บทที่ 319 รับศิษย์
ทั้งด้านนอกและด้านในประตูอู่เหมินเงียบสงัด ขุนนางหลายร้อยคนดูเหมือนจะเงียบกันไปหมด ได้ยินบทกวีที่เต็มไปด้วยการเสียดสีประโยคนี้ดังก้องอยู่ในหู
มีเพียงปัญญาชนเท่านั้น จึงจะสามารถเข้าใจการเสียดสีที่สอดแทรกอยู่ในบทกวีประโยคนี้อย่างแท้จริง ว่าช่างแหลมคมเหลือเกิน
ปัญญาชนไม่กลัวที่จะถูกต่อว่า และไม่กลัวการทะเลาะวิวาท กระทั่งมองการทะเลาะวิวาทเป็นการโต้แย้ง ต่างพากันกระหยิ่มยิ้มย่อง คนที่มีฐานะต่ำชอบทะเลาะวิวาทกับผู้ที่มีฐานะสูง
ผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาช้านาน ชอบทะเลาะวิวาทกับคนระดับเดียวกัน กระทั่งชอบทะเลาะวิวาทกับจักรพรรดิ เมื่อจักรพรรดิทรงเดือดดาล พวกเขายังชี้ไปที่จักรพรรดิแล้วพูดว่า พระองค์ทรงเดือดดาลแล้ว…
ขุนนางใกล้ชิดก็คือบุคคลที่มีความสามารถยอดเยี่ยมในจำนวนนี้
แต่ปัญญาชน โดยเฉพาะปัญญาชนที่อยู่ในฐานะสูง พวกเขากลัวถูกต่อว่าด้วยของสามสิ่ง
หนึ่ง คือหนังสือประวัติศาสตร์
สองคือ บทความ
สาม คือบทกวี
เพราะทั้งสามสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ปัญญาชนสนใจมากที่สุด นั่นก็คือชื่อเสียง
ชื่อเสียงทั้งตอนที่ยังมีชีวิตอยู่และหลังจากถึงแก่กรรมแล้ว
‘จนกว่าชีพและนามพวกเจ้าจะย่อยยับ ตราบใดที่ธารายังไหลรินข้าจะไม่ยอมแพ้…’
นี่เป็นการเปิดโปงเจตนาของผู้อื่นอย่างถึงแก่นแท้ ไม่มีปัญญาชนคนใดสามารถอดทนกับการเย้ยหยันของบทกวีประโยคนี้ได้ มันมีเจตนาร้ายอย่างยิ่ง
เวลานี้ ขุนนางในเมืองหลวงหลายร้อยคน ต่างรู้สึกเลือดขึ้นหน้า รู้สึกถูกเหยียดหยามอย่างใหญ่หลวงจริงๆ
ไม่เพียงแต่ตัวบทกวีเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะบุคคลที่ทำให้ปัญญาชนอย่างพวกเขาต้องอับอายนั้น เป็นเพียงทหารที่หยาบคาย
จนกระทั่งร่างสูงทรงพลังที่สวมเสื้อคลุมตัวสั้นเดินออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ จึงมีขุนนางคนหนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า
“คนบ้า เด็กเมื่อวานซืน คนโง่หยาบคาย…กล้าดีอย่างไรมาเหยียดหยามคนระดับข้า ใต้เท้าทุกท่าน มันกล้าทำถึงขนาดนี้ยังมีอะไรที่ไม่กล้าทำอีก รีบส่งทหารไปสังหารคนชั่วนี้โดยเร็วเถิด”
คนที่พูดคือเจ้ากรมการตรวจตราฝ่ายซ้ายหยวนสยงแผนการทั้งหมดล้มเหลว เขารู้สึกจิตตก ร่างกายเหมือนจะระเบิดได้ตลอดเวลา เวลานี้สวี่ชีอันเจตนาทำท่าหยุดรออยู่ที่ประตูอู่เหมิน ทำให้เขาโกรธจนเจ็บใจเป็นอย่างมาก
หยวนสยงรู้สึกว่า บทกวีประโยคนี้ของสวี่ชีอันกำลังเย้ยหยันตัวเอง และต้องการที่จะตรึงตัวเองไว้บนเสาแห่งความอัปยศ
คนที่สองที่หุนหันพลันแล่นออกไปคือรองเจ้ากรมกรมทหารฉินหยวนเต้า เขาก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวด้วยความโกรธ แล้วตะโกนด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดว่า
“ทหารรักษาพระองค์ ทหารรักษาพระองค์อยู่ที่ไหน สกัดเจ้าคนชั่วนั่นไว้ สร้างความอับอายขายหน้าให้กับเหล่าขุนนางของราชสำนัก เป็นการไม่เคารพอย่างยิ่ง สกัดมันเอาไว้!”
น่าเสียดายที่ทหารรักษาพระองค์เชื่อฟังแต่คำสั่งของจักรพรรดิหยวนจิ่งเท่านั้น แม้แต่องค์หญิงและพระราชโอรสก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะระดมพล
อารมณ์ของซุนซ่างซูซับซ้อนเป็นอย่างมาก เรื่องโกรธนั้นเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร จึงรู้สึกโล่งใจ ที่สวี่ชีอันไม่ได้ระบุชื่อแซ่
เขาตรึงทุกคนไว้บนเสาแห่งความอัปยศ เมื่อเฉลี่ยกันแล้ว ความอัปยศอดสูที่ทุกคนได้รับก็ไม่ได้รุนแรงขนาดนั้น
ซุนซ่างซูรู้สึกว่าสภาพจิตใจของตัวเองผิดปกติเล็กน้อย แต่ก็ไม่สามารถสรุปได้ ซุนซ่างซูผู้เคยอ่านบทกวีมามากมาย ไม่เคยเห็นหนังสือที่หลู่ซู่เหรินเขียน
“เว่ยกงได้สั่งสอนผู้ใต้บังคับบัญชาที่มีความสามารถสูงจริงๆ”
มุมปากของสมุหราชเลขาธิการหวางกระตุก พูดจาแปลกประหลาด
แม้แต่สมุหราชเลขาธิกาารหวางผู้ที่มีความคิดลึกซึ้งอย่างยากที่จะคาดคะเนก็ยังถูกยั่วให้โกรธ พลังในการทำลายล้างของบทกวีประโยคนี้เห็นได้อย่างชัดเจน
เหล่าขุนนางมองเว่ยเยวียนด้วยความเดือดดาล และถามเขาด้วยสายตา
ดูเหมือนเว่ยเยวียนจะเพิ่งรู้สึกตัว จึงถามกลับด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติว่า “ทุกท่านทำอะไรกันอยู่ หรือว่าทุกท่านนั่งตามเลขที่กัน”
สีหน้าของเหล่าขุนนางเคร่งเครียดขึ้นทันที รู้สึกเหมือนถูกคำพูดเบาๆ ของเว่ยเยวียนบีบให้อับจน
“ถ้า ถ้าเช่นนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ หนังสือประวัติศาสตร์ควรบันทึกว่าอย่างไร” อาจารย์หนุ่มแห่งสำนักบัณฑิตฮั่นหลินคนหนึ่ง กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
ทันทีที่เสียงพูดจบลง ก็เห็นขุนนางแต่ละคนหันมา มองเขาอย่างหมางเมิน ดวงตานั้นราวกับกำลังพูดว่า เจ้าเรียนหนังสือจนสมองเลอะเลือนไปแล้วหรือไร
อาจารย์หนุ่มแห่งสำนักบัณฑิตฮั่นหลินหดหัว พูดว่า “เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ ไม่ควรค่าที่จะบันทึกลงในบันทึกประวัติศาสตร์”
เว่ยเยวียนกล่าวเรียบๆ ว่า “การเข้าเฝ้าสิ้นสุดลงแล้ว ขุนนางทุกท่านไม่ควรรวมตัวกันที่ประตูอู่เหมิน รีบสลายตัวโดยเร็วที่สุดเถิด”
พูดจบ ก็จากไปก่อน หลังจากเดินออกมาได้ระยะหนึ่ง เว่ยเยวียนก็ไม่สามารถซ่อนรอยยิ้มที่มุมปากของเขาได้ต่อไป พร้อมส่งเสียง ‘หึ’ ด้วยความดีใจที่คนอื่นประสบภัย
ออกจากประตูวัง เข้าไปในรถม้า เว่ยเยวียนซึ่งอารมณ์ดีอย่างมาก ได้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่ประตูอู่เหมินให้หนานกงเชี่ยนโหรวฟังที่กำลังขับรถม้าฟัง
บุตรบุญธรรมผู้มีบุคลิกลักษณะอ่อนโยน ส่งเสียง ‘อา’ แล้วพูดว่า “ท่านพ่อบุญธรรม ตอนนั้นท่านอยู่ในหมู่ขุนนางด้วยไม่ใช่หรือ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเว่ยเยวียนค่อยๆ จางลงทีละน้อย
ด้านนอกประตูอู่เหมิน ฮว๋ายชิ่งและหลินอันยังคงหยุดอยู่ที่เดิม มองดูร่างของเหล่าเจ้าหน้าที่พลเรือนและทหารสายตัว
‘จนกว่าชีพและนามพวกเจ้าจะย่อยยับ ตราบใดที่ธารายังไหลรินข้าจะไม่ยอมแพ้…’ ฮว๋ายชิ่งพึมพำกับตัวเองในใจ ในดวงตาของพระองค์สะท้อนภาพด้านหลังของเหล่าขุนนาง แต่ในใจกลับมีเพียงร่างสูงสง่าที่สวมเครื่องแบบของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ถือดาบเดินออกไป
สวี่หนิงเยี่ยนแตกต่างจากทหารทั่วไป เขารู้ว่าจะต้องโจมตีจุดอ่อนของคนอย่างไร จะใช้วิธีการโจมตีที่เฉียบคมที่สุดเพื่อแก้แค้นศัตรูอย่างไร โดยไม่เป็นภัยต่อตัวเอง
การใช้บทกวีในการเปิดโปง โจมตีจุดอ่อนของปัญญาชนอย่างหนัก เป็นความสามารถเฉพาะตัวของสวี่หนิงเยี่ยน
“สุนัขรับใช้ช่างสง่างามเสียจริง……” ยายตัวร้ายพึมพำ
ในสายตาของพระองค์มีเพียงฉากเดียวคือ บทกวีเบาๆ เพียงประโยคเดียวของสุนัขรับใช้ ก็ทำให้เหล่าเจ้าหน้าที่พลเรือนและทหารเต้นเร่าๆ ด้วยความโกรธได้ แต่กลับทำอะไรไม่ได้
ในใจของยายตัวร้าย นี่เป็นเรื่องที่แม้แต่เสด็จพ่อก็ทำไม่ได้ แม้ว่าเสด็จพ่อจะสามารถใช้อำนาจและอิทธิพลบีบบังคับผู้อื่นได้ แต่ก็ไม่สามารถกระทำโดยใช้บทประพันธ์เช่นสุนัขรับใช้ได้
ดวงตากลมโตที่งดงามของพระองค์เป็นประกายแวววาว ทรงยืดพระอุระอย่างภาคภูมิใจ พยายามยืดให้เด่นกว่าขนาดปกติของฮว๋ายชิ่ง
…
ในห้องพระบรรทม หลังการว่าราชการในช่วงเช้าสิ้นสุดลงแล้ว จักรพรรดิหยวนจิ่งที่ทรงถือคัมภีร์เต๋าอยู่ในพระหัตถ์ ทรงฟังรายงานของขันทีชราอย่างเงียบๆ ทรงทราบเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่ประตูอู่เหมิน
“ใจกล้ามาก”
จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงพระสรวล ไม่แน่ใจว่าทรงชื่นชมหรือหัวเราะเยาะ
แต่ว่า ขันทีชราสามารถยืนยันได้ประการหนึ่ง นั่นก็คือจักรพรรดิหยวนจิ่งทรงทราบเรื่องนี้ ได้ทรงทราบถึงพฤติกรรมอวดดีของสวี่ชีอัน และไม่มีพระประสงค์จะลงโทษเขา
เขาเดาความคิดของจักรพรรดิหยวนจิ่งได้รางๆ ทุกสิ่งทุกอย่างที่สวี่ชีอันทำ กำลังทำให้ตัวเองขยับเข้าใกล้ความเป็นขุนนางผู้โดดเดี่ยว กำลังเดินตามเส้นทางเก่าของเว่ยเยวียน
แต่ขุนนางผู้โดดเดี่ยว มักจะสร้างความไว้วางใจให้จักรพรรดิได้มากที่สุด
ชายหนุ่มผู้มีความสามารถ มีพรสวรรค์ มีความรู้ เมื่อเปรียบเทียบกับการทำอะไรได้ดั่งใจคิด รวมกลุ่มกับคนไปทั่ว แน่นอนว่าการเป็นขุนนางผู้โดดเดี่ยวย่อมสอดคล้องกับพระประสงค์ของฝ่าบาทมากกว่า
‘จนกว่าชีพและนามพวกเจ้าจะย่อยยับ ตราบใดที่ธารายังไหลรินข้าจะไม่ยอมแพ้’
จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงพระสรวลเสียงดัง สีพระพักตร์หยอกล้อ “บทกวีดี บทกวีดี กวีอันดับหนึ่งของต้าฟ่งท่านนี้ สมชื่อแท้ๆ ต้าป้าน ถ่ายทอดราชโองการของข้าออกไป ให้ สำนักบัณฑิตฮั่นหลินบันทึกเรื่องนี้ไว้ในบันทึกประวัติศาสตร์ ข้าจะดูด้วยตัวเอง”
นี่เป็นการแก้แค้นของฝ่าบาทต่อปัญญาชนของสำนักบัณฑิตฮั่นหลินเหล่านั้น…บทกวีสองบทของพี่น้องบ้านสกุลสวี่ ทำให้พระพักตร์ของฝ่าบาทดูมีความสุขอย่างยิ่ง ขันทีชรารับราชโองการแล้วถอยออกไป
‘จนกว่าชีพและนามพวกเจ้าจะย่อยยับ ตราบใดที่ธารายังไหลรินข้าจะไม่ยอมแพ้’
จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงอ่านบทกวีประโยคนี้อีกครั้ง ความสุขบนพระพักตร์ค่อยๆ จางลง ความปรารถนาที่จะมีอายุยืนยาวเพิ่มมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
…
ขณะกินอาหารกลางวัน ฉู่หยวนเจิ่นฟังเพื่อนเก่าเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในท้องพระโรงบนโต๊ะ และสุดท้าย คือฉากที่สวี่หนิงเยี่ยนได้สกัดขุนนางทั้งหลายเพียงลำพัง ด้วยการใช้บทกวีเย้ยหยันเหล่าขุนนาง
นี่ เป็นการทำลายสถานการณ์ด้วยวิธีนี้หรือ…ใช้ขุนนางผู้มีความดีความชอบต่อต้านข้าราชการพลเรือน เป็นความคิดที่ดี แต่มันยากมาก สวี่หนิงเยี่ยนกับหมายเลขสามทำอย่างไรกัน…สมแล้วที่หมายเลขสามและสวี่หนิงเยี่ยนเป็นพี่น้องกัน พรสวรรค์ในด้านบทกวีนั้นล้วนน่าทึ่ง
ที่น่าเสียดายก็คือ หมายเลขสามประสบการณ์ยังน้อย ระดับยังต่ำอยู่ ยังห่างไกลจากสวี่ชีอันญาติผู้พี่มากนัก มิฉะนั้นในจำนวนคนที่จะต้องลงหลุมฝังศพในวันนั้น จะต้องมีหมายเลขสามอยู่ด้วยอย่างแน่นอน
แน่นอนว่า ระบบลัทธิขงจื๊ออ่อนแอลงมานานแล้ว การที่หมายเลขสามอยู่ในระดับต่ำก็สามารถเข้าใจได้
สำหรับบทกวีที่หมายเลขสามแต่งในท้องพระโรง ฉู่หยวนเจิ่นชมเชยไปประโยคหนึ่ง แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก บทกวีเป็นบทกวีที่ดี แต่น่าเสียดายที่ประโยคสุดท้ายไม่ได้ใจเขา
ในทางตรงกันข้าม บทกวีเย้ยหยันเหล่าขุนนางของสวี่หนิงเยี่ยน ฉู่หยวนเจิ่นฟังแล้วรู้สึกตื่นเต้น จนต้องดื่มน้ำติดต่อกันสามแก้วเลยทีเดียว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง