้ขัดขวางขุนนางใหญ่ (2)
ในฐานะกระดูกสันหลังคนสำคัญของพรรคหวาง เจ้ากรมซุนส่งสายตาให้สมุหราชเลขาธิการหวางเป็นพักๆ
‘พี่ใหญ่ ท่านเป็นอะไรไป พวกเราสู้กันเลือดตาแทบกระเด็น ท่านจะไม่พูดอะไรเลยหรือ’
สมุหราชเลขาธิการหวางสังเกตเห็นสายตาของเจ้ากรมซุน ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ในมุมมองของเขา เขาไม่สนว่าใครจะแพ้หรือชนะในคดีนี้ ประการแรกเว่ยเยวียนไม่ได้ลงสนามเอง และประการที่สองสวี่ซินเหนียนไม่อาจเป็นตัวแทนของสำนักอวิ๋นลู่ได้ทั้งหมด
ไม่ถูกใจเอาเสียเลย เขาหันกลับไปหาเหตุผลไล่ต้อนให้จนมุม
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เจ้ากรมซุนผู้เป็นกระดูกสันหลังของพรรคหวางพุ่งเข้าปะทะ หากเขานิ่งดูดายในตอนนี้ อีกฝ่ายคงจะผิดหวังน่าดู นั่นเป็นข้อเสียของพรรคพวก
หลายครั้งก็ไม่มีอิสระ
“ฝ่าบาท กระหม่อมมีวิธีที่จะปิดคดีนี้ได้โดยเร็วพ่ะย่ะค่ะ” สมุหราชเลขาธิการหวางก้าวออกมาคำนับ และพูดเนิบๆ
“จ้าวถิงฟางปราชญ์มหาสำนักตงเก๋อทำการเปิดเผยข้อสอบจริงหรือไม่ แค่ทดสอบสวี่ซินเหนียนดูสักครั้งย่อมประจักษ์พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทโปรดรับสั่งให้เขาเข้าวัง และทำการสอบต่อหน้าพระพักตร์ ให้เขาแต่งกลอนต่อหน้าเหล่าขุนนาง
“บทกลอน ‘เส้นทางลำเค็ญ’ บทนั้นถูกเขียนขึ้นโดยผู้อื่นหรือไม่ เพียงทดสอบดูย่อมทราบได้ ส่วนการสอบหลักคำสอนและนโยบายนั้น ในการสอบต่อหน้าพระที่นั่งที่ใกล้เข้ามานี้ สวี่ซินเหนียนเป็นอัจฉริยะที่แท้จริงหรือไม่ หลังจากที่ฝ่าบาททรงอ่านบทความของเขาแล้ว ฝ่าบาทโปรดตัดสินด้วยพระองค์เถิดพ่ะย่ะค่ะ
“หากเขาเป็นคนโง่เขลา ก็แสดงว่ามีการรั่วไหลของข้อสอบจริง มีการทุจริตเกิดขึ้นจริง ก็ต้องถูกลงโทษสถานหนัก”
จักรพรรดิหยวนจิ่งทอดพระเนตรมองสมุหราชเลขาธิการหวางสักครู่ ก็แย้มพระสรวลและตรัสว่า “ที่พูดมานั้นมีเหตุผล อย่างที่เจ้าว่า”
สีหน้าของเจ้ากรมซุนและคนอื่นๆ ดูปีติยินดี คำพูดของสมุหราชเลขาธิการหวาง ฟังดูเหมือนจะเป็นการประนีประนอมในทีแรก แต่แท้จริงแล้วมีความลำเอียงอยู่ชัดเจน
ฝ่าบาททรงกำหนดหัวข้อทดสอบบทกวี และให้สวี่ซินเหนียนเขียนบทกลอนในท้องพระโรง ทั่วทั้งต้าฟ่ง มีเพียงกวีเอกสวี่ชีอันเท่านั้นที่ทำได้
หากสอบไม่ผ่าน จะหวังอะไรกับการสอบหน้าพระที่นั่ง[1]
อวี้อ๋องรีบทูล “ฝ่าบาท วิธีนี้ไร้สาระเกินไป บทกวีที่แสนยอดเยี่ยมเช่นนี้ คนไม่เอาอ่าวจะแต่งออกมาได้ดั่งใจหรือพ่ะย่ะค่ะ”
จางสิงอิงรีบสำทับ
หยวนสยง เจ้ากรมการตรวจตราฝ่ายซ้ายยิ้มและกล่าวว่า “ในสนามสอบ เวลามีจำกัดเช่นกัน สวี่ฮุ่ยหยวนก็เคยแต่งบทกลอนออกมาได้ตั้งหนึ่งบท เหตุใดจึงจะแต่งบทที่สองออกมาอีกไม่ได้เล่า
“คำพูดของอวี้อ๋องนั้นฟังไม่ขึ้น สวี่ซินเหนียนสามารถสร้างผลงานชิ้นเอกออกมาได้ ก็แสดงให้เห็นว่าเขาเก่งเรื่องบทกวีอย่างยิ่ง หากเขาแต่งกลอนออกมาอีกบท และลองเอามาเปรียบเทียบกัน เมื่อนั้นย่อมเป็นที่ประจักษ์”
“ฝ่าบาท วิธีนี้วิเศษมากพ่ะย่ะค่ะ”
ขุนนางใกล้ชิดหกฝ่ายรีบออกหน้าสนับสนุน จากนั้นขุนนางคนอื่นๆ ก็ทยอยเออออตามกันไป
เฉากั๋วกงนิ่งเฉยดูสถานการณ์ เขาเพียงให้สัญญาว่าจะช่วยให้สวี่ซินเหนียนได้รับโทษสถานเบา และไม่ได้ตั้งใจให้เขาพ้นผิด
ใบหน้าของอวี้อ๋องเคร่งเครียด และในขณะที่เขากำลังจะโน้มน้าวต่อ จักรพรรดิหยวนจิ่งก็โบกพระหัตถ์และตรัสเรียบๆ “ข้าตัดสินใจแล้ว อวี้อ๋องไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก”
…
หลังจากผ่านไปหนึ่งก้านธูป ทหารรักษาพระองค์ร่างยักษ์ผู้สวมชุดเกราะ พร้อมดาบคมกริบในมือ เข้าไปในตำหนักกระดิ่งทองและกล่าวด้วยความเคารพ “ฝ่าบาท สวี่ซินเหนียนมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
บรรยากาศที่ซบเซาในตอนแรก เริ่มตื่นตัวขึ้น เหล่าขุนนางชั้นสูงทั้งหลายเริ่มรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา
จักรพรรดิหยวนจิ่งพยักหน้า พระสุรเสียงเคร่งขรึมองอาจ “นำตัวเข้ามา”
ทหารรักษาพระองค์ขอตัวออกไป ไม่กี่นาทีต่อมาสวี่ซินเหนียน ฮุ่ยหยวนประจำการสอบคัดเลือกช่วงวสันต์ผู้มีใบหน้าหล่อเหลา ก็เดินเข้ามาในชุดนักโทษ
เขาค่อยๆ เดินผ่านทางเดินที่ปูด้วยพรมสีแดงเข้ม ผ่านขุนนางสองฝั่ง จนมาหยุดเบื้องหน้าจักรพรรดิหยวนจิ่ง
‘ที่…ที่นี่คือตำหนักกระดิ่งทองในตำนานหรือ?!’
‘ที่นี่คือสถานที่ที่บรรดาขุนนางชั้นสูงเข้ามาประชุมกันน่ะหรือ?!’
‘เหตุใดถึงพาข้ามาที่ตำหนักกระดิ่งทองล่ะ’…เครื่องหมายคำถามผุดขึ้นในใจของสวี่ซินเหนียน และหัวใจของเขาเต้นมากเสียจนมือและเท้าสั่นอย่างควบคุมไม่ได้
เขากดเสียงให้เบาที่สุด แล้วพูดให้กำลังใจตัวเองหนึ่งครั้ง “แม้นเขาถล่ม ก็ห้ามเปลี่ยนสีหน้า!”
ในเสี้ยววินาทีหัวใจของสวี่เอ้อร์หลางก็สงบลงดั่งน้ำในบ่อ สายตาใสกระจ่าง ราวกับมองไม่เห็นเหล่าขุนนางที่ยืนห้อมล้อมอยู่สองฝั่ง
เขากุมมือทำความเคารพและกล่าว “บัณฑิตสวี่ซินเหนียนถวายบังคมฝ่าบาท”
ทหารรักษาพระองค์พูดขึ้นในทันที “ยืนยันตัวตนเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงพิจารณาชายหนุ่มผู้มีหน้าตาผิวพรรณดีเกินกว่าจะทำชั่วโดยไม่ยำเกรงกฎหมายได้ พยักหน้าเล็กน้อยและตรัสอย่างเคร่งขรึม
“ข้าขอถามเจ้า ปราชญ์มหาสำนักตงเก๋อรับสินบนเพื่อเปิดเผยข้อสอบให้กับเจ้าหรือไม่”
สวี่ซินเหนียนตอบเสียงดังฟังชัด “ฝ่าบาท กระหม่อมถูกใส่ร้ายพ่ะย่ะค่ะ”
ไม่มีใครสนใจการแก้ต่างของเขาเลย จักรพรรดิหยวนจิ่งเพียงแต่ตัดบทเรียบๆ “ข้าจะให้โอกาสเจ้า หากเจ้าต้องการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง เจ้าต้องเขียนบทกลอนขึ้นในตำหนักกระดิ่งทองแห่งนี้ ข้าจะกำหนดหัวข้อเอง สวี่ซินเหนียน เจ้ากล้าหรือไม่”
‘ข้าไม่กล้า ข้าไม่กล้า’…ใบหน้าสวี่ซินเหนียนซีดลงเล็กน้อย
เขาไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะถูกพาตัวมายังตำหนักกระดิ่งทอง เพื่อเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้
‘เส้นทางลำเค็ญ’ เป็นบทกลอนของพี่ใหญ่ หาใช่ผลงานของเขาไม่ แม้ว่าเขาก็เปลี่ยนคำไปบ้างเล็กน้อย และทุบอกป่าวร้องว่า ‘กลอนบทนี้ข้าเป็นคนแต่งเอง’ ก็ตาม
แต่ทว่า หากให้เขาเขียนกลอนขึ้นมาอีกบท ซึ่งก็คือกลอนด้นสด เขาทำไม่ได้แน่นอน
‘คนที่จะทำเรื่องเช่นนี้ได้ ต้องถูกวิญญาณนักปราชญ์เข้าสิงก่อนล่ะ’…ความสิ้นหวังท่วมหัวใจของสวี่ซินเหนียน เขาถึงขั้นคิดที่จะสารภาพทุกอย่างและขอให้ราชสำนักลงโทษสถานเบา
แต่ตรรกะก็บอกเขาว่า ทันทีที่เขายอมรับว่า ‘เส้นทางลำเค็ญ’ ไม่ใช่ผลงานของเขา สิ่งที่รออยู่ก็มีเพียงจุดจบที่ต้องตกสู่ขุมนรกแน่นอน
ไม่มีใครสนใจว่าเป็นเพราะพี่ใหญ่เก็งข้อสอบถูกต้อง
‘ข้าจะทำอย่างไรดี ข้าจะทำอย่างไรดี ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าการมาเยือนตำหนักกระดิ่งทองครั้งแรก จะกลับกลายเป็นครั้งสุดท้ายของสวี่ซินเหนียนผู้นี้ เขารู้ซึ้งถึงความยากลำบากและอันตรายของแวดวงขุนนางอย่างดี
พี่ใหญ่ ข้าควรทำอย่างไรดี…’
สีหน้าท่าทางของสวี่ซินเหนียนล้วนถูกจับตามองจากเหล่าขุนนางและจักรพรรดิหยวนจิ่ง
ดวงตาของเจ้ากรมซุนเป็นประกายด้วยความปีติ คราวนั้นสวี่ชีอันเขียนบทกวีและตรึงเขาไว้บนเสาแห่งความอัปยศ แต่คราวนี้ชะตามันเปลี่ยนไปแล้ว ถึงตาเขาเอาคืนบ้าง
ฉินหยวนเต้ารองเจ้ากรมทหาร แอบถอนหายใจออกมาเงียบๆ คิดว่าสถานการณ์โดยรวมได้คลี่คลายแล้ว หลังจากโค่นล้มจ้าวถิงฟางได้แล้ว ขั้นตอนถัดไปของเขาคือการวางแผนชิงมหาสำนักตงเก๋อ
ศาลาในที่มีสมุหราชเลขาธิการหวางเป็นรากฐาน ซ้ำยังมีเจ้ากรมซุนเป็นดั่งกระดูกสันหลังของพรรคหวาง ไม่มีทางย้อนกลับได้แล้ว ราวกับตอกตะปูไว้บนไม้กระดาน[2]
หยวนสยงเจ้ากรมการตรวจตราฝ่ายซ้ายมองไปยังเว่ยเยวียน จิตใจเขาไม่เป็นสุข เพราะเว่ยเยวียนไม่ยอมเคลื่อนไหว เป็นผลให้เสียแผนไปอย่างนั้น
แต่อย่างไรก็ตาม ทำให้เว่ยเยวียนเสียมือดีไปสักคนหนึ่ง ก็ไม่ถือว่าขาดทุนเสียทีเดียว
‘เดินมาถึงขั้นนี้แล้วจนได้’…เว่ยเยวียนถอนหายใจเงียบๆ ครั้งแรกที่เขารู้ว่าสวี่ซินเหนียนพัวพันกับคดีทุจริตการสอบเคอจวี่ เว่ยเยวียนรู้สึกว่าเรื่องนี้จัดการได้ไม่ยาก แต่หลังจากที่สวี่ชีอันมาสารภาพว่าเป็นคนแต่งกลอนแทน เว่ยเยวียนจึงให้คำแนะนำว่า
พยายามถอยออกมาเงียบๆ อย่ากระโตกกระตาก
นี่เป็นความผิดร้ายแรงถึงแก่ชีวิต
‘ดูเหมือนสวี่หนิงเยี่ยนจะมีที่พึ่งอื่น ถึงเขาจะไม่พูด แต่ข้าก็สัมผัสได้’…เว่ยเยวียนพอจะคาดเดาได้คร่าวๆ ถึงการย้ายฝั่งของเฉากั๋วกง แต่เว่ยเยวียนไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหาการบทกลอนอย่างไรดี
จักรพรรดิหยวนจิ่งทอดพระเนตรสวี่ซินเหนียนจากพระที่นั่ง พระสุรเสียงทุ้มต่ำเฉียบขาด “ไม่กล้าหรือ”
เอื๊อก…สวี่ซินเหนียนกลืนน้ำลาย จะเงียบหรือตอบก็มีค่าเท่ากัน จึงกัดฟันพูดว่า “ฝ่าบาท ขอพระราชทานหัวข้อด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหยวนจิ่งแย้มพระสรวลและตรัสสบายๆ “เพื่อตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณของจักรพรรดิ ขอยึดมั่นในความซื่อสัตย์ ตายเพื่อความยุติธรรม อืม เช่นนั้นเอา ‘ภักดีต่อจักรพรรดิ รักชาติยิ่งชีพ’ เป็นหัวข้อแต่งกลอนก็แล้วกัน ให้เวลาหนึ่งชั่วก้านธูป”
เมื่อได้ยินหัวข้อจากจักรพรรดิหยวนจิ่ง เจ้ากรมซุนและคนอื่นๆ ก็อดขำไม่ได้
ฝ่าบาททรงทราบดีว่าสวี่ซินเหนียนเป็นบัณฑิตของสำนักอวิ๋นลู่ แต่ก็ยังทำเช่นนี้โดยเจตนา
ยิ่งไปกว่านั้น ตั้งแต่สมัยโบราณกาล บทกวีเกี่ยวกับการภักดีต่อจักรพรรดิ รักชาติยิ่งชีพ มักจะถูกเขียนขึ้นในช่วงแผ่นดินแตกแยก บ้านเมืองล่มสลาย ในยุคที่บ้านเมืองสงบสุขน้อยนักที่จะปรากฏผลงานชั้นเอกในหัวข้อนี้
คำถามนี้โหดหินสุดๆ!
‘ภักดีต่อจักรพรรดิ รักชาติยิ่งชีพ’…ร่างกายของสวี่ซินเหนียนแข็งทื่อ ถูกตรึงอยู่กับที่
วันนั้นพี่ใหญ่จับฉลากได้หัวข้อมาสองหัวข้อ หัวข้อแรกคือถ่ายทอดปณิธาน หัวข้อที่สองคือความรักชาติ หัวข้อถ่ายทอดปณิธานได้แจ้งเกิดในการสอบคัดเลือกช่วงวสันต์ไปแล้ว และช่วยให้เขาได้กลายเป็นฮุ่ยหยวนของราชสำนัก
จากนั้นบทกวีรักชาติที่เหลืออยู่ก็ไร้ประโยชน์ไปโดยปริยาย
เขาไม่เคยคาดคิดว่าหัวข้อที่จักรพรรดิหยวนจิ่งมอบให้จะเป็นบทกลอนเกี่ยวกับความภักดีต่อจักรพรรดิ รักชาติยิ่งชีพ
‘หรือ หรือว่า…ฝ่าบาททรงร่วมมือกับท่านพี่ มิฉะนั้นจะอธิบายความบังเอิญนี้ได้อย่างไร’
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง